“ฉันเห็นดินแดนแห่งความตายแล้ว ฉันไม่อยากตาย ฉันผิดไปแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันไม่ไหวแล้ว”
เสี่ยวอู่พูดเสียงแหบพร่า เขาตกใจเป็นอย่างมาก
“รับรู้ถึงกลิ่นอายของความตายแล้วใช่ไหม”
หลี่โม่ยิ้มแล้วถามขึ้น
เสี่ยวอู่มองรอยยิ้มของหลี่โม่อย่างหวาดกลัว เขารู้สึกว่าหลี่โม่น่ากลัวเหมือนราชาปีศาจที่มาจากนรก
เสี่ยวอู่ตัวสั่นงันงก หูรูดของเขาไม่สามารถควบคุมได้อีก ปัสสาวะของเขาราดออกมา และไหลลงมาตามขาทั้งสองข้างของเขา
“รู้สึกแล้ว รู้ถึงกลิ่นอายของความตายแล้ว”
เสี่ยวอู่พูดพร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้น ในใจของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจ
หลี่โม่โยนเสี่ยวอู่ไปข้างรถ จากนั้นจึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มีปัญญาแค่นี้ ถ้าไม่กล้าก็อย่ามาปากเก่ง”
“ฉันผิดไปแล้ว ไม่กล้าแล้ว ต่อไปฉันจะไม่ปากดีอีกแล้ว”
เสี่ยวอู่เอามือซ้ายจับคอเอาไว้ เขาขดตัวอยู่บนพื้นแล้วพูดออกมา
เหล่าหูแสยะยิ้มออกมา ถึงแม้จะไม่เห็นสภาพของเสี่ยวอู่ที่นอนอยู่ข้างรถ แต่เหล่าหูก็สามารถจินตนาการได้
หลี่โม่เตะเสี่ยวอู่แล้วพูดว่า “อย่ามาเสียเวลา รีบขับรถไปเถอะ”
“มือของฉัน มือขวาของฉันหักแล้ว ฉันขับรถไม่ได้”
เสี่ยวอู่พูดออกมาด้วยใบหน้าเศร้า
เสี่ยวอู่เก็บความคิดที่จะไปโรงพยาบาล เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา
หลี่โม่ส่ายหน้า เขาเปิดที่เก็บปืน แล้วใช้ปืนชี้เสี่ยวอู่ จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ว่ากันว่าคนที่จะเอาชีวิตรอดสามารถกระตุ้นศักยภาพในร่างกายออกมาทั้งหมด ฉันคิดว่าระหว่างที่นายกำลังอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย นายจะต้องขับรถได้อย่างแน่นอน”
เมื่อเห็นปลายกระบอกปืนสีดำขลับ คำด่ามากมายวิ่งอยู่ในใจของเสี่ยวอู่ คำด่ามากมายกำลังเหยียบย่ำจิตใจของเสี่ยวอู่
เขาเคยเจอคนที่โหดเหี้ยม แต่เขาไม่เคยเจอคนที่โหดเหี้ยมขนาดนี้ ให้คนที่แขนขวาหักมาขับรถ เขาไม่กลัวจะเกิดอุบัติเหตุหรือไง
แต่ทว่าเสี่ยวอู่ไม่กล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ถ้าเกิดโมโหใส่หลี่โม่ โดนกระสุนสาดใส่ไม่ก็ไม่คุ้มเลย
คนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างเสี่ยวอู่อดทนกับความเจ็บปวดที่มือขวา และขับรถด้วยสีหน้าเหยเก
เสี่ยวอู่ใช้มือซ้ายสตาร์ทรถกับใส่เกียร์ เขาใช้มือซ้ายจับพวงมาลัยรถและขับออกไปอย่างช้าๆ
“ฉันขับได้เร็วแค่นี้ เพราะใช้แค่มือเดียว ฉันไม่กล้าขับเร็วกว่านี้อีก”
เสี่ยวอู่มองหลี่โม่ด้วยใบหน้าน่าสงสาร
หลี่โม่พยักหน้าไปงั้นๆ เขานั่งข้างคนขับแล้วหลับตาลง
ภายในโรงงานร้าง บอดี้การ์ดที่เป็นลูกน้องของฉิงจี้เย่เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว นอกจากบอดี้การ์ดสองคนที่ตามฉิงจี้เย่ บอดี้การ์ดที่เหลือต่างพากันซุ่มอยู่รอบๆ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง
คนที่นั่งเล่นมือถืออยู่บนเก้าอี้มาพักหนึ่ง ก็ยังไม่เห็นวี่แววของเสี่ยวอู่ ฉิงจี้เย่ขมวดคิ้วขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวอู่ นานขนาดนี้น่าจะไปมาได้หลายรอบแล้ว!”
“คุณชายอย่าเพิ่งใจร้อนครับ ขอผมติดต่อสักครู่นะครับ”
บอดี้การ์ดหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาเสี่ยวอู่ แต่ทว่าเสี่ยวอู่สามารถใช้มือแค่ข้างเดียวในการขับรถ เขาจึงไม่สามารถรับสายได้
เสี่ยวอู่ได้ยินเสียงมือถือ เขามองไปที่หลี่โม่ไม่หยุด อยากให้หลี่โม่หยิบมือถือออกมาดูให้หน่อยว่าใครโทรมา แต่ว่าเสี่ยวอู่ไม่มีความกล้าที่จะพูดออกไป
จนกระทั่งเสียงเรียกเข้าหยุดลง ความทรมานในใจของเสี่ยวอู่ก็จบลง
บอดี้การ์ดวางมือถือลงอย่างสงสัย จากนั้นจึงพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ไอ้หมอนั่นไม่รับสายครับ ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ คงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นหรอกนะ”
ฉิงจี้เย่สงสัยเล็กน้อย จากนั้นจึงก้มหน้าเล่นมือถือต่อ “ไม่ต้องรีบ รอต่อไปเถอะ ในเมื่อโทรหาเสี่ยวอู่ติดก็ไม่น่าจะมีอะไรน่าเป็นห่วง”
รอก่อน รอก่อน ฉิงจี้เย่รอจนทรมาน แต่เขาแสร้งทำเป็นไม่เป็นเดือดเป็นร้อน เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ต้องใจเย็นเอาไว้
ฉิงจี้เย่นึกถึงความนิ่งของเซ่จิ้นเรื่องยุทธการที่แม่น้ำเฝย เขาพยายามทำจิตใจที่กลัดกลุ้มให้สงบลง
ในที่สุดก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
หลี่โม่หิ้วเหล่าหูกับเสี่ยวอู่เดินเข้ามาในโรงงานร้าง
เสี่ยวอู่ก้มหน้าลง เขาใช้มือซ้ายจับข้อมือขวาของตัวเอง และเดินเข้ามาตรงหน้าฉิงจี้เย่ด้วยสีหน้าสลด
“ทำไมแกไม่รับโทรศัพท์”
บอดี้การ์ดตวาดใส่เสี่ยวอู่
“ผม ผมล่วงเกินคุณหลี่โม่ แล้วโดนเขาสั่งสอน มือขวาของผมหัก ทำให้ต้องใช้มือซ้ายขับรถช้าๆ แล้วก็รับโทรศัพท์ไม่ได้”
เสี่ยวอู่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าเศร้า เมื่อฉิงจี้เย่กับบอดี้การ์ดได้ยินก็รู้สึกเสียวสันหลัง
เขายังเป็นมนุษย์อยู่ไหม
ให้คนที่มีขวาหักขับรถเนี่ยนะ เขาช่างกล้าจริงๆ
หลี่โม่โยนเหล่าหูไปข้างขาของฉิงจี้เย่ จากนั้นจึงพูดด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้ม “ลูกน้องของนายไม่รู้ข้อปฏิบัติเอาเสียเลย ฉันเลยสั่งสอนมันแทนนาย”
“แกเป็นใครไม่ทราบ แกไม่ต้องมาสั่งสอนคนของคุณชายฉิงหรอก!”
