ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 263-2 ฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ป่วยหนัก

เมื่อหมอหลวงตรวจชีพจรเรียบร้อยแล้ว ไทเฮาถึงได้เอ่ยถามด้วยความร้อนใจว่า “หมอหลวง เกิดอันใดขึ้นกับสุขภาพของฝ่าบาทกันแน่”

หมอหลวงที่ตรวจชีพจรขมวดคิ้ว พลางเอ่ยด้วยความเคารพว่า “ดูเหมือนฝ่าบาทจจะทรงเสวยยาบางตัวที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย…ยิ่งตรากตรำทรงงานหนักติดต่อกันหลายวัน จึงทำให้จู่ๆ สุขภาพก็ย่ำแย่ลงพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮาถลึงตัวลุกขึ้นเอ่ยว่า “อันใดที่เรียกว่าตัวยาที่ส่งผลเสียต่อร่างกายกัน! มีคนวางยาพิษฝ่าบาท?”

หมอหลวงรีบส่ายหน้า “ไทเฮาทรงอภัยด้วย ไทเฮาทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว ความหมายของข้าน้อยคือ…ดูเหมือนฝ่าบาทจะเสวยยาต้องห้ามเข้าไป ถึงได้…ถึงได้เป็นอันตรายต่อร่างกายพ่ะย่ะค่ะ”

สีหน้าทุกคนในห้องบรรทมเปลี่ยนไปทันที ต่างพากันมีสีหน้าประหลาด

ยาต้องห้ามที่หมอหลวงเอ่ยถึงนั้น โดยมากล้วนเป็นยาที่มีฤทธิ์ใกล้เคียงกับยาอู่สือซ่าน*หรือพวกตัวยาหลางหู่** เหล่านั้น ในประวัติศาสตร์ถึงแม้จะมีบางราชวงศ์ที่ใช้ยาอู่สือซ่านกันเป็นปกติ แต่ตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนมาจนถึงสมัยต้าฉู่ล้วนจัดให้ยาเหล่านี้เป็นยาต้องห้าม หากมีข่าวนี้แพร่ออกไป ฮ่องเต้กับเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายคงได้ขายหน้ากันหมด

“ฮ่องเต้! พระองค์เลอะเลือนไปแล้วจริงๆ!” ฮองเฮาถลึงตามองบุตรชายที่นอนอยู่บนเตียง พร้อมเอ่ยด้วยความโกรธจัด ถึงแม้นางจะรักบุตรชายคนนี้ไม่เท่ากับบุตรชายคนเล็ก แต่ไทเฮาก็ไม่ถึงขั้นคิดอยากให้เขาตายไปจริงๆ ยามนี้เมื่อได้มาเห็นเขานอนซมอยู่กับเตียงเช่นนี้ ในใจไทเฮาก็ยังเกิดความโกรธที่เขาไม่ได้ดั่งใจ

ม่อจิ่งฉีขยับปาก ข่มความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจประหนึ่งมีมดมารุมกัด ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้ามิได้…”

เขาเชื่อว่าไม่มีผู้ใดเชื่อ ด้วยเพราะอาการป่วยของเขาในยามนี้ ช่างดูคล้ายคนที่กินยาอู่สือซ่านเข้าไปจนติดแล้วเหลือเกิน แต่เมื่อกินยาอู่สือซ่านเข้าไปแล้ว จะมีผลเช่นไร ตัวเขานั้นรู้ดี ดังนั้นเขาสามารถยืนยันได้เลยว่า เขาไม่เคยกินยาต้องห้ามประเภทนั้นมาก่อน

สายตาของเขาไปหยุดลงที่ม่อจิ่งหลีที่ยืนอยู่ ก่อนม่อจิ่งฉีจะอึ้งไป แล้วจู่ๆ เขาก็ถลึงตาดุดันใส่ม่อจิ่งหลีประหนึ่งคิดสิ่งใดขึ้นมาได้

