บทที่ 115 ยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำอีก[รีไรท์]
“เสี่ยวไป๋อย่าทำอะไรงี่เง่านะ!”
หัวหน้าหมายเลขหนึ่งทนไม่ไหวก่อนที่จะพูดออกมา เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและเตือนสติ
แต่น่าเสียดายที่หลิวเสี่ยวไป๋ไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอยกแก้วไวน์ขึ้น พร้อมพูดกับฉู่ชวิ๋น “พลตรีฉู่ เชิญ” หลังจากพูดเสร็จ เธอก็เทไวน์ในแก้วลงบนพื้น
เบ้าตาของหัวหน้าหดตัว เปลือกตากระตุก การทำแบบนั้นเหมือนกับการสวดส่งให้คนตาย
“มากไปแล้วนะ เสี่ยวไป๋!” ชายชราผู้เป็นอาจารย์ตะโกน
“อาจารย์…ทำไมถึงย้ายฝั่งง่าย ๆ แบบนั้นล่ะคะ?” เสี่ยวไป๋พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สำหรับผู้หญิงแล้วมันดีที่สุดที่จะทำตัวเหมือนเด็ก
ชายแก่ขมวดคิ้วแน่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ!
หัวหน้าหมายเลขหนึ่งก็ส่ายหน้า อาจารย์ของเขาเก่งในทุก ๆ ด้าน แต่เสียเรื่องนี้ โดยเฉพาะกับศิษย์น้องคนนี้เขารักเธอเหมือนลูกหลานและเอาใจเธอเป็นที่สุด ถ้าเธอทำอะไรผิดเขาก็จะมองข้ามไป แต่ยังไงเธอก็เป็นศิษย์น้องที่เขาไม่อาจทนดูเธอเล่นกับไฟแบบนี้ได้
เขาชำเลืองมองฉู่ชวิ๋น และเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นก็ไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา ไม่มีแม้แต่ร่องรอยใด ๆ ราวกับว่าคนที่หลิวเสี่ยวไป๋ดูถูกไม่ใช่เขา
เป็นไปได้เหรอ? แม้แต่ผู้คนในวงการจอมยุทธ์ยังรู้เลยว่าปรมาจารย์นั้นต้องไม่โดนดูถูก ยิ่งไปกว่านั้นฉู่ชวิ๋นไม่ใช่ปรมาจารย์ธรรมดา การฝึกตนของเขาน่ากลัวมากและวิธีการของเขาน่าทึ่งยิ่งกว่า คนแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์ยังได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้นถ้าคนแบบนี้ถูกดูถูกแล้วเขาจะอยู่เฉย ๆ เหรอ? คำตอบคือไม่
หัวหน้าคิดว่าน่าจะมีพายุคลั่งกำลังหมุนอยู่ในตัวของฉู่ชวิ๋นแน่นอน สิ่งที่เขาแสดงออกมาตอนนี้เป็นเพียงความเงียบชั่วครู่ก่อนเกิดพายุเท่านั้น
“เธอรู้จักหลิวเจี่ยเฟยไหม?”
ฉู่ชวิ๋นมองไปที่หลิวเสี่ยวไป๋และถามขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าหลิวเสี่ยวไป๋ถูกจับได้ด้วยคำถามนี้ เธอรนเล็กน้อยและทำตัวไม่ถูก เธอรีบตั้งสติและพูดอย่างประชดประชัน “พลตรีฉู่กำลังซักถามฉันเหรอคะ?”
มุมปากของฉู่ชวิ๋นโค้งงอและพูดอย่างเฉยเมย “ใช่!”
หลิวเสี่ยวไป๋นิ่งไปอีกครั้ง ความโกรธก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาในดวงตา เธอยิ้มเยาะก่อนที่จะพูดว่า “พลตรีฉู่ ที่นี่เป็นเมืองจิงไม่ใช่เมืองกู่เจียงที่เป็นถิ่นทุรกันดารนะคะ ไม่ใช่ที่ที่หมาแมวที่ไหนจะมาทำกร่างได้”
“เธอรู้จักหลิวเจี่ยเฟยไหม?”
คำถามเดิมถูกยิงออกไปด้วยน้ำเสียงแบบเดิม แต่รู้สึกได้เลยว่าแตกต่างกันมาก
แต่คราวนี้ฉู่ชวิ๋นก็ไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ตอบ เขาถามสวนไปทันที “ฉันไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่ถามแบบนี้ก็แค่ถามไปอย่างงั้น ถ้าคุณหลิวรู้จักคนคนนี้ รบกวนบอกเขาด้วยนะว่าฉันจะฆ่าเขา ไม่ว่าเขาจะหนีไปที่ไหนฉันก็จะตามฆ่าเขา หนีไปจนสุดขอบโลกก็ไม่มีใครช่วยเขาได้”
หลิวเสี่ยวไป๋ลุกขึ้นยืน ดวงตาอันงดงามของเธอแฝงความเยือกเย็นเอาไว้ ร่างอันบอบบางกลับปล่อยจิตสังหารออกมา และเป้าหมายนั้นก็คือฉู่ชวิ๋น
“ไหนแกลองพูดออกมาอีกทีสิ?” หลิวเสี่ยวไป๋พูด
ฉู่ชวิ๋นเม้มปากและหันไปทางหัวหน้า “ฉันฆ่าเธอได้ไหม?”
เขาถามอย่างจริงจังและเป็นกันเอง ง่าย ๆ เหมือนถามว่าคุณกินข้าวหรือยัง
ร่างกายของหัวหน้าตอบสนองทันที คิ้วของเขาขมวดจนแทบจะติดกัน เขารู้ว่าการตอบคำถามครั้งนี้ส่งผลกับความสัมพันธ์ของเขากับฉู่ชวิ๋นในอนาคตอย่างแน่นอน และรวมถึงทัศนคติของฉู่ชวิ๋นที่มีต่อประเทศในอนาคตด้วย
สำหรับฉู่ชวิ๋นการใช้กฎหมายข่มเขาเป็นเรื่องไร้สาระ วิธีเดียวคือเป็นเพื่อนกับเขา
ในจังหวะนี้ เขารู้สึกสุดจะทนกับหลิวเสี่ยวไป๋มาก ที่เขาพาฉู่ชวิ๋นมาที่แห่งนี้มีเป้าหมายหนึ่ง หลงอ๋าวบอกกับเขาว่าฉู่ชวิ๋นสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของอาจารย์ของเขาได้ แต่พอมาเจอสถานการณ์แบบนี้เข้า เขาจะกล้าปริปากขอความช่วยเหลือได้อย่างไร?
“เฮ้อ…” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วมองฉู่ชวิ๋นด้วยแววตาที่ทำอะไรไม่ถูกและพูดอย่างเคร่งขรึม “ฉันใช้สัญญาเพื่อแลกกับชีวิตของเธอได้ไหม?”
สัญญาของผู้นำสูงสุดของประเทศ มีน้ำหนักพอสำหรับเรื่องนี้หรือไม่? ฉู่ชวิ๋นมองเขาเงียบ ๆ จนเขาทำตัวไม่ถูก และฉู่ชวิ๋นก็หัวเราะออกมา “หึ…แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
เขาเข้าใจถึงความลำบากใจของหัวหน้า จึงเลือกที่จะไม่ทำเรื่องแบบนั้น และเพื่อไม่ให้อาจารย์คนนี้ต้องรู้สึกเศร้าใจ ถ้าเขาสังหารหลิวเสี่ยวไป๋ไปร่างกายของชายแก่คนนี้อาจจะรับไม่ไหวก็ได้
“ขอบใจมาก!” หัวหน้าตอบกลับด้วยความโล่งใจ
“ศิษย์พี่? กำลังทำอะไร?” หลิวเสี่ยวไป๋รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ของเธอกำลังขอความเมตตาให้เธอ? มันน่าตลกเกินไปแล้ว
“หุบปาก!” หัวหน้าโกรธทันที ปกติแล้วเขาจะไม่ถือสาที่เธอไม่มีสัมมาคารวะเพราะเห็นแก่อาจารย์ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ แต่ตอนนี้เขากำลังช่วยเธอ ถ้าเธอยังไม่รู้จักเจียมตัวล่ะก็ต่อให้เป็นเทพเจ้าก็ไม่สามารถช่วยเธอได้
หลิวเสี่ยวไป๋กำลังจะเปิดปากพูด แต่เธอสัมผัสได้ถึงดวงตาที่คมชัดของศิษย์พี่และในที่สุดก็ไม่กล้าพูดอะไร เขาเป็นถึงผู้นำสูงสุดของประเทศ อำนาจของเขาก็เป็นอะไรที่เธอไม่สามารถยั่วยุได้ ถ้าเธอไปทำให้เขาโมโหเพียงแค่ความสัมพันธ์สำนักเดียวกันคงรับประกันชีวิตตระกูลและเธอไม่ได้แน่
อย่างไรก็ตาม ชายชราก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขารู้นิสัยของลูกศิษย์ดี เขารู้ว่าหัวหน้าหมายเลขหนึ่งปกติแล้วจะไม่ถือสาศิษย์น้องเพราะเห็นแก่หน้าตน แต่วันนี้กลับไม่ใช่ สิ่งที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุผลของมันอยู่อย่างแน่นอน
เป็นเพราะฉู่ชวิ๋นเหรอ? ชายชราคิดแบบนั้นในใจของเขามั่นใจในคำตอบนี้ เขาได้ดูวิดีโอที่ฉู่ชวิ๋นเข้าไปช่วยตัวประกันแล้ว ชายชรานึกย้อนกลับไป ด้วยความที่ยังหนุ่ม ชายคนนี้ถือว่ามีคุณสมบัติพิเศษที่ดีมาก แต่มันก็คงไม่สามารถทำให้ลูกศิษย์ของตนเป็นเช่นนี้ได้นี่?
เกิดปัญหาขึ้นตรงไหนกันนะ? เขามองไปยังหัวหน้าหมายเลขหนึ่งอย่างเต็มไปด้วยคำถาม หัวหน้ามองฉู่ชวิ๋นไป ชายชรานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วก็ตะลึงทันที มันเป็นเพราะฉู่ชวิ๋นจริง ๆ ด้วย หรือว่าเขาจะมาจากสำนักเก่าแก่?
ดวงตาของหลิวเสี่ยวไป๋ลุกขึ้นเป็นไฟ เธอยังคงมองค้อนไปยังฉู่ชวิ๋นด้วยจิตสังหารของเธอ แม้แต่หัวหน้าเองก็ยังรู้สึกถึงได้
“เสี่ยวไป๋ ไปขอโทษพลตรีฉู่ซะ!” ชายชราโมโหแล้วดุทันที
หลิวเสี่ยวไป๋มองกลับมายังอาจารย์ด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ ขนาดอาจารย์ที่รักเธอมากยังออกคำสั่งกับเธอแบบนี้ได้เลยงั้นเหรอ?
เธอกัดฟันเอาไว้แน่นมองไปยังฉู่ชวิ๋นอีกครั้ง และพยายามจะพูดขอโทษ แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะพูดออกมา
หัวหน้าจึงกำหมัดด้วยความโมโห มือของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อ แม้ว่าฉู่ชวิ๋นจะสัญญาแล้วที่จะไม่จัดการศิษย์น้อง แต่ถ้าเสี่ยวไป๋ยังทำตัวแบบนี้ต่อไป เขาก็การันตีเรื่องใดไม่ได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว
ทันใดนั้นโทรศัพท์ของฉู่ชวิ๋นก็ดังขึ้นทำลายบรรยากาศตึงเครียดไปในทันที เป็นสายจากฮวาชิงหวู่ ฉู่ชวิ๋นจึงเดินออกไปข้างนอกเพื่อรับสาย
เธอบอกกับฉู่ชวิ๋นว่า ในอีก 2 วันนี้เธอจะกลับไปเมืองกู่เจียง เธอให้ฮวาเซิ่งดูแลตระกูลฮวาไปก่อน ฮวาเซิ่งเก่งมาก ตราบใดที่ให้ตำแหน่งแก่เขา เขาก็สามารถพาตระกูลฮวาไปจุดสูงสุดได้
ฮวาชิงหวู่ยังบอกอีกว่าเธอพาหยุนหนานเฟิงตัวปลอมกลับเมืองกู่เจียงมาช่วยงานด้วย เพราะเขาเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าฮวาเซิ่งเลย
ฉู่ชวิ๋นไม่มีข้อโต้แย้งอะไร เขาไม่ค่อยสนเรื่องธุรกิจเท่าไหร่ เขาอยากให้คนรอบตัวเขาได้ใช้เวลาไปกับการฝึกตนมากกว่า หลังจากนั้นก็มีคำบอกรักที่ฮวาชิงหวู่พูดเหมือนเด็กทารก ซึ่งฉู่ชวิ๋นไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไรทำได้เพียงฟังเฉย ๆ
สายนี้ก็จบลงด้วยคำพูดหยอกล้อของฮวาชิงหวู่
ฉู่ชวิ๋นที่กำลังถือโทรศัพท์ก็ยิ้มที่มุมปากนิดหน่อย หลังจากที่รับความอ่อนโยนและความห่วงใยโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ตอนที่ฉู่ชวิ๋นกำลังคุยโทรศัพท์ หลิวเสี่ยวไป๋เองก็แอบโทรหาใครบางคน
“ช่วยฉันหาข้อมูลคนที่ชื่อว่าฉู่ชวิ๋นที เป้าหมายมายังเมืองจิง แล้วเขามาคนเดียวหรือเปล่า? ฉันต้องการรู้ทันที แล้วจะโอนเงินให้ทันทีเลยด้วย”
หลังจากหลิวเสี่ยวไป๋วางสาย เธอก็โทรอีกครั้ง คราวนี้สายสั้นมาก เธอพูดถึงบัญชีและพูดว่า “โอนเงิน 1 ล้าน ให้กับบัญชีนี้”
ผ่านไปไม่ถึง 2 นาทีหลังจากวางสาย โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น มีข้อมูลของฉู่ชวิ๋นเข้ามาในข้อความ หลิวเสี่ยวไป๋ขมวดคิ้ว เนื้อหาเขียนว่า ฉู่ชวิ๋นมาที่เมืองจิงกับมังกรเขียวและถางโร้ว
เธอรู้อยู่แล้วว่ามังกรเขียวเป็นสมาชิกของกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ สมาชิกของสิบสองนักษัตรและเป็นขั้นปรมาจารย์
อย่างไรก็ตามเธอก็สงสัยทันทีว่า ทำไมฉู่ชวิ๋นถึงมียศเป็นพลตรี มังกรเขียวที่อยู่ในกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ ทั้งสองคนอยู่คนละสาย ไม่น่าจะมีการติดต่อกันส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความสัมพันธ์ส่วนตัว
ฐานการฝึกฝนของฉู่ชวิ๋นอย่างน้อยน่าจะอยู่ที่ขั้นนักสู้พลังชีพจรระดับ1 ซึ่งไม่แตกต่างจากเธอมากนักหรืออาจจะไม่ดีเท่าเธอก็ได้ และมังกรเขียวเป็นขั้นปรมาจารย์และทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
ตามการคาดเดาของเธอ เมื่อฉู่ชวิ๋นช่วยตัวประกันที่ถูกกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าทองคำจับไปมังกรเขียวก็คงได้รับภารกิจเช่นเดียวกัน แต่ช้าไปเพียงก้าวเดียวและภารกิจนั้นฉู่ชวิ๋นทำสำเร็จก่อน
เหตุการณ์นี้เป็นปัญหามากและฉู่ชวิ๋นก็ทำเรื่องนี้ได้อย่างดีและโดดเด่น มันเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ประเทศชาติมีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะฉะนั้นหัวหน้าหมายเลขหนึ่งจึงเรียกพบเขา เขาก็เลยโชคดีที่ได้นั่งเฮลิคอปเตอร์มาเมืองจิงพร้อมกับมังกรเขียว
หลิวเสี่ยวไป๋ดูเบาใจลงมากแล้ว มังกรเขียวที่เป็นถึงขั้นปรมาจารย์ก็ทำให้เธออิจฉามากแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอกังวลมากเกินไป
นอกจากนี้เธอยังเข้าใจแล้วว่าทำไมศิษย์พี่ของเธอจึงเข้าข้างฉู่ชวิ๋น นั่นเพราะเรื่องฉู่ชวิ๋นได้ช่วยคนไว้ แสดงให้เห็นถึงทหารของประเทศจีนที่แข็งแกร่งทำให้ประเทศจีนน่าเกรงขาม ในตอนนี้ก็ต้องชื่นชมเขา จงใจทำให้คนอื่นเห็น อีกอย่างศิษย์พี่เป็นคนพาฉู่ชวิ๋นมาที่นี่
การที่เธอไปท้าทายฉู่ชวิ๋นหลาย ๆ ครั้งทำให้ศิษย์พี่ดูเสียหน้าเพราะฉะนั้นศิษย์พี่จึงดุเธอ ศิษย์ทำไปเพราะหน้าตาไม่ใช่เพราะเข้าข้างฉู่ชวิ๋น
ตราบใดที่เธอทนแล้วรอให้ฉู่ชวิ๋นกลับออกไปก่อน จากนั้นค่อยไปจัดการฉู่ชวิ๋นก็ยังไม่สาย ตราบใดที่เธอไม่โผล่หางออกมา ศิษย์พี่และอาจารย์ของเธอก็คงขี้เกียจเกินไปที่จะสนใจ
“ฉู่ชวิ๋น ไอ้หนอนสกปรก แกควรตายไปตั้งนานแล้วการที่ไว้ชีวิตแกมา 3 ปีถือว่าพวกเราใจดีที่สุดแล้ว ตอนนี้จะให้แกมีชีวิตอยู่อีกหน่อยแล้วกัน” หลิวเสี่ยวไป๋พึมพำพร้อมกับประกายสังหารในดวงตา
เธอมองไปยังข้อความว่าถางโร้ว และเม้มปากของเธอเอาไว้แน่น ดวงตาของเธอดูโหดร้ายและยิ้ม “ถางโร้ว ผู้ชายของเธอทำให้ฉันไม่พอใจ ฉันคงต้องไปลงที่เธอแล้วสิ จะโทษก็โทษพี่ฉู่ชวิ๋นของเธอเถอะ!”
เมื่อพูดจบเธอก็โทรออก
“จับตัวดาราที่ชื่อถางโร้วก่อนฉันจะไปถึง ถางโร้วเป็นของพวกแก” หลิวเสี่ยวไป๋ยิ้มอย่างชั่วร้ายและหัวเราะออกมา
หลังจากที่วางสายไปเธอก็เดินไปนั่งที่ม้าหินอ่อน ฉู่ชวิ๋นก็โทรศัพท์เสร็จแล้วกลับมาแล้ว
หลิวเสี่ยวไป๋หยุดฝีเท้าลง เธอเดินเข้าไปในห้องด้านข้างสักครู่แล้วเดินไปพร้อมกับแก้วไวน์ในมือ
เธอเทไวน์เต็มแก้วแล้วจับแก้วด้วยมือสองข้าง หลังจากนั้นก็ยื่นให้ฉู่ชวิ๋น เธอพูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า
“ท่านพลตรีฉู่ชวิ๋น ฉันขออภัยกับการกระทำเมื่อครู่นี้ด้วยค่ะ ขอให้ท่านยกโทษให้ด้วยนะคะ”
หืม?
ชายชราและหัวหน้าตกใจทันทีที่เห็นฉากนี้ พวกเขารู้จักเสี่ยวไป๋ดี ทำไมเสี่ยวไป๋ถึงขอโทษคนอื่นแบบนี้? เธอกินยาผิดขวดหรือเปล่า?
หลิวเสี่ยวไป๋ไม่สนใจชายชราทั้งสอง เธอยื่นแก้วให้ฉู่ชวิ๋นด้วยความนอบน้อม และรอยยิ้มสดใส ฉู่ชวิ๋นมองไปที่เธอ ดวงตาของเขาหรี่ลงและดวงตาสีเข้มของเขาลึกเหมือนสระน้ำเย็นทำให้หลิวเสี่ยวไป๋สั่นสะท้าน
มือของเสี่ยวไป๋สั่นเล็กน้อย ไวน์ในแก้วหกลงโต๊ะไป 2-3 หยดและมันก็ระเหยหายไปในทันที ร่างกายของเธอรู้สึกแข็งทื่อ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นสายตาแบบนี้ เย็นชา ไร้ความรู้สึก ไม่มีแม้แต่ไออุ่นใด ๆ ไม่มีความรู้สึกอะไรแสดงออกมาเลย
มันทำให้คนรู้สึกราวกับตกลงไปในนรก รู้สึกเย็นเฉียบไปทั่วร่าง