บอดี้การ์ดรีบตะโกนออกมา
“ต้าเปียว ทำไมพูดกับคุณหลี่โม่อย่างนั้นล่ะ เสี่ยวอู่ทำผิดก็ต้องได้รับการสั่งสอน ฉันสิจะต้องขอบคุณเขาที่ช่วยสั่งสอนลูกน้องแทนฉัน”
ฉิงจี้เย่พูดอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน
“เก้าอี้ของฉันล่ะ คุณชายฉิงคงจะไม่ให้ฉันยืนคุยกับนายหรอกใช่ไหม”
หลี่โม่พูดด้วยสีหน้าเป็นมิตร
ฉิงจี้เย่ไม่คิดว่าหลี่โม่จะเป็นมิตร เขาจึงแสร้งทำเป็นยิ้มอย่างเป็นมิตรให้หลี่โม่ ฉิงจี้เย่คิดว่าหลี่โม่จะเปลี่ยนสีหน้าของตัวเองได้เร็วกว่าพลิกหน้าหนังสือเสียอีก
“ต้าเปียว ไปยกเก้าอี้มาให้คุณหลี่โม่หน่อย เอาเก้าอี้ตัวที่ดีที่สุดนะ”
ต้าเปียวหันหลังเดินออกไป เขาไปเอาเก้าอี้สำนักงานหนังแท้สุดหรูมาจากโรงรถ และเอามาวางไว้ข้างหลังหลี่โม่
“เชิญนั่งครับคุณหลี่โม่ บรรยากาศค่อนข้างไม่ดีสักหน่อยนะครับ ขอคุณหลี่โม่อย่าถือสา”
ฉิงจี้เย่พูดอย่างเกรงใจ หลี่โม่นั่งลงอย่างสง่า “พูดมาสิ นายจะร่วมมือทำอะไร”
ฉิงจี้เย่มองเหล่าหู แล้วส่งสายตาให้ต้าเปียว ต้าเปียวหิ้วเหล่าหูออกไปข้างนอก “เสี่ยวอู่ นายก็ออกมาด้วย”
เสี่ยวอู่เดินตามต้าเปียวออกมา เขาคิดว่ายิ่งออกห่างหลี่โม่เท่าไรยิ่งดี เพราะหลี่โม่น่ากลัวมาก
เมื่อเหล่าหูถูกพาตัวออกไป ฉิงจี้เย่หยิบบุหรี่ออกมาคาบไว้ “ลูกน้องของผมมีงานสัมพันธมิตรนักฆ่าระดับสูง นักฆ่าระดับหัวกะทิล้วนเป็นสมาชิกอยู่ในนั้น ไม่รู้ว่าคุณหลี่โม่สนใจจะเข้าร่วมหรือเปล่า ช่วงนี้มีธุรกิจขนาดใหญ่ธุรกิจหนึ่ง ผมกำลังรวบรวมคน งานครั้งนี้ต้องสำเร็จเท่านั้น คุณหลี่โม่จะได้รับส่วนแบ่งห้าสิบล้าน”
“ฉันไม่อยากเข้าร่วมสัมพันธมิตรอะไรนั่น แต่นายบอกว่าธุรกิจใหญ่ ผมอยากฟังนะ”
สีหน้าของฉิงจี้เย่เคร่งขรึม เขาไม่ได้พอใจกับคำตอบของหลี่โม่ ตอนแรกคิดจะทำให้หลี่โม่มาเป็นลูกน้องของตัวเอง
แต่ทว่าฉิงจี้เย่มีสีหน้าเคร่งเครียดเพียงครู่เดียวเท่านั้น ไม่นานรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เพราะฉิงจี้เย่คิดได้ว่ายังมีแผนต่อ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่กังวลว่าหลี่โม่จะไม่ยอม
เขาไม่สนว่าหลี่โม่จะตกลงหรือไม่ ถ้าหลี่โม่สามารถเอาตั๋วธุรกิจครั้งใหญ่มาได้สำเร็จ ฉิงจี้เย่แค่พลิกไพ่ใบสุดท้าย ก็จะทำให้หลี่โม่ทำอะไรเด็ดขาดจริงจังลงไปไม่ได้ เพราะเกรงว่าจะไปกระทบกระเทือนพวกพ้องของตน
“ก็ได้ ถ้านายไม่สนใจ ฉันก็ไม่บังคับ อีกอย่างถึงการทำอะไรโดยฝืนมักได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี แต่นายต้องเก็บเรื่องธุรกิจใหญ่ครั้งนี้เป็นความลับ ขอแค่นายตกลง ฉันจะเล่าเรื่องนี้ให้นายฟัง”
“เก็บความลับอย่างนั้นเหรอ เรื่องแค่นี้มันง่ายยิ่งกว่าง่ายเสียอีก”