เมื่อเห็นท่าทางว่าม่อจิ่งฉีใกล้จะระเบิดความโกรธเต็มทีแล้ว ม่อจิ่งหลีจึงกระแอมไอขึ้นมาเบาๆ “เสด็จพี่ ท่านมิได้มีเรื่องอยากสอบถามติ้งอ๋องหรือ”
ถึงแม้เขาก็เห็นม่อซิวเหยาขวางหูขวางตาเช่นกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่า เมื่อเห็นเสด็จพี่ของเขาโกรธจนหน้าดำเช่นนี้ ในใจเขากลับนึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ม่อจิ่งฉีระบายลมหายใจออกยาวๆ กล้ำกลืนความโกรธในใจกลับลงไป จ้องม่อซิวเหยาพลางเอ่ยถามว่า “องค์หญิงฉางเล่อไปอยู่ที่ใดเสียแล้ว”
ม่อซิวเหยามองม่อจิ่งฉีด้วยความงุนงงสงสัย ครู่ใหญ่ถึงได้พ่นลมหายใจออกทางจมูกเบาๆ เอ่ยเรียบๆ ว่า “องค์หญิงฉางเล่อเป็นธิดาของเจ้า ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านางไปอยู่เสียที่ใด”
ม่อจิ่งฉียิ้มเยาะ “ฉางเล่อหายตัวไปจากวังหนานจ้าวอ๋อง นอกจากเจ้าแล้วจะยังมีผู้ใดอีก”
ม่อซิวเหยายกยิ้มมุมปาก น้ำเสียงเจือแววประชดประชัน “ใช่สิ องค์หญิงฉางเล่อหายตัวไปจากวังหนานจ้าวอ๋อง ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเหตุใดนางถึงไปอยู่ที่วังหนานจ้าวอ๋องได้ และข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านางไปยังวังหนานจ้าวอ๋องตั้งแต่เมื่อใด ม่อจิ่งฉี บุตรสาวเจ้าหายไปแต่เจ้ามาถามหากับข้า หากวันใดบัลลังก์มังกรของเจ้าหายไป เจ้าก็จะมาถามหาจากข้าหรือ”
“เจ้า!” หน้าม่อจิ่งฉีเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ตบโต๊ะพร้อมยืนขึ้น จ้องหน้าม่อซิวเหยาด้วยความโกรธเกรี้ยว
มีหรือม่อซิวเหยาจะสนใจความโกรธเกรี้ยวของเขา แต่กลับทิ้งตัวกลับลงนอนบนฟูก มองเยี่ยหลีตาใส “อาหลี หิวแล้ว…”
เยี่ยหลีจนใจ หยิบแอปเปิ้ลที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ป้อนเขา
ม่อซิวเหยากินอย่างเป็นสุขใจ แต่ก็ไม่ลืมที่จะแบ่งปันกับเยี่ยหลี “อาหลีก็กินด้วยสิ ของที่เหลยเถิงเฟิงให้คนนำมาให้ไม่เลวเลย”
เมื่อเห็นคนทั้งสองทำประหนึ่งไม่มีผู้ใดอยู่ด้วยเช่นนั้น ม่อจิ่งฉีก็โกรธจัดจนควันออกหู แต่ก็ทำอันใดไม่ได้ ทำได้เพียงสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปด้วยความโกรธ
เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะออกไป ม่อซิวเหยาถึงได้เลื่อนสายตามามองเขา “ช้าก่อน”
ม่อจิ่งฉีกัดฟันเอ่ยว่า “เจ้าคิดอยากพูดอันใดอีก”
ม่อซิวเหยามองเขาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “ยากนักที่เจ้าจะตั้งใจมาหาข้าเช่นนี้ ข้าจะบอกข่าวดีเจ้าแบบไม่คิดสตางค์ให้ข่าวหนึ่งก็แล้วกัน ว่ากันว่า คุณชายเหรินที่หลายวันก่อนเจ้าบอกว่าได้พบแล้วเหมือนรู้จักกันมานานนั้น…ก็คือหัวหน้าทางชายแดนเหนือ ทายาทกำพร้าจากราชวงศ์ก่อน หลินย่วนนั่นเอง”
ข่าวนี้ทำให้ม่อจิ่งฉีนิ่งงันไปทันที มึนงงอยู่เป็นนานอย่างตั้งตัวไม่ทัน
เป็นม่อจิ่งหลีที่ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เหรินฉีหนิงคือหลินย่วน เช่นนั้นถานจี้จือเป็นใครกัน”
ม่อซิวเหยายักไหล่ บอกว่าตนเองก็ไม่รู้
ม่อจิ่งฉียิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดบ้าๆ ของเจ้าหรือ”
ถึงแม้จะเอ่ยออกไปเช่นนี้ แต่ลึกๆ ในใจม่อจิ่งฉีกลับรู้สึกสั่นไหว ด้วยเพราะเขารู้ดีว่า ม่อซิวเหยาไม่มีทางใช้เรื่องนี้มาล้อเล่นกับเขา เมื่อเขาเห็นสีหน้าที่เจือแววเยาะหยันระคนส่อเสียดของเขาแล้ว ม่อจิ่งฉีก็นึกโมโหที่หาช่องพุ่งเข้าใส่เขาไม่ได้ เขาเชื่อใจถานจี้จือที่เป็นสายเลือดของราชวงศ์ก่อนอย่างยิ่ง คนที่เมื่อหลายวันก่อนเขาเพิ่งช่วยเหลือไว้ ก็มาเป็นสายเลือดของราชวงศ์ก่อนอีก หากข่าวนี้แพร่ออกไป เกียรติแห่งฮ่องเต้ของเขาจะเอาไปไว้ที่ใด เขาจึงไม่สนใจที่จะโมโหโทโสม่อซิวเหยาอีก ม่อจิ่งฉีสะบัดแขนเสื้อออกไปด้วยใบหน้าบึ้งตึงทันที
ม่อจิ่งหลีออกไปช้ากว่าเขาก้าวหนึ่ง เดินอยู่ด้านหลัง เขาหันไปเอ่ยถามม่อซิวเหยาด้วยความสงสัยว่า “เหรินฉีหนิง เป็นจริงหรือ…”
ม่อซิวเหยายิ้มอย่างดูแคลน “ข้าหลอกเจ้าแล้วจะได้น้ำตาลกินหรือ เจ้าเศษสวะม่อจิ่งฉีนั่น ผู้อื่นเข้ามาลงมือถึงในแผ่นดินต้าฉู่ของเขาแล้ว เขาก็ยังไม่ได้ยินข่าวคราวอันใดแม้แต่น้อย หลายปีมานี้ เหรินฉีหนิงรวบรวมพื้นที่ทั้งซีเป่ยไว้หมดแล้ว ทั้งยังยื่นมือเข้ามาถึงต้าฉู่แล้ว เจ้าเศษสวะนั่นกำลังทำอันใดอยู่ เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เผื่อวันใดวันหนึ่งข้าทนดูต่อไปไม่ได้ จะได้ชิงกำจัดเขาก่อนเสีย เจ้าไปบอกม่อจิ่งฉีด้วยว่า หากวันใดเขากลายเป็นประมุขแห่งแคว้นทั้งปวงแล้ว ข้าจะเป็นตัวแทนปฐมฮ่องเต้มอบดาบเล่มหนึ่งให้เขาสละชีวิตตนเองเพื่อแคว้นเอง”
ม่อจิ่งหลีนิ่งเงียบไม่ตอบ หันเดินออกไปทันที ด้านนอกประตู เห็นได้ชัดว่า ม่อจิ่งฉีก็ได้ยินสิ่งที่ม่อซิวเหยาเอ่ยวิจารณ์เขา และกำลังโกรธจัดจนสั่นไปทั้งตัว แต่เขากลับมิอาจกลับเข้าไปหาเรื่องม่อซิวเหยาได้
แววตาม่อจิ่งหลีนิ่งขรึมลงเล็กน้อย ก้าวเข้าไปเอ่ยว่า “เสด็จพี่ พวกเราควรกลับเมืองหลวงกันแล้ว”
ม่อจิ่งฉีส่งเสียงหึเย็นๆ ทีหนึ่งก่อนสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
ม่อซิวเหยารักษาตัวอยู่เกือบครึ่งเดือน ถึงได้พาเยี่ยหลีเดินทางรอนแรมออกจากเมืองอัน มุ่งหน้ากลับเมืองหลี ส่วนคุณชายชิงเฉินที่มากความสามารถจึงต้องเหนื่อยมากหน่อยนั้น ได้ล่วงหน้ากลับไปก่อนแล้ว
ก่อนจากไป หลิงเถี่ยหานก็ได้พาน้องชายและน้องสาวบุญธรรมมาเอ่ยลา เจ้าสำนักใหญ่หลิง หลังจากได้ต่อสู้กับยอดฝีมืออย่างม่อซิวเหยาและมู่หรงสยงติดต่อกันถึงสองครั้ง ก็ตัดสินใจอย่างตระหนักรู้ว่า กลับไปนี้ตนจะต้องปลีกตัวไปฝึกฝนให้ดีเสียแล้ว และเมืองอันที่เดิมเคยคึกคักยิ่งนัก ก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
เมื่อยามที่เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาจะเดินทางกลับนั้น เหลยเถิงเฟิงก็ได้มาส่งด้วย เขายังต้องรั้งอยู่ที่เมืองอันเพื่อคอยเก็บกวาดงานเละเทะกองใหญ่ที่หลงเหลือจากการกำจัดตระกูลมู่หรง เมื่อเทียบกันแล้ว ถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องจะมิได้ทำตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้เสียทั้งหมด แต่กลับเป็นฝ่ายที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ด้วยเพราะพวกเขามิได้ต้องเสียอันใดเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาได้ไปล้วนถือเป็นกำไรทั้งสิ้น แม้แต่งานในตอนท้ายก็ไม่ต้องจัดการ
ทั้งสองเดินทางเรื่อยๆ ไปตลอดทาง ยังไม่ทันพ้นประตูอันโออ่าใหญ่โตของตำหนักติ้งอ๋อง ก็มีเจ้าตัวอ้วนกลมเล็กๆ ในชุดผ้าไหมสีดำพุ่งตัวออกมาทันที
ม่อตัวน้อยพุ่งเข้ากอดเยี่ยหลี ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด “ฮือๆ…ฮืออา…คำพูดท่านแม่เชื่อไม่ได้…ฮือๆ ท่านบอกเองแท้ๆ ว่าจะมาเยี่ยมตัวน้อยทุกวันเว้นวัน ฮืออา…ท่านแม่ไม่ต้องการตัวน้อยแล้ว ตัวน้อยเป็นเด็กที่ไม่มีผู้ใดต้องการ ฮือๆ…”
เยี่ยหลีอดรู้สึกผิดขึ้นไม่ได้ เด็กคนนี้ ผู้ใดกันที่สอนอันใดไร้สาระเช่นนี้ให้เขา แต่เมื่อเห็นเด็กตัวน้อยที่ร้องไห้จนน้ำตานองหน้าไปหมด แม้แต่ชื่อที่ยามปกติตัวเขานึกรังเกียจที่สุดก็ยังเรียกออกมาจากปากเขาเอง เห็นได้ชัดว่าคงเสียใจมากจริงๆ
ตั้งแต่ม่อตัวน้อยเกิดมา นางก็เลี้ยงดูเขาไว้ข้างกายมาตลอด ครานี้เป็นคราแรกจริงๆ ที่แยกจากกันนานเช่นนี้
เมื่อเห็นบุตรชายร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด เยี่ยหลีก็รีบก้มลงหอมแก้มที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำตาของเขา เอ่ยเสียอ่อนว่า “แม่ขอโทษ แม่ผิดไปแล้ว แม่จะไม่ต้องการตัวน้อยได้อย่างไร ตัวน้อยเป็นลูกที่แม่รักสุดหัวใจเชียวนะ”
เมื่อถูกมารดาหอมแก้มต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้ ม่อตัวน้อยก็เริ่มรู้สึกขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าน้อยๆ จึงแดงก่ำเป็นลูกแอปเปิ้ลขึ้นมาทันที แต่เขาคิดถึงท่านแม่จริงๆ นี่นา สุดท้ายม่อตัวน้อยที่ไม่อยากแยกจากมารดา จึงซุกใบหน้าน้อยๆ เข้ากับไหล่ของมารดาเสีย สองมือน้อยๆ กอดแน่นอยู่ที่คอของเยี่ยหลีไม่ยอมปล่อย “ท่านแม่ ตัวน้อยคิดถึงท่านแม่”
เยี่ยหลีมองใบหน้าอวบอ้วนของม่อตัวน้อยที่มีน้ำตานองอยู่เต็มหน้า กับดวงตาคู่โตที่ยังฉ่ำน้ำอยู่ ใจก็อ่อนยวบลงประหนึ่งสำลี “แม่ก็คิดถึงตัวน้อยเหมือนกัน”
“ท่านแม่ไม่ได้ไม่ต้องการม่อตัวน้อยแล้ว?”ม่อตัวน้อยมองเยี่ยหลีตาใส เยี่ยหลีไร้แรงต้านทานในทันใด “แม่ไม่มีวันไม่ต้องการตัวน้อย”
“ท่านแม่ดีที่สุดเลย ตัวน้อยรักท่านแม่” จุ๊บ ม่อตัวน้อยจูบเยี่ยหลีด้วยความคิดถึงด้วยความยินดี
บรรดาผู้คนที่ออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นซื่อจื่อน้อยของพวกตนพูดคุยแสดงความคิดถึงกับพระชายาอยู่นั้น ขณะเดียวกันก็เห็นว่า ท่านอ๋องของพวกตนยืนทำหน้าบึ้งตึงอยู่อีกด้าน เมื่อรออยู่ครู่ใหญ่แล้ว แต่ม่อตัวน้อยก็ยังคงจับตัวมารดาของตนพร่ำบ่นถึงความคิดถึงและน้อยอกน้อยใจไม่ได้หยุด ม่อซิวเหยาก็อดกระตุกมุมปากขึ้นไม่ได้ เดินตรงเข้าไปหิ้วม่อตัวน้อยออกมาจากอ้อมแขนของเยี่ยหลี
“ท่านแม่…” เมื่อถูกม่อซิวเหยาหิ้วคอเสื้อขึ้นมา ม่อตัวน้อยก็เตะขาฮึดฮัดด้วยความขัดใจ พลางหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางเยี่ยหลี
“ซิวเหยา…” เยี่ยหลีมองม่อซิวเหยาอย่างไม่เห็นด้วย การหิ้วคอเสื้อบุตรของตนขึ้นมาบ่อยๆ อย่างไรก็มิใช่เรื่องดี หากเกิดทำให้ตัวน้อยบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร
ม่อซิวเหยารีบเปลี่ยนวิธีการอุ้มเป็นแบบที่เยี่ยหลีรับได้อย่างรวดเร็ว จับม่อตัวน้อยเข้ามาอุ้มไว้กับอก อมยิ้มมองบุตรชายที่ดวงตากลิ้งกลอกไปมาไม่หยุด “เจ้าลูกชาย พ่อก็คิดถึงเจ้ามากเช่นกัน เจ้าไม่คิดถึงพ่อบ้างสักนิดเลยหรือ”
ม่อตัวน้อยลอบแยกเขี้ยวให้เขาในมุมที่เยี่ยหลีไม่ทันมองเห็น เขาไม่นึกคิดถึงเสด็จพ่อที่แสนจะน่ารำคาญเลยแม้แต่น้อย ท่านพ่อไม่กลับมาสิถึงจะดี จะได้ไม่มีคนคอยแย่งท่านแม่กับเขา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยหลี สหายม่อตัวน้อยจึงพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย “ลูกก็คิดถึงเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบก็ก้มลงจุ๊บแก้มม่อซิวเหยาทีหนึ่ง
ม่อซิวเหยาที่ถูกเอาน้ำลายป้ายก็ถึงกับอึ้งไปทันที เมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนหน้าของเจ้าตัวน้อยแล้ว ม่อซิวเหยาก็ต้องอดกลั้นไม่จับเจ้าตัวน้อยนี้โยนออกไป เอ่ยด้วยรอยยิ้มแต่ตาไม่ยิ้มว่า “ช่างเป็นเด็กดีของพ่อจริงๆ ตัวน้อยน่ารักเช่นนี้ การบ้านที่พ่อให้ไว้ก่อนไป ตัวน้อยคงทำเสร็จแล้วเป็นแน่กระมัง”
ใบหน้าม่อตัวน้อยนิ่งเกร็งขึ้นทันที ดวงตากลมมองซ้ายมองขวาแต่ไม่กล้ามองตอบม่อซิวเหยา เมื่อเห็นสีหน้าเขา มีหรือม่อซิวเหยาจะไม่เข้าใจ เขายกยิ้มอย่างอ่อนโยนน่าเข้าใกล้ “ตัวน้อยเอ๋ย ดูท่าเจ้าจะต้องอธิบายให้พ่อกับแม่ฟังสักหน่อยแล้วว่า หลายเดือนมานี้เจ้าคิดถึงพ่อกับแม่เพียงไร จนถึงขั้นเขียนการบ้านไม่เสร็จ”
ม่อตัวน้อยทำประหนึ่งเป็นลูกโป่งที่ถูกเจาะ ใบหน้าเขาค่อยๆ ฟีบเหี่ยวลงทันที เสด็จพ่ออันใดกันเนี้ย น่ารังเกียจที่สุดเลย!