ม่อจิ่งหลีจะมองไม่เห็นสายตาของม่อจิ่งฉีที่ส่งมาได้อย่างไร เขาก้าวเข้าไปหาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พร้อมรอยยิ้มจางๆ ที่แทบจะมองไม่เห็น “เสด็จพี่ มีอันใดจะรับสั่งหรือ”

“เจ้า…เป็นเจ้า…” รอยยิ้มจางๆ นั้น ในสายตาของม่อจิ่งฉี กลับดูเป็นรอยยิ้มแห่งความท้าทาย เขาจึงชี้หน้าม่อจิ่งหลีพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงขาดห้วง

แต่ม่อจิ่งหลีกลับดูไม่เกรงกลัวที่มีคนมองแผนร้ายของตนออกเลยแม้แต่น้อย ยังคงเอ่ยด้วยความเคารพว่า “เสด็จพี่พูดเรื่องอันใดหรือ ข้าฟังไม่เข้าใจ”

เสนาบดีหลิ่วที่ยืนอยู่รอที่จะหาเรื่องเขาอยู่แล้ว จะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปได้อย่างไร จึงรีบก้าวออกมาเอ่ยว่า “ท่านหลีอ๋อง ความหมายของฝ่าบาทก็ชัดเจนอยู่ว่าพระองค์กำลังบอกว่าท่านเป็นคนวางยาต้องห้ามให้พระองค์!”

ม่อจิ่งฉีเหลือบมองเสนาบดีหลิ่วทีหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า เห็นได้ชัดว่ากำลังจะบอกว่าสิ่งที่เสนาบดีหลิ่วพูดนั้นถูกต้อง

เสนาบดีหลิ่วจึงยิ่งมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ชี้หน้าม่อจิ่งหลีพร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “หลีอ๋อง ท่านช่างบังอาจนัก!”

“บังอาจ!” ไทเฮาเอ่ยเสียงเข้ม จ้องเสนาบดีหลิ่วด้วยสายตาเย็นเยียบ “หลีอ๋องกับฮ่องเต้เป็นพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน จะกล้าทำร้ายฝ่าบาทได้อย่างไร ยามนี้ศัตรูเข้ามารุกรานถึงตรงหน้า เจ้าที่เป็นถึงเสนาบดีกลับไม่รู้จักที่จะคอยรับใช้ฝ่าบาทให้ดี แต่กลับมายุยงฝ่าบาทให้แตกคอกับน้องชาย ควรมีโทษสถานใดกัน”

เสนาบดีหลิ่วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ทูลไทเฮา เห็นชัดอยู่ว่านี่คือสิ่งที่ฮ่องเต้ต้องการจะบอก ต่อให้ไม่มีหลักฐานมายืนยัน แต่ถึงอย่างไรการวางแผนทำร้ายฮ่องเต้ก็มีโทษสถานหนัก หรือว่าไม่ควรจับตัวหลีอ๋องไว้ก่อนเพื่อดำเนินการสอบสวนหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮาเอ่ยกับม่อจิ่งฉีด้วยน้ำตารื้นว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงคิดเช่นนั้นจริงๆ หรือ พระองค์คิดว่าหลีเอ๋อร์จะทำร้ายพระองค์? ไม่มีหลักฐานแม้สักน้อย แต่พระองค์ก็ยังทรงสงสัยในตัวน้องชายแท้ๆ ของพระองค์หรือ แม้แต่คนเป็นแม่อย่างข้า พระองค์ก็ต้องการที่จะจับขังไว้ด้วยหรือไม่”

ม่อจิ่งหลีก้าวออกมาเอ่ยว่า “ฝ่าบาทได้โปรดสืบทราบให้แน่ชัด กระหม่อมไม่มีทางคิดร้ายต่อพระองค์ถึงตายอย่างแน่นอน หากฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อกระหม่อม ก็มีรับสั่งให้ประหารกระหม่อมเสียเถิด”

ม่อจิ่งฉีจ้องม่อจิ่งหลีด้วยสายตาเกลียดชัง สายตาเขานั้นโกรธแค้นประหนึ่งอยากเอามีดมากรีดเขาออกเป็นพันเป็นหมื่นครั้งก็มิปาน แต่ในยามนี้แม้ประโยคเดียวเขาก็พูดไม่ออก อวัยวะทั่วทั้งร่างประหนึ่งมีมดจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังกัดกินอยู่กระนั้น หากมิใช่เพราะเขาเห็นแก่หน้าตาของตนเองเป็นสำคัญแล้ว ยามนี้คงได้ทิ้งตัวลงดิ้นทุรนทุรายร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดไปแล้ว

มุมปากเขากระตุกเล็กน้อย ก่อนม่อจิ่งฉีจะพ่นคำพูดไม่กี่คำออกมา “ไป! ไสหัวไปให้หมด!”

ทุกคนต่างอึ้งไป เสนาบดีหลิ่วหันมองม่อจิ่งฉีด้วยสีหน้าร้อนรน ยามนี้ควรจะรีบไล่ต้อนเล่นงานหลีอ๋องให้จนมุมถึงจะถูก แต่ในเมื่อฮ่องเต้มีรับสั่งออกมาแล้ว คนอื่นๆ ย่อมมิอาจรั้งอยู่ต่อได้อีก

ไทเฮาลุกขึ้นเอ่ยว่า “เช่นนั้นฮ่องเต้ทรงรักษาพระวรกายให้ดีก็แล้วกัน ข้ากลับก่อนล่ะ”

ไทเฮาลุกออกไปเป็นคนแรก คนอื่นๆ จึงจำต้องเอ่ยลาตาม

ม่อจิ่งหลีเดินรั้งท้าย เขาหันกลับมาปรายตามองม่อจิ่งฉีที่นอนอยู่บนเตียงทีหนึ่ง เผยให้เห็นรอยยิ้มประหลาดบนใบหน้า

เมื่อกลับมาถึงตำหนักจางเต๋อ ม่อจิ่งหลีเอ่ยกับไทเฮาด้วยความเคารพว่า “เสด็จแม่ ลูกขอบพระทัยเสด็จแม่มาก…”

“เพี๊ยะ!” ยังไม่ทันพูดจบ ฝ่ามือทั้งเร็วทั้งรุนแรงก็สะบัดเขาใส่ใบหน้าของม่อจิ่งหลีทันที

คำพูดที่ยังไม่ทันจะออกจากปากม่อจิ่งหลีหยุดอยู่เพียงเท่านั้น เงยหน้าขึ้นมองไทเฮา

สายตาอันเย็นชาของไทเฮาเต็มไปด้วยความเศร้าใจและผิดหวัง “หลีเอ๋อร์! เจ้าช่างบังอาจนัก เจ้าถึงขั้นกล้าวางยาที่ชั่วร้ายเช่นนี้ใส่ฉีเอ๋อร์เชียวหรือ เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้านะ เจ้ายังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่”

ม่อจิ่งหลีคิดอยากอธิบาย “เสด็จแม่ ลูก…”

ไทเฮาโบกมือ เอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าไม่ต้องอธิบายแล้ว! ข้ายังมิได้แก่จนเลอะเลือนไปหมด!”

ม่อจิ่งหลีลดมือที่จับใบหน้าด้านหนึ่งลง ที่ไทเฮาตบหน้าเขาเมื่อครู่มิได้เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น บนใบหน้าของม่อจิ่งหลีปรากฏรอยมือที่ทั้งบวมและแดงขึ้นทันที

ม่อจิ่งหลีไม่คิดที่จะแก้ตัวอันใดอีก เอ่ยเสียงเย็นว่า “เสด็จแม่ตรัสถูกต้องแล้ว เป็นลูกเองที่วางยาเขาแล้วอย่างไร เสด็จแม่ก็คิดเช่นเดียวกับตาเฒ่าแซ่หลิ่วนั้น คิดอยากจะจับลูกขังไว้เช่นกันหรือ”

