ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 279: เส้นทางการค้าต่างประเทศ

บทที่ 279: เส้นทางการค้าต่างประเทศ

“ข้ารอฟังอยู่” จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งแย้มยิ้มและนั่งลง เขาเริ่มสนใจเด็กหนุ่มตรงหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ

หนังหนา ใจดำ และกล้าจนไม่น่าเชื่อในบางครั้ง บางที่ฉินเย่อาจจะไม่ใช่ประเภทที่มีความชำนาญในการรบหรือการทำสงคราม… แต่มันก็มีเพียงยมโลกที่กำลังจะล่มสลายเท่านั้นที่จำเป็นต้องให้จ้าวนรกปรากฏตัวในสนามรบ

ผู้ที่มีกำลังและอำนาจจำเป็นต้องมีความสามารถในการจัดการผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเท่านั้น

“อย่างที่ท่านรู้ ยมโลกแห่งใหม่เพิ่งถูกก่อตั้งขึ้น และเส้นทางการค้าก่อนหน้านี้ทั้งหมดที่ถูกสร้างโดยยมโลกแห่งเก่าก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม การพัฒนาและการเจริญเติบโตจะไม่เกิดขึ้นหากไม่เปิดโอกาส…”

“ท่าน… ต้องการจะสร้างเส้นทางการค้ากับฮันยางอย่างนั้นหรือ ?” จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งเข้าใจทันทีว่าฉินเย่ต้องการจะสื่ออะไร

“ท่านไม่ต้องการ ?” ฉินเย่วางแก้วไวน์ลงและสบตากับอีกฝ่าย

จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งไม่ได้ตอบออกไปทันที กลับกัน เขาเพียงควงแก้วของตนเบา ๆ ราวกับกำลังคิดบางอย่าง วินาทีต่อมา เขาก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ “แล้วหากข้าไม่ตกลง ?”

“เช่นนั้นมันจะมีแรงจูงใจอะไรให้ข้าลบชื่อของท่านออกจากบันทึกนรกกัน ?” น้ำเสียงที่นิ่งเรียบของฉินเย่เปลี่ยนเป็นเผด็จการ “เหตุใดข้าต้องทนต่อการประกาศอิสรภาพของโลกใต้พิภพที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อยมโลกด้วย ?!”

“แล้วสิ่งใดที่ทำให้ท่านมีความมั่นใจที่จะมาขวางทางเรา ?” จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งแสยะยิ้ม “ท่านคงจะไม่ได้กำลังจะบอกข้าว่าท่านยังมีทหารวิญญาณที่ทรงพลังนับล้านสนับสนุนอยู่เบื้องหลังหรอกใช่หรือไม่ ??”

ฉินเย่แค่นหัวเราะออกมาอย่างดูถูก “ไร้สาระ พวกท่านคงจะรู้ดีกว่าข้าเสียอีกว่าสภาพของยมโลกในตอนนี้เป็นอย่างไร แต่ตราบใดที่ยังไม่มีสิ่งใดเปลี่ยน ท่านก็ยังคงเป็นเจ้าหน้าที่ของยมโลก และหากข้าเรียกตัว มันก็เป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องตอบรับ มิเช่นนั้น… ข้าเชื่อว่าท่านตี้ทิงคงยินดีที่จะคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวแทนข้าแน่”

จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน “หากท่านตี้ทิงสามารถมาพูดกับเราได้อย่างที่ท่านว่า มันจะมีเหตุผลอะไรที่จะต้องมอบอิสรภาพให้กับข้า ? ข้าเดาว่าท่านตี้ทิงเองก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนักในตอนนี้ และมันก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเรียกการตอบรับจากท่าน อย่างน้อยที่สุด ความเป็นอิสระของฮันยางก็ไม่ควรค่าพอสำหรับการตอบรับของท่าน”

ฉินเย่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบนิ่ง “แต่ไม่ว่าอย่างไร นั่นก็ยังเป็นท่านตี้ทิงอยู่ดี”

เมื่อสิ้นสุดเสียงพูดทั้งสองฝ่ายก็เงียบไป

ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ถึงไพ่ไม้ตายที่ซ่อนอยู่ของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ฉินเย่กำลังอวดอ้างถึงความแข็งแกร่งของท่านตี้ทิง ในขณะที่จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งเองก็สามารถเดาได้ว่าท่านตี้ทิงกำลังอยู่ในสภาพที่อ่อนแอกว่าปกติ แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามากเพียงใด นอกจากนี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอ่อนแอเพียงใด ท่านตี้ทิงก็ยังเป็นท่านตี้ทิง !

และท่านก็เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ขั้นพระยม !

หลังจากถูกปกคลุมด้วยความเงียบที่น่าอึดอัดเป็นเวลานาน ในที่สุดชายร่างผอมก็เป็นฝ่ายละสายตาและมองแก้วไวน์ตรงหน้าตน “สินค้าจากยมโลกแห่งใหม่มีความพิเศษอย่างไร ?”

เขาตกลง !

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พวกเขากำลังเจรจา มันเป็นกระบวนการของการให้และรับ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาแต่ให้และอีกฝ่ายหนึ่งเอาแต่รับ มันก็จะไม่ต่างอะไรกับการแย่งชิงและเบียดเบียน เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิโบราณตรงหน้าไม่ต้องการผิดใจกับยมโลกแห่งใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อร่างของพวกเขามีกลิ่นของท่านตี้ทิงติดอยู่ นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านตี้ทิงกับยมโลกแห่งใหม่เลยแม้แต่น้อย และนั่นก็รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าท่านตี้ทิงแทบจะอดรอไม่ไหวที่จะทำลายจ้าวนรกองค์ใหม่ด้วย…

และฉินเย่ก็เป็นปรมาจารย์แห่งการคว้าโอกาสและใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบทั้งหมดที่ตนมี

“พวกเรามีหลายอย่าง” ฉินเย่ยักไหล่ “หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าประชากรของเราไม่สามารถบริโภคสินค้าที่เราผลิตออกมาได้จนหมด ข้าก็คงไม่เสนอข้อเสนอนี้ให้กับท่านตั้งแต่แรก”

ริมฝีปากของจักรพรรดิหวู่แห่งซ่งกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะสามารถเชื่อคำของอีกฝ่ายได้มากเพียงใด !

เขาสามารถบอกได้ว่าฉินเย่คือคนประเภทที่รับมือด้วยยากอย่างถึงที่สุดหากเขาไม่สามารถบดขยี้อีกฝ่ายได้ในคราวเดียว

“และหากข้าตกลง ?”

“เช่นนั้นเราก็จะสร้างเมืองท่าที่ทั้งสองฝ่ายสามารถทำการค้ากันได้ขึ้นมา”

“นั่นนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว” จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งควงแก้วของตนเบา ๆ “ท่านวางแผนที่จะพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดทั้งหมดนั้นที่นี่ ตอนนี้เลยหรือไม่ ?”

ข้อกำหนดและเงื่อนไขสำหรับโครงการร่วมขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คน ๆ เดียวจะสามารถตัดสินได้ มันยังมีค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์มากมายที่ต้องชั่งน้ำหนักและพิจารณา ฉินเย่ไม่ได้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นจะต้องหาผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดีมาเพื่อช่วยวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งหมด แต่เขาไม่ได้พาใครมาด้วยเลย

“แน่นอนว่าไม่” ฉินเย่เอนหลังพิงพนักอย่างเกียจคร้าน “ข้าจะเชิญข้าราชการศักดินาทุกตนที่สนใจให้เดินทางมาที่ยมโลกแห่งใหม่ในเดือนธันวาคม ไม่แน่…”

เขาแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย “เมื่อถึงเวลานั้น… ท่านอาจจะไม่อยากจะประกาศอิสรภาพแล้วก็ได้ ใครจะรู้กัน ?”

ชายร่างผอมยังคงเงียบ สมองและสัญชาตญาณของเขากำลังตะโกนอยู่ภายในใจ ว่าการกระทำทั้งหมดของอีกฝ่ายเป็นเพียงกลยุทธ์ในการยืดระยะเวลาเท่านั้น

เพราะอย่างไรแล้ว การทำข้อตกลงในการสร้างเส้นทางการค้าระหว่างโลกใต้พิภพทั้งสองแห่งจะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนเต็มในการร่างขึ้นมา

ทว่าก่อนเขาจะได้เอ่ยอะไรออกไป ฉินเย่ก็เอ่ยต่อ “และหากท่านสงสัยว่าเหตุใดข้าจึงต้องการระยะเวลาอีกครึ่งปี นั่นก็เพราะ… ข้ามีอีกประการหนึ่ง”

จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งมองฉินเย่ด้วยสายตาล้ำลึก และเสียงที่เอ่ยออกไปของเขาก็เจือไปด้วยการเตือนกราย ๆ “จ้าวนรกฉิน ข้าได้ผ่อนปรนให้ท่านเพื่อเห็นแก่สถานะของท่าน แต่ท่านเองก็ไม่ควรจะล้ำเส้นเกินไปเช่นกัน”

หากเป็นใครอื่นที่ได้ยินคำเตือนของชายร่างผอมคงจะรีบกลับคำของตนทันที

แต่นั่นไม่ใช่ฉินเย่

เพราะอย่างไรแล้ว ฉินเย่ก็เป็นคนประเภทที่จะไม่ยอมก้มหัวให้ใครจนกว่าจะมีคนเอามีดมาจ่ออยู่ที่คอ แต่เขาก็ยังเป็นประเภทที่จะวิ่งหนีไปเร็วกว่าใครทันทีที่มีมีดมาจ่อที่คอเช่นกัน

ทันทีที่ฉินเย่ประเมินคน ๆ หนึ่งว่าไม่มีอันตรายใด ๆ เหมือนแมวข้างบ้าน เขาก็จะเป็นคนแรกที่จะใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอของคน ๆ นั้นและก้าวข้ามอีกฝ่ายไป

“เรื่องที่เราคุยก่อนหน้านี้เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น” ฉินเย่ไม่สนใจคำเตือนของชายตรงหน้าและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย สบตาอย่างไม่ลดละ เด็กหนุ่มเอ่ยต่อ “นี่คือคำขอที่สำคัญที่สุดที่ข้ามี ข้า… หวังว่ายมโลกของจีนและโลกใต้พิภพของฮันยางจะสามารถสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้วยกันได้”

เงียบ

ลูกไฟสีทองในเบ้าตาลึกวูบไหวอย่างรุนแรงขณะที่จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งสบตากับฉินเย่

ไม่มีฝ่ายไหนละสายตาจากกัน

ทั้งโลกดูเหมือนจะเกิดความโกลาหลขึ้นได้ทุกเมื่อ

โลกใต้พิภพมักมีการตรวจสอบและสืบสวนเกี่ยวกับกันและกันอย่างลับ ๆ มาโดยตลอด ดินแดนที่ไร้ผู้ปกครองเองก็ถือว่าเป็นดินแดนพิพาทที่โลกใต้พิภพแต่ละแห่งพยายามแช่งชิงจากกันและกันอย่างไม่หยุดหย่อน ยิ่งโลกใต้พิภพมีอาณาเขตมากเท่าไหร่ จำนวนวิญญาณที่พวกเขามีก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งมีจำนวนวิญญาณมากเท่าไหร่ การพัฒนาและการเจริญเติบโตของโลกใต้พิภพนั้น ๆ ก็จะยิ่งรวดเร็วขึ้น ! มันเป็นวัฏจักรที่แพร่หลาย แม้แต่ในตะวันออกเองก็ตาม

สิงหปูระ เบอร์มาเนีย[1] จักรวรรดิเขมร[2] ฟิลิปินัส[3] มาลายา… ทั้งหมดนี้ต่างเป็นประเทศที่ไม่ได้มีโลกใต้พิภพที่เป็นเอกเทศของตัวเอง และการจัดการของพวกเขาส่วนใหญ่ก็อาศัยจากการมีอยู่ของทหารรักษาการณ์ของประเทศอื่น ๆ ทันทีที่พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ถูกก่อขึ้น ฮันยางจะต้องสนับสนุนการสำรวจของยมโลกด้วยกองกำลังของพวกเขาด้วย

ยมโลกเพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ อีกฝ่ายจะมีกองกำลังทหารมากลักเพียงใดเชียว ?

แต่ถึงกระนั้น จักรพรรดิหวู่แห่งซ่องก็ยังรู้สึกถูกโน้มน้าวอยู่ดี

นี่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขารู้ดีว่าดินแดนที่ไร้ผู้ปกครองเหล่านี้ต่างเป็นสถานที่ที่จีนเคยปกครองมาก่อน เมื่อเคยเป็นรัฐบริวารของจีนแล้วครั้งหนึ่ง มันก็จะไม่ใช่การยากที่พวกเขาจะถูกปกครองด้วยจีนอีกครั้ง พันธมิตรเชิงกลยุทธ์จึงเป็นการช่วยสร้างความแข็งแกร่งและทำให้รัฐใหม่มีเสถียรภาพด้วยประสิทธิภาพที่มากกว่าเดิม นอกจากนี้ โลกปัจจุบันก็สงบสุขเป็นอย่างมาก และการรุกรานรัฐที่ไร้ผู้ปกครองเหล่านี้ก็จะต้องสร้างความปั่นป่วนให้กับทั่วโลกอย่างแน่นอน ! และด้วยพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ยมโลกจะกลายเป็นเกราะป้องกันจากโลกใต้พิภพทั้งหมด

ฉินเย่เองก็ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ดี แต่หากต้องการบางสิ่ง มันก็ต้องยอมที่จะเสียบางอย่าง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตโดยที่ยังไม่ได้หว่านเมล็ด

“ท่านวางแผนที่จะยึดครองที่ใด ?” จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งเลียริมฝีปากของตนและเอ่ยด้วยเสียงที่แหบพร่า

“ญี่ปุ่น” ฉินเย่เอ่ยตอบเสียงเย็น “ข้าตั้งใจที่จะระดมกองกำลังในการจัดการญี่ปุ่น มุ่งหน้าผ่านถ้ำอามาโนะอิวาโตะ[4] และโค่นล้มอิซานามิให้ได้ภายในอีกครึ่งศตวรรษ”

“เหตุผล ?”

“เพราะมันทำให้ข้ามีความสุข” ฉินเย่แย้มยิ้มบาง

“เป็นเหตุผลที่ดี”

สำหรับพวกเขา ระยะเวลา 50 ปีนั้นผ่านไปไวราบกับดีดนิ้ว

หลังจากที่มีชีวิตอยู่มากว่าพันปี ระยะเวลาแค่ 50 ปีจะทำอะไรเขาได้ ?

“แต่ญี่ปุ่นมีโลกใต้พิภพของตนเอง…” จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งแย้มยิ้มราวกับเสือที่กระหายเลือด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเอ่ยเตือนฉินเย่ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น “ท่านแน่ใจหรือว่ายมโลกแห่งใหม่จะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับการคว่ำบาตรจากโลกใต้พิภพแห่งอื่นหากท่านเป็นฝ่ายเริ่มสงครามระหว่างโลกใต้พิภพ ? ตัวข้าเองไม่ได้รับผิดชอบในส่วนนี้”

“นอกจากนี้ ภูมิประเทศภายในของญี่ปุ่นเองก็ค่อนข้างซับซ้อน หากท่านไม่มีผู้ที่คุ้นชินกับพื้นที่และกองกำลังของญี่ปุ่น มันก็จะเป็นการยากมากที่จะนำกองกำลังข้ามมหาสมุทร เข้ารุกรานญี่ปุ่นและไปถึงถ้ำอามาโนะอิวาโตะ”

“และนี่ยังไม่ได้พูดถึงคุนิซึคามิ[5] อีกแปดล้านตนที่คอยปกปักรักษาดินแดนอยู่อีก นอกจากนี้ หากท่านสามารถทำสำเร็จ ท่านจะแต่งตั้งใครให้เป็นข้าราชการศักดินาของที่นั่น ? พวกเราไม่ได้อยู่ในยุคสมัยที่มนุษย์นั้นโง่เขลาอีกต่อไป หากท่านไม่สามารถหาผู้ที่เหมาะสมได้ ความพยายามทั้งหมดของท่านจะสูญเปล่า”

“ราชาแห่งฮันยาง ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้” ฉินเย่ลุกขึ้นยืนและจัดปกเสื้อของตนเอง “เอาล่ะ เอาเป็นว่าเราจะเจอกันอีกทีปลายปีนี้ ? ข้าเชื่อว่าข้อตกลงทั้งสองนี้และเรื่องอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นจะต้องมีมากพอให้หัวสมองของเราไม่ว่างคิดเรื่องอื่นไปอีกครึ่งปีแน่ ๆ”

พูดเป็นเล่นน่า… ท่านคิดว่าที่ข้าแย่งวิญญาณของโอดะโนบูนางะมานั้นมันเพื่ออะไรกัน ?

สำหรับตอนนี้ โนบูนางะจะเป็นหัวหอกสำคัญในการระดมกองกำลังในยมโลกแห่งใหม่และเป็นผู้นำของกองกำลังรักษาความปลอดภัยที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ จากนั้น เมื่อยมโลกสามารถจัดการกับเมืองใต้พิภพได้ เขาก็จะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะประจำการอยู่ที่นั่นและรับผิดชอบกิจการทั้งหมดในญี่ปุ่นต่อไป !

ไม่เชื่อฟังหรือ ?

ตาย ! ตาย ! ตาย !

จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งไม่ได้เอ่ยอะไรอีกหลังจากนั้น เขาเพียงยกแก้วขึ้นเล็กน้อยขณะที่ฉินเย่เดินจากไป ประตูไม้มะฮอกกานีขนาดใหญ่ถูกปิดลงทันทีที่เด็กหนุ่มก้าวออกไปจากโถง

หลังจากนั้นก็มีเพียงชายร่างผอมเท่านั้นที่เหลืออยู่ภายในห้อง

“น่าสนใจ…” เขาจิบไวน์ในแก้วของตนเงียบ ๆ และหลังจากผ่านไปสิบนาทีเต็ม เขาก็เงยหน้าและระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง “จ้าวนรกองค์แรกนั้นเก่งกาจและมีกลยุทธ์ จ้าวนรกองค์ที่สองมีระดับการบ่มเพาะที่ไม่สามารถเทียบได้… มากจนตำนานกล่าวว่าแม้แต่สวรรค์ยังต้องยอมให้เขาอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน แต่จ้าวนรกองค์ที่สามผู้นี้… เขาดูจะเจ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอกไม่มีผิด…”

“พิชิตญี่ปุ่น… ช่างเป็นความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ …แต่มันจะไม่น่าเบื่อเกินไปหรอกหรือหากมีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ ?”

เป๊าะ… เขาดีดนิ้ว และกลุ่มก้อนพลังหยินก็ก่อตัวเป็นนกกางเขนที่ลอยอยู่เบื้องหน้า ชายสูงวัยเพียงเอ่ยสั่งเรียบ ๆ “จงไปหาข้าราชการศักดินาโจวกงจินและหยางจีเย่ บอกพวกเขาว่าข้าอยากจะเชิญพวกเขากลับไปเยือนบ้านเกิดในปลายปีนี้ ส่วนข้าราชบริพารผู้ยิ่งใหญ่ตนอื่น ๆ …ข้าขอเวลาครุ่นคิดอีกสักนิดก่อนที่จะส่งคำเชิญไป”

ฉินเย่นั้นไม่รับรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

ทันทีที่เขาก้าวออกมาจากห้องโดยสารของเรือ สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คืออาร์ทิสที่กำลังยืนรอเขาอยู่

“เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกหรือ ?”

“เหตุใดข้าจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ?” ฉินเย่มองอาร์ทิสอย่างพิลึกก่อนจะลดเสียงลงเป็นกระซิบ “ข้ารู้ว่าท่านต้องการจะถามอะไร แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะพูดเรื่องนี้ ออกไปจากที่นี่แล้วเราค่อยว่ากันอีกที”

อาร์ทิสไม่ปฏิเสธอะไร รุ่นอรุณยังไม่มาถึง และพื้นที่โดยรอบก็ยังคงมืดสนิท ฉินเย่เปลี่ยนร่างเป็นยมทูตและจากไปพร้อมกับอาร์ทิส และเขาก็ใช้เวลาไม่ถึง 40 นาทีในการเดินทางกลับไปถึงที่โรงแรม

หลังจากนั้น แสงไฟในห้องก็สว่างไปอีกสองชั่วโมงเต็ม

“เจ้าสามารถโน้มน้าวให้จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งไปที่ยมโลกแห่งใหม่ในปลายปีเพื่อลงนามในข้อตกลงเรื่องเส้นทางการค้าและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ได้ ?!” อาร์ทิสอุทานเสียงแหลม สีหน้าที่ฉายชัดออกมาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

ฉินเย่ใช้นิ้วแคะหูของตนอย่างไม่พอใจนัก “ใจเย็น ๆ ใจเย็น ๆ มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเอะอะโวยวาย”

แต่อีกฝ่ายก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนั้นหมดนั้นเหลือเชื่อเกินไปอยู่ดี “เป็นไปได้อย่างไร… เรากำลังพูดถึงจักรพรรดิหวู่แห่งซ่งนะ… เจ้าสามารถทำมันได้อย่างไรกัน ?!”

“ง่ายมาก ข้าเพียงอาศัยข้อเท็จจริงและการใช้เหตุผลอย่างชาญฉลาด ในเมื่อเขาเองก็จะได้รับผลประโยชน์ในเรื่องนี้ ดังนั้นมีเหตุผลอะไรที่จะต้องปฏิเสธ ?” ฉินเย่กลอกตา

“… บอกมา ! เหตุใดเจ้าถึงเชิญเขาไปที่ยมโลกในปลายปี ?!”

“เอโค” ฉินเย่ที่ล้มตัวนอนอย่างขี้เกียจและพลิกตัวหันมาพูด “หากพูดตามตรงก็คือข้าอยากให้พวกเขาไปเห็นสภาพของยมโลกในเวลานั้น”

“แม้แต่คนตาบอดก็สามารถบอกได้ว่ายมโลกนั้นอยู่บนเส้นทางแห่งการเจริญเติบโตและรุ่งโรจน์ ข้าต้องการให้พวกเขาเข้าใจว่าท่านตี้ทิงนั้นอยู่ภายใต้ยมโลกแห่งใหม่ แน่นอน ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขามีโอกาสได้สังเกตยมโลกอย่างละเอียด และพวกเขาเองก็ไม่กล้าล้ำเส้นของตัวเองเช่นกัน เจตนาของข้าก็คือการกำราบความทะเยอทะยานในอำนาจภายในใจของพวกเขาก่อนที่มันจะเกิดขึ้น และข้าก็มั่นใจมากว่ามันจะต้องมีข้าราชการศักดินาบางตนที่กำลังวางแผนที่จะใช้โอกาสนี้ในการแย่งชิงบัลลังก์ ดังนั้นข้าจึงวางแผนที่จะใช้ปากของจักรพรรดิหวู่แห่งซ่งผู้นี้ในการประกาศให้พวกเขาได้รู้ว่าราคาที่ต้องจ่ายในการล้ำเส้นเรานั้นมันมากจนพวกเขามิอาจจ่ายได้ !”

แววตาของอาร์ทิสวูบไหวอย่างบ้าคลั่ง เป็นการดีที่จะจัดการปัญหาตั้งแต่ราก และเมื่อมันสำเร็จ พวกนางก็ไม่จำเป็นต้องคอยกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป

ไม่เช่นนั้น… วันนี้อาจจะมีเพียงจักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง แต่วันข้างหน้าอาจจะมีข้าราชการศักดินาตนอื่น ๆ อีก ในกรณีนี้ อาร์ทิสนั้นรู้ดีกว่าฉินเย่เสียอีกว่ายมโลกจะต้องรับมือกับฝ่ายใดบ้าง เพราะอย่างไรแล้ว นางก็รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเหล่าข้าราชการศักดินาที่ได้รับหน้าที่ให้ไปประจำการที่นอกอาณาเขตโดยยมโลกแห่งเก่าเป็นอย่างดี !

อีกฝ่ายอาจจะมีจำนวนไม่มาก แต่ทั้งหมดก็เป็นหัวกะทิในหมู่หัวกะทิอย่างไม่ต้องสงสัย !

ยิ่งกว่านั้น นางก็รู้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ภายในคำพูดของฉินเย่ หากพวกเขาสามารถสร้างกองกำลังเหล่านี้ไว้ภายใต้อำนาจได้ ความแข็งแกร่งของยมโลกก็จะพุ่งทะยานขึ้นอย่างแน่นอน !

“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าเขาจะมา ?”

“เขาจะมาแน่ เพราะข้อเสนอที่ข้ามอบให้นั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถปฏิเสธได้” ฉินเย่หรี่ตาลง “นอกจากนี้ ข้ายังแน่ใจอีกด้วยว่าเขาจะไม่ได้มาเพียงลำพัง เพราะเขาก็คงจะเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวเองเช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ‘อยู่ยงคงกระพัน’ ก็ไม่มีความหมายอะไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่มีค่าพลังหยินสูงถึง 30 ล้าน เขาจะต้องเรียกข้าราชการศักดินาตนอื่น ๆ มาด้วยแน่ !”

[1] สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

[2] ราชอาณาจักรกัมพูชา

[3] สาธารณรัฐฟิลิปปินส์

[4] ถ้ำในตำนานของญี่ปุ่นที่ว่ากันว่าเป็นที่สถานที่ซึ่งเทพอามาเทราสึได้ขังตัวเองเอาไว้และทำให้แสงสว่างหายไปใจแผ่นดินญี่ปุ่น

[5] เทพแห่งพื้นพิภพของญี่ปุ่น

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

Status: Ongoing
ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset