เยี่ยหลีนั่งจิบชาสบายๆ มองทั้งสองคนต่อล้อต่อเถียงกันไปมา เห็นได้ชัดว่า ม่อจิ่งหลีไม่เพียงสู้ม่อซิวเหยาเรื่องวรยุทธ์ได้เท่านั้น แม้แต่เรื่องฝีปากก็ยังสู้ม่อซิวเหยาไม่ได้ด้วย
เคยมีคนเล่าให้เยี่ยหลีฟังไว้ไม่น้อยว่า ยามม่อซิวเหยาอายุยังน้อยนั้นหยิ่งผยองเพียงใด แต่ม่อซิวเหยาที่เยี่ยหลีเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามนี้ที่อายุกว่าสามสิบปีแล้ว ตามปกติก็มักสุขุมและรู้จักรักษากิริยาไม่น้อย
เพียงแต่ยามนี้ เยี่ยหลีกลับสามารถมองเห็นท่าทางหยิ่งผยองถือดีของม่อซิวเหยาในวัยเยาว์จากลักษณะท่าทางและสีหน้าสบายๆ ของเขาได้จริงๆ ก็ไม่แปลกหากม่อจิ่งหลีจะหน้าบึ้งตึงเสียขนาดนั้น
ม่อจิ่งหลีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยพร้อมจ้องหน้าม่อซิวเหยาว่า “ดี ข้าเชื่อคำพูดเจ้า เรื่องที่เจ้าอยู่ที่เมืองหลวง ข้าจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง แต่ทางที่ดีเจ้าก็อย่าได้ทำเรื่องอื่นมากกว่านี้ล่ะ”
ม่อซิวเหยาเหลือบตาขึ้น เอ่ยอย่างเยาะหยันว่า “เจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้ากับม่อจิ่งหลีเล่นกันอยู่นี้ น่าดึงดูดมากนักหรือ ดูพวกเจ้าเล่นกันมากๆ เข้า ข้ายังกลัวว่าจะเสียสุขภาพจิตเสียด้วยซ้ำ”
ม่อจิ่งหลีไม่ต่อปากต่อคำกับม่อซิวเหยาอีก เขารู้ดีว่าตนเองสู้ม่อซิวเหยาไม่ได้ ในเมื่อได้รับการรับปากจากม่อซิวเหยาแล้ว ย่อมไม่อยากรั้งอยู่ที่นี่ให้เสียอารมณ์อีก เขาลุกยืนขึ้น เหลือบมองเยี่ยหลีทีหนึ่งก่อนหมุนตัวเดินออกจากเรือนไป
“อาหลี ดูสิ แม้แต่เรื่องถกเถียงเขายังเอาชนะข้าไม่ได้ เจ้าไม่รู้สึกหรือว่า ครานั้นที่เจ้าได้แต่งงานกับสามี เป็นการจัดการที่ดีเยี่ยมที่สุดแล้ว ถือเป็นคู่สร้างคู่สมกันจริงๆ ใช่หรือไม่”
ม่อซิวเหยาไม่สนใจว่าม่อจิ่งหลียังเดินออกไปไม่ทันพ้นเรือน ก็ยื่นมือข้ามกระดานหมากรุกมาจับมือเยี่ยหลีพูดอย่างพออกพอใจทันที
เยี่ยหลีได้แต่มองใครบางคนที่ได้ยินคำพูดที่ไม่ถูกหูเข้าจนฝีเท้าหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะออกเดินต่อไปรวดเร็วกว่าเดิม “เถียงชนะเขาได้มันน่าภูมิใจนักหรือ”
ม่อซิวเหยาพยักนหน้า เอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “แน่นอนสิ ข้าจะต้องทำให้อาหลีรู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นด้านใด สามีของเจ้าก็เก่งกาจกว่าผู้อื่นเป็นร้อยเท่า รวมถึงเรื่องการต่อล้อต่อเถียงด้วย”
เยี่ยหลีเอามือนวดหน้าผากอย่างใช้ความคิด ก่อนเอ่ยกับบุรุษตรงข้ามอย่างจริงใจว่า “หากจะแข่งกันเรื่องต่อล้อต่อเถียง ท่านก็ไม่ควรไปหาม่อจิ่งหลี เขาไม่มีกำลังต่อสู้ในเรื่องนี้ด้วยซ้ำ”
“เช่นนั้นควรไปหาผู้ใด” ม่อซิวเหยาหรี่ตาลงปล่อยให้พระอาทิตย์ส่อง พลางเอ่ยถามขึ้น
“ฮูหยินตระกูลท่านผู้เฒ่าหวัง บนถนนหนานหยวนในเมืองหลีของเราอย่างไรเล่า” เยี่ยหลีเอ่ยพร้อมยิ้มตาหยี
ม่อซิวเหยาถึงกับงงงวยไป นั่นคือผู้ใดกัน
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “หวังฮูหยิน ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ปากไวที่สุดในเมืองหลี สตรีที่ชวนโมโหที่สุด ว่ากันว่าเคยมีบุรุษสามคนถูกนางด่าทอจนร้องไห้กลางถนนมาแล้ว หรือไม่ ไว้กลับไปท่านอ๋องไปลองดู?”
ม่อซิวเหยานิ่งงันไป เงียบอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้เงยหน้าขึ้น เลิกคิ้วเอ่ยว่า “นางกล้าทะเลาะกับข้าหรือ”
เยี่ยหลีอึ้งไป ใช่สิ ต่อให้หวังฮูหยินร้ายกาจเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านอ๋องก็คงกลายเป็นใบ้ไปเหมือนกัน
เมื่อเห็นเช่นนั้น ท่านติ้งอ๋องจึงยิ้มอย่างได้ใจ “เจ้าดูสิ อาหลี คนที่มีอำนาจมากกว่าข้า กลับเถียงสู้ข้าไม่ได้ คนที่เถียงเก่งกว่าข้า ก็มีอำนาจไม่เท่าข้า สามีเจ้าก็ยังเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดอยู่ดี”
เยี่ยหลีเอามือปิดหน้า ยอมแพ้ให้กับความไร้ขีดจำกัดของใครบางคน
ข่าวที่ติ้งอ๋องกลับมาเมืองหลวง ย่อมมิได้มีเพียงม่อจิ่งหลีคนเดียวที่รู้ข่าว แค่เพียงตัวเขาที่เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการและพักอาศัยอยู่นอกวัง จึงรวดเร็วกว่าผู้อื่นหนึ่งก้าวเท่านั้น
ม่อจิ่งหลีกลับไปยังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยาม เสนาบดีหลิ่วก็มาขอเข้าพบบ้าง น่าเสียดายที่ได้รับการบอกเล่าว่า ท่านอ๋องได้พาพระชายาและซื่อจื่อออกไปก่อนแล้ว
ป้ายวิญญาณบรรพบุรุษของตำหนักติ้งอ๋องทุกรุ่น ตั้งเซ่นไหว้อยู่ที่วัดประจำตระกูล วัดอู๋เย่ว์ที่ตั้งอยู่นอกเมือง ถึงแม้ม่อจิ่งฉีจะมีบัญชาให้ปิดตำหนักติ้งอ๋อง แต่กลับไม่กล้าให้คนแตะต้องวัดอู๋เย่ว์ รบกวนดวงวิญญาณท่านติ้งอ๋องทุกรุ่น วัดอู๋เย่ว์ทุกวันนี้ยังมีคนมาคอยจัดการทำความสะอาดอยู่เสมอ แม้แต่ชาวบ้านในเมืองหลวงก็ยังมาจุดธูปกราบไหว้กันที่หน้าวัดอีกด้วย ดังนั้น ถึงแม้ยามนี้ตำหนักติ้งอ๋องจะไม่มีประมุขอาศัยอยู่ แต่ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษก็ไม่เคยขาดควันธูปเลยสักครา
เมื่อเห็นคณะของติ้งอ๋องเดินทางมากราบไหว้ ทหารที่รักษาการณ์อยู่ด้านในย่อมไม่กล้าขวาง ปล่อยให้ทุกคนเดินเข้าไปด้วยความนอบน้อม
ทั้งสองให้องครักษ์รออยู่ที่ด้านนอก พาม่อตัวน้อยเข้าไปยังตำหนักด้านในสุด ภายในตำหนักด้านใน มีป้ายบรรพบุรุษติ้งอ๋องทุกรุ่นวางตั้งอยู่ ป้ายดวงวิญญาณที่อยู่ด้านบนสุดย่อมเป็นท่านติ้งอ๋องรุ่นแรก ม่อหลั่นอวิ๋น ส่วนป้ายที่อยู่ด้านล่างสุดเป็นเสด็จพ่อและพี่ชายของม่อซิวเหยา ม่อหลิวฟางและม่อซิวเหวิน
ไม่ต้องให้ทั้งสองคนสอน ม่อตัวน้อยก้าวเข้าไปปักธูปโขกศีรษะคำนับด้วยความเคารพเองทันที
หลังจากเซ่นไหว้บรรพบุรุษเรียบร้อยแล้ว สามคนพ่อแม่ลูกเดินออกมายังไม่ทันพ้นประตูใหญ่วัดอู๋เย่ว์ ก็พบเข้ากับทหารกลุ่มใหญ่ที่กำลังเดินเข้ามา
เยี่ยหลีที่ยืนอยู่ข้างกายม่อซิวเหยา เลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “เวลานี้ยังมีคนตั้งใจมากราบไหว้บรรพบุรุษตำหนักติ้งอ๋องอีกหรือ”
ตั้งแต่ตำหนักติ้งอ๋องกับต้าฉู่ตัดขาดกันมา นอกจากชาวบ้านธรรมดาทั่วไปแล้ว โดยทั่วไปชนชั้นสูงที่มาเซ่นไหว้โดยมาก มักมากันเงียบๆ แต่ที่มากันเป็นขบวนอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ ถือว่าพบได้น้อยนัก
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว เอ่ยเรียบๆ ว่า “คนจากในวัง ไล่กลับไป!”
ที่บอกให้ไล่กลับไปนั้น แน่นอนว่าย่อมพูดกับองครักษ์ที่คอยติดตามอารักขาอยู่ข้างกาย ยามนี้คนในวังมีผู้ใดที่สามารถออกมาได้บ้าง ทุกคนย่อมรู้แก่ใจกันเป็นอย่างดี หากมิได้มีใจมาเซ่นไหว้ด้วยใจจริงแล้ว ตำหนักติ้งอ๋องก็ไม่ต้องการธูปจากคนเหล่านี้
เมื่อได้รับคำสั่ง องครักษ์จำนวนหนึ่งก็ก้าวเข้าไปขวางทางทหารกลุ่มใหญ่ที่ยังเดินเข้ามาไม่ถึงบันไดวัดดีไว้
คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนจากในวังจริงๆ แต่ละคนย่อมมีความอวดดี ไม่เห็นหัวผู้ใดอย่างแน่นอน เมื่อเห็นว่าจู่ๆ ก็มีคนสองคนเข้ามาขวางทางพวกตนไว้ จึงมีคนก้าวออกมาเอ่ยถามเสียงเข้มทันทีว่า “บังอาจ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคนในเกี้ยวคือผู้ใด ถึงได้บังอาจมาขวางทางไว้เช่นนี้”
องครักษ์ของตำหนักติ้งอ๋องอวดดีกว่าพวกเขาเสียอีก ยิ้มเยาะทีหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “พวกเราไม่รู้ว่าคนด้านในเป็นใคร แต่ก่อนถึงวัดอู๋เย่ว์ร้อยก้าว จะต้องลงจากม้า ลงจากเกี้ยว ผู้ที่กล้าแบกเกี้ยวขึ้นมาถึงหน้าบันได ตำหนักติ้งอ๋องไม่ต้องการการเซ่นไหว้จากคนเช่นพวกเจ้า มาทางไหนเชิญกลับไปทางนั้น!”
“บังอาจ! ต่อหน้าขบวนเสด็จของพระสนมกุ้ยเฟย ยังกล้าเสียมารยาท ไปจับตัวมา!”
“ช้าก่อน” มีเสียงเย็นเรียบของสตรีดังลอยมาจากในเกี้ยวที่โอ่อ่าหรูหรา ผ้าม่านถูกเลิกขึ้น หลิ่วกุ้ยเฟยในชุดสีขาวทั้งชุด จับมือนางกำนัลพลางก้าวออกมาจากเกี้ยว ขันทีที่เมื่อครู่ยังอวดอ้างอยู่ข้างหน้ารีบก้าวเข้าไปรับทันที ยิ้มประจบประแจงพลางเอ่ยว่า “พระสนมโปรดอภัยด้วย พวกไพร่สองคนนี้ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ มาขวางทางพระสนมไว้ บ่าวจะให้คนไปจับพวกมันมาเดี๋ยวนี้”
หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเย็นว่า “ถอยไป!”
ขันทีผู้นั้นคิดอยากสอพลอแต่กลับสอพลอไม่ถูกจุด จึงจำต้องถอยออกไปอย่างหงอยๆ
หลิ่วกุ้ยเฟยค่อยๆ เดินเรื่อยๆ ไปตรงหน้าองครักษ์ทั้งสอง ก่อนเอ่ยถามว่า “ติ้งอ๋องอยู่ที่นี่หรือไม่”
องครักษ์มิได้ตอบคำถามนั้น เพียงเอ่ยว่า “กุ้ยเฟยเชิญกลับไปเถิด”
หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้าเพียงอยากมากราบไหว้บรรพบุรุษติ้งอ๋องเท่านั้น”
องครักษ์ทั้งสองต่างพากันนิ่งเงียบ เป็นการปฏิเสธคำกล่าวนั้นโดยมิได้พูดออกมา พวกเขาเพียงต้องการทำตามคำสั่งของท่านอ๋องเท่านั้น ไม่ต้องการรับรู้เหตุผลที่ผู้อื่นมาที่นี่
หลิ่วกุ้ยเฟยได้รับการประคบประหงมดูแลอย่างดีมาตั้งแต่เล็ก ทั้งยังเป็นกุ้ยเฟยมาเป็นสิบปี ย่อมเคยชินกับการที่ผู้อื่นเชื่อฟังคำสั่งตน เมื่อเห็นท่าทางไม่อีร้าค่าอีรมของทั้งสอง สีหน้าจึงมีแววโกรธเคืองขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ฝืนกดอารมณ์ไว้ “ไปเรียนติ้งอ๋อง ข้ามีเรื่องอยากคุยธุระด้วย”
องครักษ์ทั้งสองหันสบตากัน เอ่ยอย่างห่างเหินและมีมารยาทว่า “ท่านอ๋องกับพระชายาและซื่อจื่อกลับเมืองหลวงไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องสั่งการไว้ หากมิได้ต้องการมาเซ่นไว้ด้วยใจริง ก็อย่าได้มารบกวนความสงบของบรรพบุรุษท่านเลยพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยบึ้งตึงลงไปเล็กน้อย ด้วยเพราะเดิมทีสีหน้านางก็ไร้อารมณ์อยู่แล้ว จึงปกปิดความประดักประเดิดในสีหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว เดิมทีนางมิได้ตั้งใจมากราบไหว้บรรพบุรุษของตำหนักติ้งอ๋องหรอก เพียงแต่ได้ยินว่าติ้งอ๋องเดินทางออกนอกเมือง จึงคาดเดาเอาว่าจะต้องพาบุตรชายมากราบไหว้บรรพบุรุษ ถึงได้รีบร้อนเดินทางมาเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกม่อซิวเหยาสั่งให้คนขวางทางเอาไว้ที่นี่ หลิ่วกุ้ยเฟยจึงไม่รู้จะกลับตัวอย่างไรไปชั่วขณะ
ผ่านไปครู่ใหญ่ หลิ่วกุ้ยเฟยถึงได้พอตั้งสติได้ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้ากลับเมืองหลววแล้วค่อยไปพบติ้งอ๋องก็แล้วกัน”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ กุ้ยเฟยเชิญกลับเถิด” องครักษ์ประสานมือพร้อมเอ่ยขอบคุณ
เมื่อกลับเข้าไปนั่งในเกี้ยวแล้ว ใบหน้าของหลิ่วกุ้ยเฟยบึ้งตึงประหนึ่งหิมะ เย็นเยียบประหนึ่งจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง นางรู้ว่าม่อซิวเหยาอยู่ที่นี่ เพียงแต่ไม่ยอมออกมาต้อนรับนางเท่านั้น เมื่อคิดเช่นนี้ นัยน์ตาก็มีแววตัดพ้อปรากฏให้เห็น เขารังเกียจนางถึงขั้นไม่ยอมแม้แต่จะออกมาพบหน้าเลยอย่างนั้นหรือ นิ้วมือที่ได้รับการปรนนิบัติดูแลมาอย่างดี กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น นัยน์ตาหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นประกายลุกวาบ ม่อซิวเหยา…ต้องมีสักวันที่เจ้ากลายเป็นของข้า!