ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 256-1 แผนขององค์หญิงฉางเล่อ

เมื่อกลับมาถึงตำหนัก เยี่ยหลีก็อุ้มเจ้าตัวน้อยที่น่าสงสาร พลางขอความเห็นใจกับม่อซิวเหยาแทนเขา ถึงแม้ที่ม่อตัวน้อยคิดถึงมารดาเป็นอย่างยิ่งนั่นมิใช่เรื่องลวง แต่ก็ไม่มีทางถึงขั้นคิดถึงทั้งวันทั้งคืนจนไม่เป็นทำอันใด อันที่จริง หลายเดือนมานี้ที่ม่อตัวน้อยไม่ต้องอยู่ภายใต้การกดดันของม่อซิวเหยา ท่านชิงอวิ๋นก็รักใคร่เอ็นดูเหลนคนนี้เป็นพิเศษ จึงมิได้เข้มงวดเช่นเดียวกับพวกพี่น้องสวีชิงเฉิน เอาเข้าจริงหลายเดือนมานี้ สหายม่อตัวน้อยได้ใจจนลืมตัว เริงร่าประหนึ่งม้าป่าที่หลุดจากพันธนาการ จนกลายเป็นรักสนุกจนทุกข์ถนัด ลืมเลือนไปเสียแล้วว่าเมื่อคืนก่อนออกเดินทาง ม่อซิวเหยาได้ให้การบ้านที่บอกว่ากลับมาแล้วจะตรวจไปเสียสนิท

ครานี้ ม่อซิวเหยามิได้ตั้งใจจะกลั่นแกล้งม่อตัวน้อย การบ้านที่ให้ไว้จึงล้วนเป็นการบ้านที่เขาสามารถทำเสร็จได้ แต่จะร้ายก็ร้ายที่ม่อตัวน้อยนั้นฉลาดเฉลียวจนเกินไป จึงมีเรื่องให้นึกสงสัยมากกว่าผู้อื่นอยู่สักหน่อย จึงรั้งๆ รอๆ ผัดวันประกันพรุ่ง กว่าจะรู้ตัวว่าท่านพ่อของตนใกล้กลับมาแล้วนั้น การบ้านของเขาก็ยังทำไปได้ไม่ถึงหนึ่งในสามเสียด้วยซ้ำ

“เอาล่ะ ไว้หาเวลาสักสิบวัน จัดการการบ้านที่พ่อเจ้าให้ไว้ให้เสร็จเรียบร้อย รู้หรือไม่” เยี่ยหลียื่นมือไปลูบศีรษะน้อยๆ ของบุตรชาย พร้อมเอ่ยเสียงเบาขึ้น

อันที่จริงการที่ให้การบ้านม่อตัวน้อยเยอะเกินไปทั้งๆ ที่อายุยังน้อยเช่นนี้ เยี่ยหลีมิได้คิดว่าเป็นเรื่องดี แต่ในเมื่อได้สั่งไว้แล้ว ก็จะต้องทำให้เสร็จ จะให้เด็กน้อยอู้จนเป็นนิสัยและรอดตัวไปทุกครั้งไม่ได้

ในใจม่อตัวน้อยรู้ตัวดีว่าผิด เขาเหลือบตาขึ้นมองเยี่ยหลีด้วยความระมัดระวัง เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ท่านแม่ ลูกผิดไปแล้ว”

เยี่ยหลีพยักหน้าเอ่ยว่า “รู้ว่าผิดก็แก้ไข ถือว่าเป็นเด็กดี”

“เช่นนั้น…เช่นนั้นไว้อีกสองสามวันลูกค่อยไปอยู่กับท่านตาทวดได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ม่อตัวน้อยกระมิดกระเมี้ยนเอ่ยขึ้น

เยี่ยหลีอดระบายยิ้มไม่ได้ “ได้สิ พรุ่งนี้พวกเราไปหาท่านตาทวดกัน แล้วค่อยบอกกับท่านตาทวดว่า ไว้อีกสองสามวันจะกลับไปที่สำนักศึกษา แต่จากนี้ไปจะทำเช่นนี้ไม่ได้แล้วนะ เจ้าเรียนหนังสือกับท่านตาทวด ก็ต้องรู้จักตั้งใจให้แน่วแน่ อย่าได้ทำให้การเรียนเสียหายเพราะเรื่องอื่นได้ เข้าใจหรือไม่”

ม่อตัวน้อยพยักหน้าอย่างว่าง่าย

ม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ มองเขาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “หากไม่เข้าใจ ต่อไปก็ไม่ต้องเรียนหนังสือกับท่านตาทวดเจ้าแล้ว ไว้พ่อให้ท่านลุงใหญ่ของเจ้าเป็นคนสอนแทนดีหรือไม่”

ม่อตัวน้อยหน้าม่อยลงทันที เมื่อเทียบกับท่านลุงใหญ่ที่สุภาพมีสง่าราศีอย่างบัณฑิตขงจื่อแต่มักทำให้เขานึกกลัวแล้ว เขาก็ยังชื่นชอบตาทวดที่ทั้งใจดีและมีเมตตามากกว่าอยู่ดี

เยี่ยหลีมองพ่อลูกทั้งสองด้วยความจนใจ บรรยากาศที่ต่างฝ่ายต่างเห็นว่าอีกฝ่ายขัดหูขัดตา แม้จะอยู่ห่างไปหลายร้อยเมตรก็ยังรับรู้ได้ “ซิวเหยา อาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดี วันนี้ไปพักผ่อนก่อนเถิด ไว้มีอันใดพรุ่งนี้ค่อยพูดกัน”

ม่อซิวเหยาพยักหน้า สีหน้าอบอุ่นขึ้นทันที

ม่อตัวน้อยตาเป็นประกาย มองเยี่ยหลีตาแป๋ว “ท่านแม่ ข้าอยากนอนกับท่านแม่”

ในขณะที่เยี่ยหลีกำลังจะตอบเขานั้น ม่อซิวเหยาก็หิ้วตัวม่อตัวน้อยมาไว้บนตักตนทันที เอียงคอหรุบตาลงมองเขา “เจ้าหนู เจ้าอายุใกล้จะหกขวบแล้ว ยังคิดอยากจะนอนกับอาหลีอีกหรือ อยากให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเจ้าตายหรืออย่างไร”

ม่อตัวน้อยไม่พอใจ ออกแรงขัดขืนเต็มที่ “เสด็จพ่อ ท่านอายุตั้งสามสิบกว่าเข้าไปแล้ว เหตุใดถึงยังนอนกับท่านแม่อยู่เล่าพ่ะย่ะค่ะ!”

“พรืด…” ในที่สุดเยี่ยหลีก็กลั้นไว้ไม่อยู่ หัวเราะเสียงดังออกมาทันที แต่เมื่อเห็นสายตาของทั้งผู้ใหญ่และเด็กหันขวับมามองนางพร้อมๆ กัน ก็รีบโบกมือพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ไม่มีอันใด…ข้ายังมีเรื่องต้องไปจัดการที่ห้องหนังสือ พวกท่านค่อยๆ ถกเถียงกันก็แล้วกัน” พูดจบ ก็เดินหลบฉากออกไป ทั้งๆ ที่ทั้งสองยังจ้องนางตาแป๋วอยู่ทันที

“ลูกจะนอนกับท่านแม่” ม่อตัวน้อยเอ่ยอย่างดื้อรั้น

“อาหลีเป็นเมียพ่อ หากอยากมีคนนอนด้วย ก็ไปหาเมียเจ้านู้น” ม่อซิวเหยาเอ่ย

“ท่านแม่เป็นแม่ของข้า ไปหาแม่ท่านนู้น” ม่อตัวน้อยถลึงตากลมโต

ม่อซิวเหยากระตุกมุมปาก สายตาเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด “ต้องเป็นเมียเท่านั้น ถึงจะนอนด้วยกันได้ คนที่จะนอนกับแม่ได้ ก็มีแต่เด็กขี้ขลาดที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น”

ม่อตัวน้อยเอ่ยอย่างลังเลว่า “แล้วเมียข้าเล่า”

ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ด้วยสีหน้าผ่อนคลายว่า “ไว้รอเจ้าโตก่อน ค่อยไปหาเองได้”

ด้านนอกประตู เยี่ยหลีแอบฟังบทสนทนาไร้สาระของพวกเขา ก็ได้แต่หมุนตัวเดินจากไปด้วยความงุนงง

พอเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยากลับมาถึงเมืองหลี กิจการงานทั้งหลายก็พรั่งพรูเข้าใส่โดยทันที ถึงแม้จะมีสวีหงอวี่คอยรักษาการณ์ แต่ก็ยังมีเรื่องอีกมากมายที่จำเป็นต้องให้ม่อซิวเหยาเป็นคนจัดการด้วยตนเอง

งานแรกที่พุ่งเข้าใส่ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับเหรินฉีหนิงจำนวนมากที่ส่งมาจากต้าฉู่ กับการซ้อมรบเสมือนจริงที่เริ่มเตรียมการตั้งแต่เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยายังไม่ไปจากเมืองหลี

ภายในห้องหนังสือ เมื่อม่อซิวเหยาเห็นม้วนรายงานจำนวนมากที่กองพะเนินอยู่อย่างแน่นขนัดก็ถึงกับเลิกคิ้ว คนด้านข้อมูลข่าวสารของตำหนักติ้งอ๋องยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่เลวทีเดียว ชั่วเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน ข้อมูลและข่าวคราวต่างๆ เกี่ยวกับเหรินฉีหนิงก็ถูกส่งมายังห้องหนังสือของตำหนักติ้งอ๋อง

เมื่อเห็นข้อมูลที่ส่งขึ้นมาแล้ว แม้แต่ม่อซิวเหยาก็ยังต้องถอนใจด้วยความประหลาดใจ ที่เหรินฉีหนิงสามารถหลบซ่อนตัวได้ลึกลับเช่นนี้ เหรินฉีหนิงที่ดูลักษณะท่าทางเหมือนคนอายุเพิ่งยี่สิบกว่าปี เอาเข้าจริงเขาอายุเท่าๆ กับถานจี้จือ ที่อายุสามสิบเจ็ดปีในปีนี้ สำหรับคนทั่วไป อายุเท่านี้ไม่ถือว่าเป็นเด็กหนุ่มแล้ว แต่สำหรับคนมีปณิธานที่จะช่วงชิงใต้หล้ามาเป็นของตนแล้ว ถือว่าเขายังหนุ่มแน่นอยู่มาก

บุคคลผู้นี้ อายุได้สิบสองปีก็ขึ้นเหนือไปอยู่กับชนเผ่าหนึ่งทางเป่ยจิ้ง ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ก็ไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาในจงหยวนอีกเลย

ในระหว่างยี่สิบกว่าปีที่เขาอยู่ที่เป่ยจิ้งนี้ เขาค่อยๆ วางรากฐานที่มั่นคงให้กับตนเอง ค่อยๆ สร้างความศรัทธาที่มีต่อตนให้กับหัวหน้าชนเผ่าทั้งหลาย จนสามารถรวบรวมชนเผ่าทางเป่ยจิ้งเอาไว้ได้

และในขณะที่ตำหนักติ้งอ๋องยังไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา เขาก็ค่อยๆ เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเป่ยจิ้งเงียบๆ จนมีทหารฝีมือดีนับแสนคนเช่นในขณะนี้

หากจะพูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อย ต่อให้เหรินฉีหนิงมิอาจกอบกู้แคว้นของตนได้สำเร็จ ด้วยความสามารถของเขาในยามนี้ ก็เพียงพอที่จะตั้งตนขึ้นเป็นอ๋องของทางเป่ยจิ้งได้แล้ว

หากเป็นเช่นนี้ ดูท่า ถานจี้จือที่ค่อยวิ่งเต้นอยู่ระหว่างต้าฉู่กับหนานจ้าว ก็ดูคล้ายจะเป็นเพียงระเบิดควันที่เป็นฉากบังตาผู้คนเท่านั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่า ระเบิดควันผู้นี้จะเป็นโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวกันแน่

“เมื่อครู่ เหลิ่งเฮ่าอวี่ส่งข่าวมาว่า ม่อจิ่งฉีกำลังเตรียมที่จะเคลื่อนทหารไปยังเป่ยจิ้ง” สวีองอวี่เอ่ยขึ้นเรียบๆ

“เคลื่อนทหารไปทางเหนือ?” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว ผินหน้าไปเอ่ยถามผู้บัญชาการทหารอย่างคณะของหลี่ว์จิ้นเสียนที่นั่งอยู่ “กองทัพของต้าฉู่เอาชนะกำลังทหารของเป่ยจิ้งได้หรือไม่”

หลี่ว์จิ้นเสียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “หากว่าตามกำลังทหารและกำลังของแคว้นแล้ว ไม่มีเหตุผลที่กองทัพต้าฉู่จะเอาชนะเป่ยจิ้งไม่ได้ แต่หลายปีมานี้เกิดความวุ่นวายภายในเป่ยจื้ง เกิดการต่อสู้ระหว่างแต่ละชนเผ่าไปทั่ว เป่ยจิ้งถึงแม้จะมีกำลังทหารอยู่เพียงแสนกว่านาย แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารที่ผ่านการรบอันโชกโชนมาเป็นร้อยศึก ส่วนต้าฉู่ ถึงแม้หลายปีจะมีการทำศึกสักครั้งหนึ่ง แต่ผลงานการรบกลับทำให้รู้สึกน่าเป็นห่วงนัก”

เฟิ่งจือเหยายิ้มเย็น เอ่ยว่า “ที่ท่านอ๋องเป็นห่วงว่าพวกเขาจะสู้แพ้หรือชนะเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร ต่อให้ยามนี้ท่านยินดีที่จะยกทัพไปช่วยเขาปราบเป่ยจิ้ง เขาก็คงไม่กล้าปล่อยให้กองทัพตระกูลม่อข้ามด่านไปหรอกกระมัง ยามนี้คนเขายังใช้กำลังทหารกว่าครึ่งมารักษาการณ์ที่ด่านเฟยหงอยู่เลย”

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดีว่า “ข้าเพียงแค่เป็นห่วงว่าม่อจิ่งฉีจะไร้ประโยชน์จนเกินไป หากปล่อยให้ทัพใหญ่ของเป่ยจิ้งเดินทางมุ่งตรงเข้ามาได้เลย ก็มิใช่เรื่องดีสำหรับพวกเรา”

หากเขาเป็นห่วงสวัสดิภาพของต้าฉู่จริง ยามอยู่ที่เมืองอัน เขาก็คงไม่ตั้งใจไปยั่วยุม่อจิ่งฉีเช่นนั้น หวังเพียงว่าผู้บัญชาการทหารในมือม่อจิ่งฉี จะไม่ทำให้เขาผิดหวังจนเกินไปก็เท่านั้น

สวีชิงเฉินเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “หากไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น อย่างมากไม่เกินสามเดือน ทั้งทางตอนเหนือและตอนใต้จะต้องเกิดศึกขึ้นอย่างแน่นอน ท่านอ๋องมีแผนการเช่นไรหรือ”

ม่อซิวเหยายิ้ม “แผนการหรือ? พวกเรามิได้กำลังเตรียมการซ้อมรบเสมือนจริงกันอยู่หรือ ซีหลิงทำศึกกับหนานจ้าว ต้าฉู่ทำศึกกับเป่ยจิ้ง พวกเราก็เล่นกันเองก็แล้วกัน”

ทุกคนต่างพากันพูดไม่ออก เล่นกันเองหรือ ท่านอ๋อง ท่านช่างอารมณ์ดีเสียจริง

เมื่อพูดคุยเรื่องเหรินฉีหนิงจบ หัวข้อสนทนาก็ย่อมเปลี่ยนมาที่เรื่องการซ้อมรบเสมือนจริงที่ได้เตรียมการมาหลายเดือน เรื่องนี้ไม่ว่าจะกับพวกสวีหงอวี่ที่เป็นขุนนางสายบุ๋น หรือหลี่ว์จิ้นเสียน จางฉี่หลันที่เป็นแม่ทัพสายบู๊ ต่างก็เป็นเรื่องใหม่มากสำหรับพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

ยุคสมัยนี้เดิมทีก็มักเกิดศึกขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่นึกสงสัยว่า การซ้อมรบเสมือนจริงที่ว่านี้จะมีความหมายสักมากน้อยเพียงใด เพียงแต่ไม่ว่าจะว่าอย่างไร ก็เตรียมการกันมาหลายเดือนแล้ว ทุกคนจึงต่างตั้งตารอกันพอสมควร

เมื่อม่อซิวเหยาเอ่ยถาม จางฉี่หลันก็ลุกขึ้นตอบทันทีว่า “ท่านอ๋องโปรดวางใจ ได้เตรียมการไว้เรียบร้อยตามที่ท่านอ๋องกับพระชายาสั่งการไว้พ่ะย่ะค่ะ สถานที่จะเป็นภายในรัศมีสามร้อยลี้โดยมีหงโจวเป็นศูนย์กลาง”

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “พื้นที่ใหญ่พอ ดีมาก จัดการตามที่สั่งการไว้ก่อนหน้าก็แล้วกัน”

“เช่นนั้นท่านอ๋อง…วันเวลาจะกำหนดไว้เป็นเมื่อใดดีพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ว์จิ้นเสียนเอ่ยถาม

ม่อซิวเหยาเหลือบตาขึ้นมองเขาอย่างเกียจคร้าน เอ่ยถามว่า “ศัตรูจะบอกเจ้าก่อนหรือว่าจะมาลอบฆ่าเจ้าเมื่อใด เตรียมการไว้ก่อนก็แล้วกัน”

“พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยรับบัญชา”

“พระชายา องค์หญิงฉางเล่อมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยหลีนั่งอ่านม้วนรายงานอยู่ในห้องหนังสือ ก็ได้ยินจั๋วจิ้งเอ่ยรายงานจากด้านนอก

เยี่ยหลีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พอกลับมาถึงก็มีเรื่องให้ต้องจัดการรออยู่จำนวนมาก พูดตามตรงนางลืมเรื่ององหญิงฉางเล่อไปเสียสนิท

เยี่ยหลีวางพู่กันลง เอ่ยว่า “เชิญนางเข้ามาเถิด”

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย
Status: Ongoing
หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset