บทที่ 151 ผู้มาเยือน[รีไรท์]
ฉู่ชวิ๋นดีดตัวกระโดดไปข้างหน้า การกระโดดแต่ละครั้งส่งเขาลอยไปไกล 10 เมตร ความรวดเร็วของชายหนุ่มอยู่ในระดับที่น่าทึ่ง เพียงพริบตาเดียว เขาก็มาถึงหน้าประตูสำนักกระบี่ทองคำแล้ว
ชายหนุ่มเดินเข้าไปอย่างเปิดเผย แต่ด้วยความรวดเร็วของเขา กว่าที่คนของสำนักกระบี่ทองคำจะรู้ตัว ฉู่ชวิ๋นก็มายืนอยู่ตรงหน้าป้ายศิลาที่สลักชื่อสำนักกระบี่ทองคำแล้ว
“นั่นใคร?” ยามเฝ้าประตูสองคนเดินเข้ามาถาม พร้อมกับถือกระบี่ยาวเข้ามาด้วย
“ฉันฉู่ชวิ๋นมาหาพวกแกแล้ว!”
เสียงของชายหนุ่มดังก้องกังวานเหมือนเสียงฟ้าผ่า ทำให้ยามเฝ้าประตูทั้งสองคนนั้นสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจกลัว
ตึกที่ทำการของสำนักกระบี่ทองคำส่วนใหญ่ทำจากไม้ เมื่อพบกับคลื่นเสียงของฉู่ชวิ๋นเข้าไป อาคารไม้ก็สั่นสะเทือน
ภายในห้องโถงใหญ่ของสำนักกระบี่ทองคำ มีแต่เพียงผู้อาวุโสของสำนักเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป
บนบัลลังก์ที่อยู่สูงที่สุด ที่นั่งทำจากไม้ต้นแพร์สีเหลืองของแท้ ปกคลุมด้วยหนังเสือ ที่มีความอ่อนนุ่มยิ่งกว่าผ้าไหมผสมผ้าซาติน
ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยท่าทางผึ่งผาย สายตาที่จ้องมองผู้อาวุโสเบื้องล่างเต็มไปด้วยความวางอำนาจ เขาคือเจ้าสำนักกระบี่ทองคำคนใหม่ มีนามว่าหยานซง
“ท่านเจ้าสำนักครับ ตามข้อมูลที่เราได้มา ฉู่ชวิ๋นสังหารผู้อาวุโสของสำนักเราไปมากมาย และเขากำลังจะมาหาพวกเราที่นี่ด้วยตัวเอง” ชายชราที่ไว้เคราแพะคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย
นี่คือเชียนเหลย รองเจ้าสำนักกระบี่ทองคำ ตอนที่เฉียงไท่เรียกหากำลังเสริม เชียนเหลยยกกำลังพลบุกไปที่ภูเขาเฉียนหลง แต่ว่าตอนที่เขาไปถึง เชียนเหลยก็ได้เป็นสักขีพยานการต่อสู้ระหว่างฉู่ชวิ๋นกับราชาปีศาจ ซึ่งทำให้เขาหวาดกลัวเสมือนตกอยู่ในฝันร้าย
“มันจะมาที่นี่เรอะ?” หยานซงมีดวงตาเป็นประกายขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเหยียดแผ่นหลังนั่งหลังตรง พูดว่า “สำนักกระบี่ทองคำเป็นสำนักระดับหนึ่ง มีอำนาจยิ่งใหญ่เกรียงไกรเกินจินตนาการ ฉู่ชวิ๋นมีแค่เพียงตัวคนเดียว มันอยากจะรนหาที่ตายนักหรือไง?”
“นับว่ามันรนหาที่ตายจริง ๆ แล้ว ไอ้เด็กคนนี้มันหาเรื่องเขาไปทั่ว แม้แต่ผู้อาวุโสกระบี่ทองคำก็ไม่ละเว้น สงสัยมันจะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าอำมหิต
“ฉู่ชวิ๋นเป็นใครมาจากไหนไม่มีใครรู้ อยู่ดี ๆ ก็มีฝีมือเก่งกล้าขึ้นมา สงสัยข่าวลือที่ว่ามันมีคัมภีร์ความลับฟ้าอยู่ในมือ จะเป็นเรื่องจริงนะครับ” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น
“เห็นว่ามันได้รับฉายาว่าเป็นจอมมารคนใหม่ ฝีมือการฆ่าคนของมัน เป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็ว่าได้ ช่างป่าเถื่อนเสียจริงๆ”
“หุบปาก!” เชียนเหลยพลันคำรามออกมา
ทุกคนตกตะลึง แต่ไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม
ถึงแม้ว่าเชียนเหลยจะมีสถานะเป็นเพียงแค่รองเจ้าสำนัก แต่เขาก็คือมันสมองของสำนักกระบี่ทองคำ ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้อาวุโสในสำนักเป็นอย่างสูง แถมประวัติของเขาก็ไม่ใช่เล่น ๆ เชียนเหลยเคยฆ่าคนตายมาแล้วหลายร้อยคน
นอกจากนี้ สำนักกระบี่ทองคำสามารถเลื่อนอันดับขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ในเวลาแค่เพียง 3 ปี การฆ่าคนหลายร้อยศพของเขาคือปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าเชียนเหลยอาจได้รับความเคารพมากยิ่งกว่าหยานซงด้วยซ้ำไป
หยานซงหันขวับไปมองเชียนเหลยอย่างต้องการคำตอบ
“ท่านเจ้าสำนัก ฉู่ชวิ๋นมีฝีมือร้ายกาจไม่ใช่เล่น อย่าได้ประเมินมันต่ำเกินไปเด็ดขาด” พูดจบ เขาก็หันไปมองหน้าผู้อาวุโสคนที่พูดดูถูกฝีมือของฉู่ชวิ๋น แล้วหัวเราะเยาะว่า “นายคิดเหรอว่าฉู่ชวิ๋นได้ฉายาจอมมารมาเพราะโชคช่วย? มีขั้นปรมาจารย์ตายในมือเขามากกว่าที่นายเคยเห็นเสียอีก คนที่เป็นกบในกะลาไม่ควรพูดจาไร้สาระ อย่าได้พูดอวดฉลาดให้ฉันได้ยินอีกเด็ดขาด”
ผู้อาวุโสคนนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำ หัวใจแตกสลาย เขามั่นใจว่าเชียนเหลยไม่ได้มีเจตนาหักหน้าเขาอย่างแน่นอน สิ่งที่เชียนเหลยพูดออกมาต้องเป็นความจริง ดูเหมือนว่าฉู่ชวิ๋นจะเป็นตัวปัญหาของพวกเขาจริง ๆ แล้ว
บรรดาสมาชิกในห้องโถงถึงกับเงียบกริบ บรรยากาศเงียบงันจนน่าขนลุก
“แต่อย่างไรฉู่ชวิ๋นก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง มันจะเก่งสักเท่าไหร่กันเชียว? อีกอย่าง สำนักเราตั้งอยู่ในที่ห่างไกลขนาดนี้ ต่อให้มันเดินทางมาจริง ก็คงหาเราไม่เจอหรอก เราอยู่ห่างจากเมืองหลวงตั้งขนาดนี้ ฉู่ชวิ๋นไม่โง่พอที่จะหาปัญหาใส่ตัวขนาดนั้น ต่อให้มันมาจริง หยานซงคนนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามันสักหน่อย…”
หยานซงพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนดังลั่นว่า
“ฉันฉู่ชวิ๋นมาหาพวกแกแล้ว!”
เสียงตะโกนนี้ดังก้องกังวานอยู่อึดใจใหญ่
หยานซงอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
เชียนเหลยยกมือลูบเคราแพะของตัวเอง แต่มือของเขาสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดใจ
ผู้อาวุโสในสำนักทุกคนไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
เมื่อพูดถึงปีศาจ ปีศาจก็มาหาทันที รวดเร็วทันใจภายในพริบตาเดียว
ในโลกยุทธภพตอนนี้ จะมีใครบ้างไม่รู้จักคนที่ชื่อว่าฉู่ชวิ๋น?
เมื่อคิดถึงภาพลักษณ์อันร้ายกาจของฉู่ชวิ๋น และการสังหารราชาปีศาจรวมถึงจอมยุทธ์ระดับสูงในภูเขาเฉียนหลง เมื่อนำทุกอย่างมาประกอบรวมกันทีละเล็กทีละน้อย สมาชิกของสำนักกระบี่ทองคำหลายร้อยคน ก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว
“ฉู่ชวิ๋นจอมอำมหิตมาที่นี่แล้วจริงๆ” ใครคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ฉู่ชวิ๋นมาแล้ว พวกเราตายแน่”
“ทั้งหมดเป็นเพราะเฉียงไท่คนเดียวแท้ๆ ทำไมถึงต้องไปมีปัญหากับฉู่ชวิ๋นด้วยนะ ตอนนี้มันมาที่นี่แล้ว พวกเราตายกันหมดแน่ ฉันยังไม่อยากตาย…”
สมาชิกส่วนใหญ่พากันคร่ำครวญด้วยความหวาดกลัว
ตอนแรก ยังมีสมาชิกของสำนักหลายคนยืนทำหน้าที่คุ้มกันประตู แต่เมื่อได้ยินชื่อของฉู่ชวิ๋น ทุกคนก็หมดแรงยืนเฝ้าประตูอีกต่อไป พวกเขาพากันหันหลังกลับและวิ่งหนีไปหางจุกตูด บางคนถึงกับโยนกระบี่ในมือทิ้งไป เพื่อยกมือขึ้นมากุมศีรษะ เนื่องจากได้ยินข่าวลือมาว่าฉู่ชวิ๋นชอบตัดหัวศัตรูเป็นที่สุด
บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ของสำนักกระบี่ทองคำ น่าอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง
เพราะว่าเมื่อสักครู่นี้ หยานซงเพิ่งจะพูดไปว่าฉู่ชวิ๋นไม่มีทางหาสำนักกระบี่ทองคำเจออย่างแน่นอน หรือถ้าหาเจอ หยานซงก็จะออกไปรับมือด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ผู้เป็นเจ้าสำนักคนใหม่กลับพูดอะไรไม่ออก ดวงตาของเขาจ้องมองแต่ที่ประตู ไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นไปต่อสู้แต่อย่างใด
หยานซงปากสั่นระริก ดวงตาเบิกโตด้วยความโกรธแค้น
“เราจะทำยังไงกันดี” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถาม
“ฉันจะไปจัดการมันเอง”
ดวงตาของหยานซงเป็นประกายอำมหิตขึ้นมาแล้ว เขาหยิบกระบี่ทองคำที่มีความยาวเกือบ 3 เมตรติดตัวไปด้วย เวลาที่เขาสะบัดกระบี่ตัดอากาศ จะมีเสียงลมถูกตัดดังขวับๆ น่าหวาดกลัว
“ท่านเจ้าสำนัก อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม” ผู้อาวุโสอีกคนร้องเตือน
“ก่อนอื่น เรามาฟังคำแนะนำจากรองเจ้าสำนักดีกว่าครับ ว่าเราจะทำยังไงกันดี”
เชียนเหลยเลิกคิ้วขึ้นสูง ฉู่ชวิ๋นมาอย่างกะทันหันเกินไป เขาเคยเห็นฝีมือการต่อสู้ของชายหนุ่มมากับตา แต่กลับไม่สามารถรู้ว่าวิทยายุทธของฉู่ชวิ๋นนั้นสูงถึงขนาดไหนกันแน่ ทำให้เขารู้สึกเป็นฝ่ายตั้งรับ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เชียนเหลยไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไรดี
หยานซงทนไม่ไหว คำรามออกมาว่า “พวกเราจะกลัวฉู่ชวิ๋นไปทำไม? ที่ทุกคนได้ยินมา มันก็แค่ข่าวลือเท่านั้น ความจริงมันอาจจะไม่ได้เก่งขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่เชื่อว่ามันจะมีสามหัวหกกร ถึงยังไงมันก็มาที่นี่แล้ว มันเป็นแค่วัยรุ่นอายุ 20 กว่าปี ทำไมพวกเราถึงต้องกลัวมันด้วยล่ะ?”
ทุกสายตาหันขวับไปมองที่เชียนเหลย
เชียนเหลยพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ ขณะที่กัดฟันกรอด ดวงตาเป็นประกายอำมหิต “อย่างที่ท่านเจ้าสำนักพูดนั่นแหละ พวกเราต้องออกไปเผชิญหน้าฉู่ชวิ๋น ถ้ามันกล้ามาถึงที่นี่ เราก็จะสั่งสอนมันเอง ม่านพลังของสำนักกระบี่ทองคำ ใช่ว่าจะทำลายได้ง่ายๆ สักหน่อย”
เมื่อได้ยินชื่อม่านพลังสำนักกระบี่ทองคำ ทุกคนก็มีสีหน้าที่โล่งใจขึ้นไม่น้อย
“ไปกันเถอะ!”
หยานซงโบกมือและทุกคนก็รีบเดินไปที่ประตูทันที
……
……
ฉู่ชวิ๋นยืนอยู่หน้าประตูสำนักกระบี่ทองคำ และจ้องมองคนกลุ่มใหญ่ที่ปรากฏตัวขึ้นด้วยสายตาเย็นชา
“แกคือฉู่ชวิ๋นใช่ไหม?”
หยานซงตกตะลึงไปเล็กน้อย เมื่อพบว่าฉู่ชวิ๋นตัวจริงยังอายุน้อย และมีหน้าตาหล่อเหลา
สมาชิกของสำนักกระบี่ทองคำได้แต่จ้องมองมาที่ฉู่ชวิ๋นเป็นตาเดียว ชายหนุ่มไม่ได้มีลักษณะป่าเถื่อนเหมือนปีศาจร้ายอย่างที่เคยคิดเอาไว้ ฉู่ชวิ๋นตัวจริงมีลักษณะเหมือนกับเด็กนักเรียนมหาวิทยาลัยเท่านั้น…หรือว่า
ฉู่ชวิ๋นคนนี้จะเป็นตัวปลอมกันแน่?
“แกล่ะเป็นใคร” ฉู่ชวิ๋นหรี่ตาลงเล็กน้อย
“ฉันหยานซง เจ้าสำนักกระบี่ทองคำ”
ฉู่ชวิ๋นมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ตอบสนองสิ่งใด เหมือนกับว่าไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
หยานซงรู้สึกเสียหายเหมือนโดนดูถูก ไอ้เด็กคนนี้มันพูดจาดีๆ ไม่ได้ใช่ไหม หรือว่ามันไม่เคยไปโรงเรียน ถึงได้ไม่มีครูสอนเรื่องมารยาทเวลาพูดคุยกับคนอื่น?
มันไม่รู้หรือไงว่าเวลาคนอื่นถาม ก็ต้องตอบคำถาม แต่นี่มันกลับทำเฉยเมย แบบนี้หมายความว่ายังไง อยากจะหักหน้ากัน หรือว่ามันกำลังเล่นสงครามประสาทอยู่กันแน่?