ถึงแม้จะรู้แต่แรกแล้วว่าเป็นฝีมือของม่อจิ่งหลี แต่เมื่อมาได้ยินเขาพูดออกมากับหู ไทเฮาก็สะเทือนใจจนอดหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ ใบหน้าที่เดิมได้รับการดูแลอย่างดี ดูซีดขาวและชราภาพลงไปเป็นสิบปี นางนั่งเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุดอยู่บนเก้าอี้หงส์อันงดงามหรูหรา “คงเป็นกรรมของข้า! เหตุใดข้าถึงได้คลอดลูกสารเลวอย่างพวกเจ้าสองคนออกมาได้! ข้าไม่มีหน้าไปพบอดีตฮ่องเต้แล้ว ไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษตระกูลม่อแล้ว”

ม่อจิ่งหลีมองไทเฮาที่ร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดด้วยสายตาเย็นชา ในใจไม่มีความรู้สึกผิดเลยแม้สักน้อย เดิมทีคนที่ปลุกความทะเยอทะยานในจิตใจเขาขึ้นมาก็มิได้มีใครอื่น แต่เป็นเสด็จแม่ที่ร้องไห้อย่างน่าเวทนาอยู่ต่อหน้าเขาในยามนี้ แค่เพียงเพราะนางไม่พอใจที่เสด็จพี่แข็งข้อไม่ยอมฟังสิ่งที่นางบงการขึ้นทุกวัน จึงคิดอยากปลดเขาลงแล้วดันเขาให้ขึ้นนั่งบัลลังก์แทน ศึกแย่งชิงบัลลังก์ทุกครั้งในประวัติศาสตร์ ล้วนเต็มไปด้วยหยาดเลือดที่กระสานซ่านเซ็นประหนึ่งสายฝน โครงกระดูกกองทับถมกันเป็นภูเขา แต่ยามนี้นางกลับมาโทษว่าเขาใจคอโหดเหี้ยมอย่างนั้นหรือ น่าเสียดายก็เพียง เมื่อง้างศรแล้วไม่มีการถอยหลังกลับ ชะตาของเขากลับม่อจิ่งฉีได้กำหนดไว้ตั้งแต่ยามที่จิตใจเขาเกิดความทะเยอทะยานแล้วว่า ไม่ใครก็ใครสักคนจะต้องตาย

“หลีเอ๋อร์…ฉีเอ๋อร์เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้านะ เจ้าเอายาถอนพิษให้เขาเถิด แม่จะปกป้องเจ้าเอง” พอไทเฮาร้องไห้จนเหนื่อยอ่อนแล้ว จึงเอ่ยเสียงสะอื้นขึ้น

มุมปากม่อจิ่งหลียกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน “เสด็จแม่ ท่านเป็นไทเฮามาสิบกว่าปี แต่กลับไร้เดียงสาเสียยิ่งกว่าแต่ก่อนเสียอีก”

ไทเฮาอึ้งไป มองบุตรชายที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้าตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเย็น ประหนึ่งไม่เคยรู้จักเขามาก่อนกระนั้น

ม่อจิ่งหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องพูดเรื่องข้าไม่มียาถอนพิษ แต่ต่อให้มี…ข้าก็ไม่มีทางให้ เสด็จแม่คิดจริงๆ หรือว่า หากม่อจิ่งฉีหายดีแล้ว เขาจะปล่อยข้าไป?”

เมื่อไทเฮาได้ยินคำพูดที่ไร้เยื่อใยเช่นนี้จากปากเขาก็ถึงกับตัวสั่นเทิ้ม ชี้หน้าม่อจิ่งหลีพร้อมเอ่ยด้วยความโกรธจัดว่า “เจ้า…เจ้ามันเป็นสัตว์นรก! เจ้า…”

ตลอดชีวิตนางอยู่กับการแย่งชิงอำนาจ แย่งชิงผลประโยชน์มาโดยตลอด มาวันนี้นางอายุกว่าหกสิบปีแล้ว นางเหนื่อยมาพอแล้วจริงๆ หวังเพียงว่าให้บุตรชายทั้งสองของตนต่างมีชีวิตที่ปลอดภัยและอยู่อย่างมีความสุขก็พอแล้ว แต่เหตุใดนางถึงต้องมาเห็นบุตรชายทั้งสองคนของนางเข่นฆ่ากันในช่วงอายุหกสิบปีเช่นนี้ด้วย นี่เป็น…กรรมตามสนองอย่างนั้นหรือ

ม่อจิ่งหลียิ้มนิ่งๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดก่อนหน้านี้เสด็จแม่ถึงไม่ทำตามที่ตาเฒ่าแซ่หลิ่วนั้นบอกเล่า จับลูกขังไว้ก็สิ้นเรื่อง ในสายตาของเสด็จแม่ มิได้มีสิ่งที่สำคัญกว่าลูกอยู่แล้วหรอกหรือ”

ไทเฮาชี้หน้าม่อจิ่งหลีอยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็พูดอันใดไม่ออก ถูกต้อง…ในใจของนางมีสิ่งที่สำคัญกว่าบุตรชายมาตั้งแต่ต้น สิ่งนั้นก็คืออำนาจ หากฉีเอ๋อร์ไม่ไหวแล้วจริงๆ เช่นนั้นก็จะให้หลีเอ๋อร์เป็นอันใดไปไม่ได้ มิเช่นนั้น เมื่อใดก็ตามหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับฉีเอ๋อร์ คนที่จะขึ้นมาสืบทอดราชบัลลังก์ก็จะต้องเป็นพระโอรสองค์ใดองค์หนึ่งที่เกิดจากหลิ่วกุ้ยเฟยอย่างแน่นอน

แต่ไหนแต่ไรมาไทเฮาทรงไม่ถูกกับตระกูลหลิ่วมาโดยตลอด หากให้พระโอรสของหลิ่วกุ้ยเฟยขึ้นเป็นฮ่องเต้ จะมีประโยชน์อันใดกับนาง ไทฮองไทเฮาถึงแม้จะฟังดูสูงศักดิ์ แต่ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ของคนเป็นย่า ก็ไม่มีทางเข้มข้นไปกว่าผู้เป็นมารดา อีกทั้งบุตรชายของหลิ่วกุ้ยเฟยก็มิได้ใกล้ชิดสนิทสนมอันใดกับนาง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ก็มิได้หมายความว่านางจะยินยอมให้บุตรชายคนเล็ก สังหารบุตรชายคนโตไปได้

“เจ้า…” ไทเฮามองบุตรชายตรงหน้าที่มีสีหน้าบึ้งตึง และพบว่าตนถึงกับไม่รู้ว่าจะเอ่ยอันใดออกมาดี

ม่อจิ่งหลีเลิกคิ้วเอ่ยว่า “เสด็จแม่ ท่านโปรดวางใจเถิด ข้าไม่มีทางฆ่ามันหรอก ถึงอย่างไรมันก็เป็นเสด็จพี่ฮ่องเต้ของข้ามิใช่หรือ”

แน่นอนว่าเขาไม่มีทางสังหารม่อจิ่งฉี เขาจะให้มันนอนแหมบอยู่บนเตียง ขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวไม่ได้ และคอยมองดูตนที่มีอำนาจทุกอย่างอยู่ในมือ และถึงขั้นขึ้นปกครองแคว้นเลยทีเดียว

ที่สำคัญกว่านั้นคือ…เขามิอาจปล่อยให้ม่อจิ่งฉีตายอย่างปัจจุบันทันด่วนจนเกินไป ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะประกาศตัดขาดความสัมพันธ์กับต้าฉู่ไปแล้ว แต่ม่อจิ่งหลีก็มิอาจมั่นใจได้ว่า หากม่อจิ่งฉีตายลงเสียแล้ว เขาจะไม่ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้องในการยกทัพกลับมาบุกต้าฉู่ แต่ไหนแต่ไรมา ม่อจิ่งหลีไม่เคยนึกเชื่อมาก่อนว่าม่อซิวเหยาไม่มีความทะเยอทะยาน เขาแค่เพียงขาดข้ออ้างที่สามารถนำมาใช้สนับสนุนความทะเยอทะยานของเขาได้ก็เท่านั้น!

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย
Status: Ongoing
หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset