ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 266-2 ม่อตัวน้อยกับเหลิ่งเอ๋อน้อย

เมื่อเอ่ยถึงสองพี่น้องม่อจิ่งฉี เหลิ่งเฮ่าอวี่ก็เอ่ยขึ้นด้วยความกังวลว่า “ยามนี้ม่อจิ่งฉีกับม่อจิ่งหลีคงจะรู้เรื่องที่ท่านอ๋องกลับเมืองหลวงมาแล้ว ท่านอ๋องกับพระชายาจะย้ายที่พักหรือไม่ อยู่ในโรงเตี๊ยมเช่นนี้อย่างไรก็ไม่ค่อยปลอดภัยนัก”

ม่อซิวเหยาโบกมือ พลางเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่เป็นไร ช่วงเวลาเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีทางผลีผลามลงมือหรอก”

ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น ด้านนอกประตู จั๋วจิ้งก็เข้ามารายงานว่า “ท่านอ๋อง พระชายา หลีอ๋องมาขอพบอยู่ที่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว เอ่ยเรียบๆ ว่า “มาเร็วดีจริง”

ม่อตัวน้อยวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากเรือนเล็ก ไปยังด้านนอก เรือนแห่งนี้มีสองทางเข้า ทั้งด้านนอกและด้านในต่างมีคนคอยอารักขา

ม่อตัวน้อยถึงแม้บางคราจะซุกซนเกเรไปบ้าง แต่ก็รู้เป็นอย่างดีว่าอันใดควรไม่ควร เขาย่อมรู้ว่าเมืองหลวงแห่งนี้ไม่เหมือนเช่นเมืองหลีที่เขาสามารถหลับตาเดินได้ ดังนั้นต่อให้กำลังโมโหเพียงใดก็ไม่มีทางวิ่งออกไปด้านนอกอย่างแน่นอน แค่เพียงนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ เสียใจอยู่กับตนเองเงียบๆ เท่านั้น

ชื่อเล่นของเขาถูกประกาศออกไปจนผู้คนรับรู้กันทั่ว ม่อตัวน้อยที่รู้สึกว่าตนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดจึงนั่งใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ จนในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่า เขาก็จะป่าวประกาศชื่อเล่นของเสด็จพ่อให้ทุกคนรับรู้เช่นกัน! ส่วนเรื่องว่าชื่อเล่นของเสด็จพ่อเขาเป็นชื่ออันใดนั้น ม่อตัวน้อยกลับไม่เคยคิดมาก่อน

“พี่ตัวน้อย…” เสียงของเหลิ่งจวินหานดังลอยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยยังคงไม่ลดละที่จะตามหาเพื่อนใหม่ของเขา

ม่อตัวน้อยที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ แค่เพียงได้ยินเสียงเล็กๆ เรียกว่าพี่ตัวน้อยก็รู้สึกคันที่ศีรษะขึ้นมาเสียแล้ว แค่เพียงเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็เห็นองครักษ์ที่ยืนอารักขาอยู่หน้าประตู ดูมีท่าทีขบขันเสียแล้ว ม่อตัวน้อยรู้สึกเพียงเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ ไม่ได้อยู่ จึงกัดฟัน หันมองไปทางเหลิ่งจวินหานที่วิ่งสะเปะสะปะออกมาจากด้านในเพื่อตามหาตน

ในที่สุดม่อตัวน้อยก็ลุกยืนขึ้น เอ่ยเสียงเย็นว่า “เหลิ่งเอ๋อน้อย เจ้ามานี่!”

เหลิ่งจวินหานหันตามเสียงไป ก็เห็นพี่ตัวน้อยที่หล่อเหลายืนอยู่ใต้ต้นไม้ กำลังกวักมือเรียกตน จึงระบายยิ้มอย่างสดใสออกมาทันที ก่อนวิ่งตรงเข้าไปหาม่อตัวน้อย

ม่อตัวน้อยบีบหนักๆ เข้าที่แก้มทั้งสองข้างของเหลิ่งจวินหาน จ้องตาเขาพลางเอ่ยว่า “ข้าชื่อม่ออวี้เฉิน ได้ยินชัดแล้วหรือไม่! ม่อ อวี้ เฉิน! เรียกข้าว่า พี่อวี้เฉิน!”

ถึงแม้จะมิอาจเข้าใจถึงความคิดของม่อตัวน้อย แต่สัญชาตญาณของเหลิ่งจวินหานก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของพี่ตัวน้อย “ข้า…ข้าไม่ได้ชื่อเหลิ่งเอ๋อน้อย…”

ม่อตัวน้อยกรอกตาขึ้นฟ้า “ข้าก็ไม่ได้ชื่อม่อตัวน้อย”

“…” แต่ท่านน้าพระชายาเรียกท่านว่าตัวน้อยนี่นา

ม่อตัวน้อยถลึงตาดุใส่เหลิ่งจวินหาน “พี่อวี้เฉิน! ได้ยินหรือไม่ หากไม่เรียกก็จะไม่พาเจ้าไปเล่นด้วยนะ”

“พี่อวี้เฉิน…” เหลิ่งจวินหานเอ่ยเรียกเบาๆ

ม่อตัวน้อยพยักหน้าด้วยความพอใจ ตบศีรษะเล็กๆ ของเหลิ่งจวินหานเบาๆ เอ่ยด้วยความแก่แดดว่า “นี่สิถึงจะเป็นเด็กดี น่าสั่งสอน”

เหลิ่งจวินหานเอามือลูบศีรษะพลางหัวเราะแหยๆ พี่ตัวน้อยยอมพาเขาไปเล่นด้วยแล้วหรือ

“เจ้าเป็นบุตรชายของม่อซิวเหยา?” น้ำเสียงที่ฟังดูเรียบเย็นดังลอยมาไม่ไกล

ม่อตัวน้อยหันตามเสียงไป ก็เห็นเป็นบุรุษวัยกลางคนสวมชุดสีดำแดงปักลายงูสีทองกำลังยืนจ้องตนอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ก้าว สายตาประหลาดที่ติดจะเยียบเย็นนั้น ทำให้ม่อตัวน้อยรู้สึกไม่สบายตัว ดังนั้นม่อตัวน้อยจึงเบ้ปากพลางเชิดคางขึ้น เอ่ยถามอย่างถือดีว่า “เป็นข้าเอง เจ้าเป็นใคร”

ก็มิใช่อ๋องคนหนึ่งหรอกหรือ ใส่ชุดข้าราชการเดินไปเดินมา กลัวผู้อื่นไม่รู้ถึงฐานะของตนหรือไร เสด็จพ่อของเขาต่างหาก ที่เป็นท่านอ๋องที่เก่งกาจที่สุด

ม่อจิ่งหลีมีหรือจะรู้ว่า สหายม่อตัวน้อยแค่เพียงมองจากภายนอกก็สามารถคิดอ่านไปได้ไกลถึงเพียงนั้น เขามองเด็กชายหน้าตาดีที่สวมชุดผ้าไหมสีดำตรงหน้าด้วยสายตาหลากหลาย เจ้าเด็กคนนี้หน้าตาคมคายเสียยิ่งกว่าม่อซิวเหยาตอนเด็กๆ เสียอีก ความถือดีในสีหน้าก็ดูจะมากกว่าม่อซิวเหยาตอนเด็กๆ อีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเป็นบุตรชายที่ได้รับความรักใคร่ของบิดามารดา และถือดีมาตั้งแต่กำเนิด เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วกลับไปคิดถึงบุตรชายที่ไม่รู้ยามนี้ไปอยู่เสียที่ใดของตน สีหน้าม่อจิ่งหลีจึงยิ่งบึ้งตึงหนักขึ้นไปอีก

ม่อตัวน้อยถลึงตาใส่ม่อจิ่งหลีด้วยความไม่พอใจทีหนึ่ง ข้าถาม เขาถึงกับไม่ตอบ ช่างไร้มารยาทเสียจริง ม่อตัวน้อยจึงสะบัดหน้าหมุนตัวเดินไปทันที “เหลิ่งเอ๋อน้อย ไปเถิด”

“พี่ตัว…พี่อวี้เฉิน ข้าไม่ใช่เหลิ่งเอ๋อน้อย” เหลิ่งจวินหานเดินตามไปพลางเอ่ยย้ำอีกเที่ยว

ม่อตัวน้อยพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจว่า “ข้าจะจำไว้ เหลิ่งเอ๋อน้อย”

เด็กสองคนเดินจูงมือกันจากไป ม่อจิ่งหลียังคงยืนหน้าบึ้งอยู่ที่เก่า ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่

จั๋วจิ้งเดินออกมาเอ่ยว่า “หลีอ๋อง ท่านอ๋องกับพระชายาเชิญพ่ะย่ะค่ะ”

ม่อจิ่งหลีส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านใน

ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีกำลังนั่งเล่นหมากรุกกันอยู่ในเรือน ส่วนเหลิ่งเฮ่าอวี่กับมู่หรงถิงย่อมหลบฉากออกไปก่อนแล้ว

เมื่อเห็นม่อจิ่งหลีเดินเข้ามา ม่อซิวเหยาก็มิได้คิดที่จะลุกขึ้นต้อนรับ เพียงหันไปปรายตามองเขาทีหนึ่งก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “มีธุระ?”

ใบหน้าม่อจิ่งหลีมีแววโกรธเคือง เมื่ออยู่ต่อหน้าม่อซิวเหยา ดูเหมือนอย่างไรเขาก็ยังต่ำต้อยกว่าเขาอยู่หนึ่งขั้นเสมอ ม่อซิวเหยาเคยเป็นคุณชายรองของตำหนักติ้งอ๋อง ส่วนเขาเป็นถึงพระโอรสของฮ่องเต้ แต่เขากลับเป็นที่โปรดปรานสู้เขาไม่ได้ อวดดีสู้เขาไม่ได้ หยิ่งยะโสสู้เขาไม่ได้ จนเมื่อเขาโตขึ้นจนได้แต่งตั้งขึ้นเป็นหลีอ๋อง ผลงานการรบกับความรู้ความอ่านของเขาก็สู้ม่อซิวเหยาไม่ได้ ส่วนในยามนี้ เขาได้ขึ้นเป็นถึงท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าม่อซิวเหยา เขาก็ยังดูด้อยกว่าขั้นหนึ่งอยู่ดี! เช่นนี้จะให้ม่อจิ่งหลีจิตใจสงบนิ่งอยู่ได้เช่นไร

“เจ้าช่างใจกล้านัก?! ยังกล้ากลับมาอีก!” ม่อจิ่งหลีเอ่ยเสียงเย็นเยียบ

ม่อซิวเหยาโยนหมากในมือลง เอนตัวพิงเก้าอี้พลางเอ่ยพร้อมยิ้มเรียบๆ ว่า “ข้ากลับมาแล้ว เจ้าจะกล้าทำอันใดได้”

ม่อจิ่งหลีกัดฟัน เขาจะกล้าทำอันใด เขาไม่กล้าทำอันใดหรอก!

ยามนี้คนเป่ยจิ้งบุกรุกข้ามแดนมาแล้ว เป่ยหรงกับซีหลิงก็คอยจับจ้องอยู่ไม่วางตา ต่อให้ม่อซิวเหยากลับมาตัวคนเดียว เขาก็ไม่กล้าทำอันใดได้ หากเกิดอันใดขึ้นกับม่อซิวเหยา กองทัพตระกูลม่อจะต้องทุ่มสุดกำลังเข้าแก้แค้นให้เขาอย่างแน่นอน ถึงยามนั้นหากซีหลิงกับเป่ยหรงบุกรุกเข้ามาอีก ต้าฉู่ที่มีศัตรูรายล้อมอยู่รอบด้าน ไม่นานก็คงถูกกลืนหายไปจนหมด

เขาส่งเสียงหึเบาๆ เมื่อเห็นว่าม่อซิวเหยาไม่มีท่าทีจะเชื้อเชิญตนให้นั่งลง ม่อจิ่งหลีจึงเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ด้วยตนเอง สายตาจับจ้องอยู่ที่ม่อซิวเหยา “เจ้ากลับมาในยามนี้ ด้วยมีแผนร้ายอันใดกันแน่”

ม่อซิวเหยาพ่นลงหายใจออกทางจมูกใส่สายตาที่จับจ้องมาของเขา “แผนร้าย? นั่นมิใช่สิ่งที่เจ้าทำกับม่อจิ่งฉีหรอกหรือ ว่าอย่างไร ยาที่ใส่ให้ม่อจิ่งฉีพอใช้หรือไม่ หากไม่พอที่ข้ายังมีอยู่อีกเล็กน้อยนะ”

ม่อจิ่งหลีตาแข็งขึ้นทันที “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอันใด”

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วเอ่ยว่า “ไม่รู้หรือ ยามที่เจ้าซื้อยากับแม่เฒ่าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียงนั่น ข้ากับอาหลีบังเอิญมองอยู่ที่ข้างๆ พอดี ดังนั้นถึงได้หยิบติดมือกลับมาให้ท่านเสิ่นลองศึกษาดูด้วย เจ้าว่า…ครึ่งปีมานี้ ท่านเสิ่นจะสามารถศึกษาหายาถอนพิษได้แล้วหรือไม่เล่า”

ม่อจิ่งหลีหันมองเยี่ยหลีที่นั่งจิบชาอยู่เงียบๆ แล้วจู่ๆ ก็บังเกิดความรู้สึกอับอายขึ้นมาอย่างประหลาด แต่นัยยะในคำพูดของม่อซิวเหยาที่แฝงอยู่นั้น ทำให้เขายิ่งรู้สึกไม่สบายใจ “เจ้ามียาถอนพิษ?”

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ข้าพูดเช่นนั้นหรือ”

“ม่อซิวเหยา! เจ้า…” ม่อจิ่งหลีโกรธจนคิดอยากขว้างถ้วยชาในมือใส่หน้าม่อซิวเหยา หลายปีที่ผ่านมา ทั้งอำนาจและบารมีของเขาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงมีน้อยครั้งนักที่เข้าจะโกรธเกรี้ยวขึ้นง่ายๆ เช่นนี้ แต่ดูเหมือนเพียงม่อซิวเหยาพูดเรื่อยเปื่อยไปไม่กี่ประโยค ก็สามารถทำให้เข้าโกรธเกรี้ยวประหนึ่งสายฟ้าฟาดได้เหมือนในวัยหนุ่มอีกครั้งทันที

“ม่อซิวเหยา เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่”

ม่อซิวเหยายกชาขึ้นจิบเรื่อยๆ พลางเอ่ยเรียบๆ ว่า “สงบนิ่ง ในเมื่อมีตำแหน่งเป็นถึงท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแล้ว ก็ควรวางตัวให้สมกับเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการหน่อย อย่าได้ทำให้ชื่อท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการต้องมัวหมอง”

เสด็จพ่อของเขาเองยามนั้นก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเช่นกัน

ม่อซิวเหยามองม่อจิ่งหลีที่พยายามฝืนเก็บกดความโกรธของตนไว้ พลางเอ่ยว่า “ข้ามิได้คิดจะทำเช่นไร แค่เพียงได้ยินว่าม่อจิ่งฉีใกล้จะไม่ไหวแล้ว จึงคิดกลับมาบอกลาเขาสักหน่อยเท่านั้น”

“ความหมายของเจ้าคือ หากม่อจิ่งฉียังไม่ตาย เจ้าก็จะยังไม่กลับ?” ม่อจิ่งหลีกัดฟันเอ่ย

ยามนี้ในเมืองหลวงกำลังวุ่นวายสับสนไปหมด ไม่จำเป็นต้องมีติ้งอ๋องอีกคนเข้ามาช่วยทำให้สถานการณ์วุ่นวายไปกว่านี้เลยจริงๆ หากม่อจิ่งฉีอยู่ต่อไปได้อีกครึ่งปี เขาก็จะอยู่ที่เมืองหลวงอีกครึ่งปีอย่างนั้นหรือ

“ท่านลุงกับพี่ใหญ่ของอาหลีล้วนเป็นอัจฉริยะบุคคลด้านการบริหารแคว้น ซีเป่ยก็มีพื้นที่อยู่เพียงไม่เท่าไร คงไม่ยากเกินความสามารถพวกเขาหรอก หลีอ๋องไม่ต้องเป็นกังวลแทนข้า” ม่อซิวเหยาเอ่ย

ข้าเป็นกังวลแทนเจ้าบ้าอะไร! ในที่สุดม่อจิ่งหลีก็เก็บถ้อยคำหยาบคายในใจไว้ไม่อยู่ ซีเป่ยจะเป็นเช่นไร เกี่ยวบ้าอันใดกับเขา ยามนี้เขาเพียงต้องการคิดหาทางไล่ม่อซิวเหยาออกไปจากเมืองหลวงเท่านั้น

ม่อซิวเหยาเอนพิงอยู่กับเก้าอี้ เอามือเท้าหน้าผากพลางเอ่ยกับเขาว่า “ไม่ต้องคิดว่าจะทำเช่นไรให้ข้ารีบไป ข้ามิได้ชื่นชอบการเดินทางไปๆ มาๆ นักหรอกนะ เมื่ออยู่จนพอใจแล้ว ข้าก็จะไปเอง เพียงแต่เจ้าวางใจได้ ข้าไม่มีทางยื่นมือเข้าไปยุ่งกับการแก่งแย่งชิงอำนาจระหว่างเจ้ากับม่อจิ่งฉีและตระกูลหลิ่วหรอก”

ม่อจิ่งหลียิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดเจ้าหรือ”

ม่อซิวเหยาผายมือออก “นอกจากเชื่อแล้ว เจ้ายังจะทำอันใดกับข้าได้อีก?”

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย
Status: Ongoing
หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset