ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 274-1 องค์หญิงซีฝูมาเยี่ยมเยียน

เมื่อมีหนังสือกล่าวโทษตนเองออกมา ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างพากันอึ้งไปสามขณะ ผู้คนต่างดาหน้ากันเข้ามาเยี่ยมคารวะติ้งอ๋องกันที่โรงเตี๊ยมอย่างไม่ขาดสาย ปานประหนึ่งตรงหน้ามีภาพตำหนักติ้งอ๋องฟื้นคืนกลับมาขึ้นอีกครั้งกระนั้น

แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดคิดว่าติ้งอ๋องจะเอาชนะหลีอ๋องไม่ได้ และยิ่งไม่มีผู้ใดคิดว่าติ้งอ๋องมิได้คิดที่จะเข้าร่วมการแก่งแย่งชิงอำนาจนี้มาตั้งแต่ต้น ส่วนผู้มีอิทธิพลชนชั้นสูงที่เข้าเป็นพรรคพวกกับตำหนักหลีอ๋องหรือตระกูลหลิ่วแล้ว ก็อดร้องโอดครวญในใจไม่ได้ แต่ก็ทำได้เพียงจนใจ ลงเรือนั้นง่าย แต่จะขึ้นจากเรือนั้นยากเย็นนัก ยามนี้หากคิดจะกลับตัวก็คงจะไม่ทันเสียแล้ว

ในวังยามนี้ ในตำหนักฮองเฮา ฮว่าฮองเฮานั่งอยู่บนบัลลังก์หงส์ ขมวดคิ้วฟังองค์ชายหกนำเรื่องที่ตนถูกรังแกมาเมื่อยามไปถ่ายทอดราชโองการด้วยความโกรธเกรี้ยว

เมื่อเห็นเด็กชายที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวและไม่พอใจตรงหน้าแล้ว ฮองเฮาก็ถึงกับส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง

เจิ้งเสียนเฟยที่นั่งอยู่ข้างๆ เอง ก็รู้สึกผิดหวังเช่นกัน ในขณะที่ฟังม่อตวนอวิ๋นร้องไห้กระจองงองแงว่าจะต้องให้เสด็จพ่อลงโทษพวกเขาให้จงได้นั้น ในที่สุดก็อดไม่ไหว สะบัดมือตบหน้าเขาทันที

องค์ชายหกเมื่อถูกตบเข้าที่ใบหน้าโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถึงกับชะงักงันไป เอามือจับหน้ามองเจิ้งเสียนเฟยด้วยสีหน้านิ่งอึ้งอยู่เป็นนานอย่างพูดไม่ออก

ฮองเฮาระบายลมหายใจออกมา เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าตีเขาตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด”

หลายปีมานี้นางถูกกักบริเวณอยู่แต่ในตำหนัก อำนาจในวังหลังทั้งหมดตกอยู่ในมือของหลิ่วกุ้ยเฟย ที่องค์ชายหกถูกสั่งสอนมาจนเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลิ่วกุ้ยเฟย ส่วนเจิ้งเสียนเฟยผู้เป็นมารดา ก็มิใช่ว่าจะไม่มีส่วนที่บกพร่อง แม้แต่ผู้ที่เป็นฮองเฮาอย่างนางยัง เฮ้อ…

“เสด็จแม่ เหตุใดท่านถึงตบข้า” ในที่สุดองค์ชายหกก็ตั้งสติได้ ถลึงตาจ้องเจิ้งเสียนเฟยด้วยความโกรธเกรี้ยวพลางเอ่ยถามขึ้น ทั้งๆ ที่เขาเป็นฝ่ายถูกรังแกแท้ๆ เสด็จแม่ไม่ช่วยเขาจัดการก็แล้วไปเถิด แต่นี่ถึงขั้นลงมือตบเขา? เช่นนี้จะทำให้ม่อตวนอวิ๋นที่ได้รับการพะเน้าพนอเอาใจมาตลอด รับได้ได้อย่างไร

เมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจถึงความตั้งใจของตน เจิ้งเสียนเฟยก็น้ำตาไหลลงมาอย่างอดไม่อยู่ ฟุบลงกับเก้าอี้ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ

เมื่อเห็นเสด็จแม่มีท่าทางเช่นนี้ ม่อตวนอวิ๋นก็เบ้ปาก เอ่ยงึมงำว่า “ในเมื่อเสด็จแม่ไม่ช่วยลูกจัดการ ลูกไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อก็ได้ เสด็จพ่อโปรดข้า จะต้องช่วยข้าแน่ๆ! ข้าจะต้องเอาตัวเจ้าบ้าติ้งอ๋องมาโบยหนักๆ ให้จงได้ แล้วให้มันมาเป็นข้ารับใช้ข้า!”

“หุบปาก!” เจิ้งเสียนเฟยตกใจจนหน้าขาวซีด จับตัวม่อตวนอวิ๋นมาเอ่ยว่า “ติ้งอ๋องเป็นผู้อาวุโส หากว่ากันตามฐานะแล้ว ติ้งอ๋องซื่อจื่อผู้นั้นก็มีศักดิ์สูงกว่าเจ้าหนึ่งขั้นด้วยซ้ำ พวกเขาพูดอันใดเจ้าก็ต้องฟัง และจำไว้ให้ดีก็พอ อย่าได้พูดจาเหลวไหล”

ม่อตวนอวิ๋นมีหรือจะยอมฟัง เขาเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ข้าเป็นองค์ชาย เหตุใดถึงต้องฟังพวกเขาด้วย! ข้าจะต้องให้เสด็จพอลงโทษพวกเขาสถานหนักให้จงได้!”

พูดจบก็ผลักมือเจิ้งเสียนเฟยออก ก่อนวิ่งออกไปข้างนอก

ฮองเฮาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หงส์เห็นเหตุการณ์นั้น ก็ตบโต๊ะเอ่ยเสียงเข้มด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “จับตัวองค์ชายหกไว้!”

เมื่อองค์ชายหกถูกจับตัวไว้ ย่อมดีดดิ้นขัดขืนไม่ยอม พลางเอ่ยขู่ว่าจะประหารขันทีและนางในกลุ่มนั้นให้หมด

ฮองเฮาจ้องเขาเขม็ง เอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าต่างหากที่ให้จับตัวเจ้าไว้ เจ้าจะประหารข้าด้วยอีกคนใช่หรือไม่! พาตัวองค์ชายหกไปคอยดูไว้ให้ดี หากให้เขาหนีไปได้ข้าจะลงโทษพวกเจ้า!”

ม่อตวนอวิ๋นยังมีความเกรงกลัวเสด็จแม่เอกที่เคยพบหน้ากันไม่กี่ครั้งอยู่บ้าง เมื่อเห็นนางโกรธขึ้นมาจริงๆ จึงไม่กล้าแผลงฤทธิ์อีก ยอมให้คนพาตัวเข้าไปตำหนักด้านในแต่โดยดี

ฮองเฮายกมือนวดขมับ เอ่ยกับเจิ้งเสียนเฟยว่า “เจ้าก็อย่าร้องไห้อีกเลย ติ้งอ๋องยังไม่ถึงขั้นมาคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กที่ไม่รู้ประสาหรอก ยามนี้เจ้าก็เห็นแล้วสินะ ตวนอวิ๋นเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นหรือไม่”

เจิ้งเสียนเฟยหยุดร้องไห้ด้วยความละอายใจ นางมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเล็กๆ เมื่อรู้ว่าบุตรชายตนเองมีโอกาสได้ขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ และนางก็จะได้ขึ้นเป็นฮองไทเฮา พระมารดาของชนทั้งใต้หล้า จะไม่ให้ใจสั่นได้อย่างไร แต่ยามนี้เมื่อมาเห็นว่าบุตรชายตนยังเป็นเพียงเด็กไม่ประสา นางใช้ชีวติอยู่ในวังมาตั้งหลายปี อย่างไรก็พอรู้ว่าอันใดเป็นอันใดอยู่บ้าง แค่เพียงออกนอกวังครั้งแรกก็ไปล่วงเกินตำหนักติ้งอ๋องทั้งครอบครัวเสียแล้ว แยกแยะไม่ออกสักนิดว่าอันใดควรอันใดไม่ควร หากขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ด้วยนิสัยเช่นนี้ เกรงว่านั่งบัลลังก์อยู่เพียงไม่กี่วันก็จะคงถูกทำร้ายเข้าให้

“ฮือๆ…เป็นเพราะนังแพศยาคนนั้น! นังแพศยาคนนั้นสอนลูกข้าจนเสียคนเช่นนี้ ฮือๆ…ฮองเฮาเพคะ ท่านจะต้องตัดสินเรื่องนี้ให้ข้านะเพคะ…”

ในใจเจิ้งเสียนเฟยยามนี้นึกโกรธแค้นหลิ่วกุ้ยเฟยยิ่งนัก ฝ่าบาทโปรดปรานหลิ่วกุ้ยเฟยมาหลายปี เรื่องในวังหลังทั้งหมดก็ให้นางเป็นผู้จัดการ นางที่เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชาย ปีๆ หนึ่งได้พบหน้าบุตรชายเพียงไม่กี่ครั้ง มายามนี้เมื่อบุตรชายถูกอบรบสั่งสอนจนกลายเป็นเช่นนี้ ถือเป็นการดับฝันการขึ้นเป็นไทเฮาของนางชัดๆ จะให้นางไม่นึกแค้นใจหลิ่วกุ้ยเฟยได้อย่างไร

ฮองเฮาโบกมือด้วยความรำคาญใจ “พอแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มาพูดเรื่องพวกนี้จะมีประโยชน์อันใด”

กับข้อเสนอของม่อจิ่งฉี มายามนี้ฮองเฮาสลัดเรื่องนั้นออกไปจนสิ้น องค์ชายหกมีความคิดความอ่านเช่นนี้ จะสั่งสอนอันใดเขาได้ นางสามารถสละตัวนางเองเพื่อราชวงศ์ได้ ด้วยเพราะนางเป็นฮองเฮา นางแต่งงานเป็นภรรยาของม่อจิ่งฉี แต่นางมิอาจสละตระกูลฮว่าทั้งตระกูลเพื่อราชวงศ์หรือเพื่อม่อจิ่งฉีได้ สิ่งที่ตระกูลฮว่าทำเพื่อต้าฉู่นั้น มากพอแล้ว…

“หม่อมฉันผิดไปแล้ว” เจิ้งเสียนเฟยคุกเข่าเช็ดน้ำตาอยู่กับพื้น “หม่อมฉันไม่ขอให้บุตรชายมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่ ขอเพียงให้เขาปลอดภัย เขาไม่รู้ประสา เป็นเพราะข้าที่เป็นมารดาไม่รู้จักสั่งสอนให้ดี ฮองเฮาได้โปรดทรงช่วยหม่อมฉันขอร้องติ้งอ๋องด้วยเถิดเพคะ ขอติ้งอ๋องได้โปรดไว้ชีวิตองค์ชายด้วยเถิด”

“เจ้าลุกขึ้นเถิด” ฮองเฮาเอ่ยพลางทอดถอนใจ “ข้าเคยบอกแล้ว ถึงแม้ติ้งอ๋องจะมิใช่คนใจคอกว้างขวาง แต่ก็ไม่ถึงขั้นเอาเด็กที่ไม่ประสามาเป็นอารมณ์หรอก หากข้ามีโอกาสได้พบชายาติ้งอ๋อง ข้าจะพูดกับนางให้ก็แล้วกัน ส่วนเรื่องตวนอวิ๋น เจ้าต้องคอยอบรมเลี้ยงดูให้ดี แค่เอ่ยปากก็ไปวิจารณ์การอบรมสั่งสอนของครอบครัวอื่นเข้าแล้ว อย่าว่าแต่เชื้อพระวงศ์เลย ต่อให้เป็นครอบครัวคนธรรมดาก็ถือว่าไม่สมควร”

เจิ้งเสียนเฟยรีบขอบพระทัย และให้คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะอีกครั้งว่าจะอบรมสั่งสอนองค์ชายหกให้ดี แล้วถึงได้ทูลลาไปยังตำหนักด้านหลังเพื่อรับตัวองค์ชายหกกลับไป

ฮองเฮามองแผ่นหลังที่กำลังเดินจากไปของนาง ชแล้วได้แต่ถอนใจออกมาเบาๆ นางจะยังเป็นฮองเฮาได้อีกนานเพียงใดกัน เจิ้งเสียนเฟยเล่า นางจะสามารถอบรมสั่งสอนองค์ชายหกให้ดีได้หรือไม่ เกรงว่าคงไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนางแล้ว เอาเถิด…อย่างน้อยอู๋โยวของนางยังมีชีวิตที่ปลอดภัยอยู่ที่ซีเป่ย แค่นี้ก็ดีมากแล้ว…

ขันทีที่ไปถ่ายทอดราชโองการพร้อมกับองค์ชายหก เมื่อกลับมาถึงวังก็เข้าไปรายงานเรื่องที่ม่อซิวเหยาปฏิเสธที่จะรับราชโองการ

ม่อจิ่งฉีนิ่งเงียบไปนาน แล้วในที่สุดก็โบกมือให้เขาถอยออกไปอย่างหมดแรง

ขันทีที่ไปถ่ายทอดราชโองการมีท่าทีประหนึ่งได้รับรางวัลใหญ่ รีบล่าถอยออกไปทันที ในขณะที่กำลังหมุนตัวปิดประตูตำหนักออกไปนั้นเอง เขากลับเห็นว่าฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร มีแววโกรธเกรี้ยวและคลุ้มคลั่งอยู่ในสายตาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ในใจถึงกับกระตุกวาบ รีบปิดประตูลงอย่างเบามือทันที

เมื่อมีราชโองการจากฮ่องเต้ คนข้างล่างก็จัดการเรื่องได้อย่างรวดเร็ว เดิมทีตำหนักติ้งอ๋องก็เพียงปิดป้ายไว้เท่านั้น ด้วยเพราะอิทธิพลของตำหนักติ้งอ๋องที่มีต่อต้าฉู่ ม่อจิ่งฉีก็ไม่กล้านำตำหนักนี้ไปใช้ทำอย่างอื่นในเวลาอันรวดเร็วเพียงนั้น ดังนั้นเมื่อเปิดตำหนักขึ้นอีกครั้ง ก็เพียงต้องปัดกวาดให้เรียบร้อยเท่านั้น สองวันให้หลังก็มีคนมารายงานม่อซิวเหยา และเชิญให้ติ้งอ๋องกับพระชายาย้ายกลับไปพักที่ตำหนัก

ม่อซิวเหยาก็ย่อมไม่เกรงใจ ตำหนักติ้งอ๋องแห่งนี้ เป็นที่พักของบรรพบุรุษติ้งอ๋องมาแล้วทุกรุ่น และก็เป็นบ้านพักของติ้งอ๋องมาตลอดสองร้อยปี เดิมทีที่ไปลงหลักปักฐานที่ซีเป่ยและทิ้งตำหนักติ้งอ๋องไว้นั้น ม่อซิวเหยายังได้สั่งให้คนมาลอบดูแลที่นี่อยู่ ดังนั้นถึงแม้จะผ่านไปหกเจ็ดปี แต่ตำหนักติ้งอ๋องก็ยังคงรักษาสภาพไว้ได้เป็นอย่างดี

เมื่อสามคนพ่อแม่ลูกกลับเข้าไปอาศัยที่ตำหนักติ้งอ๋องอย่างเป็นทางการแล้ว ผู้คนที่มาเข้าเยี่ยมคารวะก็ย่อมมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยเพราะว่านี่ถือเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า ราชโองการก่อนหน้านี้มิใช่ของปลอม ตำหนักติ้งอ๋องกลับมาต้าฉู่และเมืองหลวงอีกครั้งแล้วจริงๆ

ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะปฏิเสธเทียบเข้าเยี่ยมคารวะส่วนใหญ่ไป แต่ก็มีบุคคลบางกลุ่มที่มิอาจบอกปฏิเสธได้ บ่ายวันแรกที่กลับถึงตำหนักติ้งอ๋อง องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกก็เข้ามารายงานว่า องค์หญิงซีฝูและองค์หญิงเจาหยางมาขอเยี่ยมติ้งอ๋อง ทั้งสองท่านนี้ องค์หญิงเจาหยางยังพอว่า แต่กับองค์หญิงซีฝูนั้นอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ จึงจำต้องให้คนไปเชิญพวกนางเข้ามา

องค์หญิงซีฝูปีนี้ก็อายุกว่าแปดสิบปีแล้ว เมื่อเทียบกับหลายปีก่อน ดูจะชราภาพลงไปมาก ถึงแม้สีหน้าท่าทางจะยังดูไม่เลว แต่เรื่องสุขภาพก็ต่างกับเมื่อก่อนมากนัก

เมื่อองค์หญิงเจาหยางกับนางกำนัลประคองนางค่อยๆ เดินเข้ามา ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีก็พาม่อตัวน้อยออกไปต้อนรับทันที “องค์หญิงซีฝู”

องค์หญิงซีฝูเมื่อเห็นผมขาวทั้งศีรษะของม่อซิวเหยามายืนอยู่ตรงหน้าตนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นก็มีแววแห่งความสงสารและปวดใจปรากฏให้เห็น เอ่ยกับม่อซิวเหยาด้วยความจนใจว่า “ดูท่าเจ้าคงจะแค้นราชวงศ์มากจริงๆ แม้แต่ป้าอย่างข้าก็ไม่นับญาติกันแล้วหรือ”

ม่อซิวเหยาหรุบตาลง แต่ก็ยังเอ่ยเรียกเสด็จป้าออกมา

องค์หญิงซีฝูถึงได้ดูยินดีขึ้น ก่อนสายตาจะไปหยุดอยู่ที่ม่อตัวน้อย ดวงตานางเป็นประกายขึ้นมาด้วยความรักใคร่เอ็นดูเป็นที่สุด “นี่คืออวี้เฉินน้อยหรือ มีส่วนคล้ายเจ้าตอนเด็กๆ อยู่เจ็ดแปดส่วนทีเดียว”

องค์หญิงเจาหยางเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เสด็จป้า เจาหยางว่าซื่อจื่อน้อยคนนี้ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูกว่าซิวเหยาตอนเด็กอีกนะเพคะ”

องค์หญิงซีฝูยิ้มพลางพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ”

ม่อตัวน้อยก็ไม่ทำให้เสียบรรยากาศ เขาก้าวออกมาจากข้างกายของม่อซิวเหยาและเยี่ยหลี มาทำความเคารพทันที “อวี้เฉินคารวะเสด็จย่า คารวะเสด็จป้า”

“เด็กดี…เด็กดี…” องค์หญิงซีฝูเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หยิบกริชที่พกติดกายเล่มหนึ่งออกมายื่นให้ม่อตัวน้อย “ย่าไม่ได้เตรียมของขวัญแรกพบหน้ามาด้วย ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ ชิ้นนี้ เจ้าเก็บไว้เล่นเถิด”

นั่นเป็นกริชเล่มเล็กที่ประณีตงดงามอย่างยิ่ง บนด้ามกริชและปลอกกริชล้วนมีอัญมณีสารพัดสีฝังอยู่ เพียงแค่ดึงกริชออก ตัวกริชก็ส่องประกายเย็นเยียบออกมาทันที เห็นได้ชัดว่าเป็นกริชที่มีค่ามากทีเดียว

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย
Status: Ongoing
หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset