ม่อตัวน้อยหันกลับไปมองหน้าบิดามารดา
ม่อซิวเหยายิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ผู้ใหญ่ให้ ไม่กล้าปฏิเสธ รับไว้เถิด”
ตัวม่อตัวน้อยเองก็ชื่นชอบของเล็กๆ สิ่งนี้มาก เมื่อได้ยินที่เสด็จพ่อเอ่ยย่อมดีใจเป็นอย่างยิ่ง สองมือยื่นออกไปรับกริชพลางเอ่ยเสียงใสว่า “อวี้เฉินขอบพระทัยเสด็จย่า”
ใบหน้าน้อยๆ ที่น่ารักเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและเคารพนบนอบ ทำให้องค์หญิงซีฝูยินดีจนเอ่ยชมไม่หยุดปาก
องค์หญิงเจาหยางหยิบเครื่องประดับหยกออกมาส่งให้ม่อตัวน้อย ส่งยิ้มให้เขาพลางเอ่ยว่า “ป้าไม่มีกริชล้ำค่ามาให้เจ้าหรอกนะ เครื่องประดับชิ้นนี้พอดูเข้าทีอยู่บ้าง อวี้เฉินเก็บไว้เล่นเถิด”
ม่อตัวน้อยรับมาพร้อมกัน พลางเอ่ยขอบคุณองค์หญิงเจาหยาง
องค์หญิงซีฝูกับองค์หญิงเจาหยางมองซาลาเปาน้อยที่สูงเพียงต้นขาของม่อซิวเหยา รูปลักษณ์หล่อเหลายังไม่ต้องพูดถึง แต่ลักษณะท่าทางนั้นแค่เพียงมองดูก็รู้ว่าได้รับการอบรมสั่งสอนที่ไม่ธรรมดา ก็ให้นึกย้อนไปถึงบุตรของฮ่องเต้ที่ในวังเหล่านั้น จะว่าไปองค์ชายของฮ่องเต้ก็มีอยู่ไม่น้อย แต่เกรงว่า องค์ชายเหล่านั้นรวมกันยังสู้เด็กที่อายุสี่ห้าขวบของตำหนักติ้งอ๋องคนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ เมื่อหันมองชายาติ้งอ๋องที่อ่อนหวานสง่างามที่ยืนอยู่ข้างกายม่อซิวเหยา นางก็อดทอดถอนใจไม่ได้ สตรีเช่นนี้ถึงจะสามารถเลี้ยงดูบุตรชายที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ออกมาได้
“เสด็จป้า องค์หญิงเจาหยาง ยามนี้อากาศยังเย็นอยู่เล็กน้อย พวกเราเข้าไปนั่งด้านในกันเถิดเพคะ” เยี่ยหลียิ้มพร้อมเอ่ยเบาๆ พลางเชิญทั้งสองให้เข้าไปยังห้องโถงใหญ่
วันนี้เพิ่งย้ายกลับเข้ามา คนในตำหนักติ้งอ๋องจึงมีอยู่ไม่มากนัก องครักษ์ บ่าวไพร่สาวใช้รวมกันทั้งหมด ยังมีอยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยสิบคน ซึ่งยังไม่ถึงหนึ่งในสามของก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ ดังนั้นตำหนักติ้งอ๋องที่ใหญ่โตกว้างขวาง จึงดูเงียบสงบเป็นพิเศษ
เมื่อเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เจ้าบ้านและแขกนั่งลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว องค์หญิงซีฝูดึงตัวม่อตัวหน้ามาตรงหน้าด้วยความรักใคร่ พร้อมเอ่ยถามโดยละเอียด
ม่อตัวน้อยดูจะรู้สึกดีกับหญิงชราที่ดูใจดีน่าเข้าใจเช่นเดียวกับท่านตาอยู่ไม่น้อย จึงตอบคำถามทุกข้อด้วยความตั้งใจ
องค์หญิงเจาหยางที่ฟังอยู่ถึงกับเอ่ยกลั้วหัวเราะออกมาว่า “ที่แท้ซื่อจื่อน้อยก็ได้รับการชี้แนะจากท่านชิงอวิ๋นด้วยตนเองนี่เอง มิน่าอายุเพียงเท่านี้ ก็ดูมีท่ามีทางเข้าท่าเสียแล้ว ยามนี้ท่านชิงอวิ๋นสบายดีหรือไม่”
เยี่ยหลียิ้มเอ่ยว่า “ท่านตาถึงแม้จะอายุมากแล้ว แต่สุขภาพร่างกายยังแข็งแรงอยู่มาก ยังได้ออกมาสอนลูกศิษย์ที่สำนักศึกษาบ้างเป็นครั้งคราว เฉินเอ๋อร์ได้รับการเลี้ยงดูจากผู้ใหญ่ ถือว่าได้ประโยชน์มากจริงๆ”
องค์หญิงซีฝูยิ้มแย้มมองม่อตัวน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้นหันไปเอ่ยทอดถอนใจกับเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาว่า “ครานั้นฮ่องเต้ทำเรื่องที่ผิดพลาดมาก ท่านชิงอวิ๋นอยู่ที่ซีเป่ย พอจะคุ้นเคยดีหรือไม่”
เยี่ยหลีตอบว่า “ลำบากเสด็จป้าทรงเป็นห่วงแล้ว ท่านตาสมัยยังหนุ่มก็เคยออกเดินทางไปทั่วใต้หล้า ซีเป่ยถึงแม้จะหนาวเย็นกว่าที่อวิ๋นโจวไปบ้าง แต่ก็ยังพอทนได้ หลายปีนี้จิตใจท่านตาผ่อนคลายลงมาก ดูจากสภาพจิตใจ ถือว่าดีกว่าเมื่อก่อนมากนัก”
องค์หญิงซีฝูกับองค์หญิงเจาหยางหันมาสบตากัน ต่างพากันนิ่งเงียบไป ความหมายของเยี่ยหลี พวกนางย่อมเข้าใจดี จุดประสงค์ที่พวกนางมาที่นี่ เชื่อว่าม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีก็คงรู้ดีแก่ใจ แต่ด้วยเพราะฐานะของพวกนาง มีหลายเรื่องที่บางคราถึงแม้จะไม่ยินดีทำ แต่กลับไม่ทำไม่ได้
ม่อซิวเหยายกถ้วยชาขึ้น มองน้ำชาในถ้วยด้วยสีหน้าเรียบเฉยโดยมิได้เอ่ยอันใด
เยี่ยหลีอมยิ้มที่มุมปาก แต่ก็มิได้คิดจะเอ่ยปากเช่นกัน แล้วบรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ก็หนักอึ้งและประดักประเดิดขึ้นมาเล็กน้อยทันที
เป็นนานกว่าองค์หญิงซีฝูจะระบายลมหายใจยาวออกมา มองม่อซิวเหยาพลางเอ่ยว่า “ซิวเหยา…ราชโองการที่ฮ่องเต้ทรงออกมา เจ้ามีความเห็นเช่นไร”
ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้น ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “เสด็จป้าเป็นผู้อาวุโส และเห็นแก่ที่เสด็จป้าเคยดูแลซิวเหยามา ก็ไม่ควรพูดปดกับท่าน คำพูดเหล่านี้ซิวเหยาก็ได้เคยพูดกับฮ่องเต้ไปแล้ว ตำหนักติ้งอ๋อง…ได้ตัดขาดกับต้าฉู่มานานแล้ว ราชโองการของฮ่องเต้ สำหรับตำหนักติ้งอ๋องแล้วมิได้มีความหมายอันใดทั้งสิ้น”
องค์หญิงซีฝูหลับตาลง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยดูจะอ่อนหล้าจะเหน็ดเหนื่อยขึ้นหลายส่วน “ย้อนกลับไปไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ ถึงอย่างไรตำหนักติ้งอ๋องกับราชวงศ์… ถึงอย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกันนะ”
รอยยิ้มม่อซิวเหยาเย็นเยียบ “ความแค้นที่สังหารบิดาและพี่ชาย ความโกรธที่กองทัพตระกูลม่อนับหมื่นต้องมาสละดวงวิญญาณไปเฉยๆ ทั้งยังมีเรื่องที่ตำหนักติ้งอ๋องปกครองซีเป่ยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้ใดเลยจะลืมได้ ราชวงศ์ต้าฉู่ลืมไม่ได้ ตำหนักติ้งอ๋อง กองทัพตระกูลม่อและตัวข้า…ก็ไม่อาจลืมได้!”
“เอาเถิด…ข้ารู้ว่าคงเกลี้ยกล่อมเจ้าไม่สำเร็จ” องค์หญิงซีฝูก็ไม่ฝืน ทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยความจนใจ
นางมองดูม่อซิวเหยาเติบใหญ่และต้องประสบกับเรื่องราวมากมายมาเช่นนั้นมา ม่อซิวเหยาในยามนี้ดูสงบนิ่งประหนึ่งท้องทะเล ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา แต่ภายใต้ผืนน้ำทะเลนั้น มีความเย็นเยียบและกระแสคลื่นที่รุนแรงไม่ต่างกับความเร่าร้อนประหนึ่งไฟเมื่อยามเป็นเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย มีหลายเรื่องที่เมื่อเขาได้ตัดสินใจเลือกเส้นทางใดแล้ว ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะยากเย็นเพียงใด เขาก็จะไม่มีวันหันหลังกลับ
แต่สถานการณ์ของต้าฉู่ในยามนี้…หากเสียการประคับประคองจากตำหนักติ้งอ๋องไป จะต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์เช่นไร องค์หญิงซีฝูไม่รู้ แค่เพียงดูจากการแก่งแย่งชิงดีทางการเมืองกันอย่างดุดันจนหน้าดำหน้าแดงไปหมดของเหล่าขุนนางและชนชั้นสูงผู้มีอิทธิพลแล้ว องค์หญิงซีฝูที่ในวัยสาวได้ชื่อว่าข้อมือเหล็กจนปัจจุบันมีผมสีดอกเลาไปทั้งศีรษะแล้วนั้น ก็รู้สึกหมดแรงขึ้นมาจับใจ พวกนางล้วนแก่ชรากันหมดแล้ว…องค์ปฐมฮ่องเต้เป็นอัจฉริยะบุคคลมากความสามารถของใต้หล้า แต่ต้าฉู่ในยามนี้กลับถึงขั้น…ไร้ผู้สืบทอด!
องค์หญิงซีฝูยอมแพ้ที่จะเอ่ยเกลี้ยกล่อมเขาแล้ว องค์หญิงเจาหยางย่อมไม่พูดอันใดให้มากกว่าอีก นางมิได้มีกลยุทธ์การวางหมากเช่นเดียวกับองค์หญิงซีฝู แต่ความสุขชั่วชีวิตของนางได้สละให้กับต้าฉู่ไปหมดแล้ว บุตรสาวสายหลัก ถูกสั่งให้แต่งงานและได้เลื่อนขึ้นเป็นองค์หญิง ด้วยฐานะที่เป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ นางไม่มีสิทธิปฏิเสธ ดังนั้น ยามเสด็จพี่จำเป็นต้องแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์กับหนานจ้าว นางจึงจำเป็นต้องแต่งงานไปกับองค์ชายของหนานจ้าวโดยมิอาจตัดพ้อต่อว่าอันใดได้ เมื่อต้าฉู่ไม่จำเป็นต้องมีหนานจ้าวเป็นหมากแล้ว นางก็ทำได้เพียงต้องครองตนเป็นหม้ายไปตลอดชีวิตโดยมิอาจตัดพ้อต่อว่าอันใดได้เช่นกัน
มาวันนี้ หากต้าฉู่จะต้องเสียหายด้วยเพราะลูกหลานของนางไร้ความสามารถ สิ่งที่นางทำได้ก็มีเพียงการร่วมฝังศพไปกับเขาเท่านั้น
องค์หญิงซีฝูเข้าใจม่อซิวเหยา องค์หญิงเจาหยางเองก็เข้าใจเขาเช่นกัน ดังนั้นที่นางมาเป็นเพื่อนองค์หญิงซีฝูในวันนี้ แค่เพียงเพราะต้องการพบหน้าม่อซิวเหยากับซื่อจื่อน้อยที่ยังไม่เคยได้พบหน้าเลยเท่านั้น
เมื่อได้แสดงจุดยืนของตนกันออกมาแล้ว บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ก็ดูจะเป็นกันเองขึ้นมากทันที
อันที่จริงองค์หญิงซีฝูก็คงเพียงทำตามที่รับปากม่อจิ่งฉีที่ฝากฝังไว้ ให้มาเกลี้ยกล่อมเขาเท่านั้น ส่วนผลจะเป็นเช่นไร ในใจองค์หญิงซีฝูก็พอจะรู้อยู่บ้าง ด้วยเพราะเหตุนี้ จึงมิได้เกลี้ยกล่อมอันใดมากนัก แค่เพียงเอ่ยถามความตั้งใจของม่อซิวเหยาให้ชัดเจนก็เท่านั้น เมื่อถอยมาก้าวหนึ่ง จึงยังเหลือความผูกพันที่ในวันวานอยู่บ้าง
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ไว้รอให้ฝ่าบาท…ซิวเหยาก็รีบกลับซีเป่ยไปเสียเถิด เมืองหลวงแห่งนี้…เกรงว่าคงไม่มีวันคืนที่สงบอีกแล้ว” องค์หญิงซีฝูเอ่ยพลางถอนใจ
“เสด็จย่า ท่านกับเสด็จป้าเจาหยางกลับซีเป่ยกับพวกเราดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ม่อตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงซีฝู พร้อมเอ่ยถามเสียงใส
องค์หญิงซีฝูอึ้งไป มองม่อตัวน้อยด้วยสายตาเอื้อเอ็นดูพลางส่ายหน้า “ย่าไปซีเป่ยกับพวกเจ้าไม่ได้”
“เพราะเหตุใด” ม่อตัวน้อยเอียงคอพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ในความคิดของม่อตัวน้อย ที่เมืองหลีมีท่านตาทวด ท่านตา ท่านลุง และยังมีคนดีๆ อยู่อีกมาก น่าสนุกกว่าที่เมืองหลวงเป็นไหนๆ ที่เมืองหลีเขาสามารถวิ่งเล่นไปไหนมาไหนได้ แต่ที่เมืองหลวง แม้แต่เขาจะนำคนออกไปเล่นกับเหลิ่งเอ๋อน้อยก็ยังไม่ได้ ท่านอาเหลิ่งเอ้อร์บอกว่า ในเมืองหลวงมีคนไม่ดีอยู่มากเกินไป ดังนั้นเด็กเล็กๆ จึงออกไปเที่ยวเล่นไม่ได้
องค์หญิงซีฝูเอ่ยเสียงเบาว่า “เพราะบ้านของย่าอยู่ที่นี่น่ะสิ”
“อ้อ” ม่อตัวน้อยดูเหมือนจะเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง บ้านของเขากับท่านพ่อท่านแม่อยู่ที่เมืองหลี หากให้เขาอยู่ที่เมืองหลวงไปตลอดเขาก็คงไม่ยอมรับปาก ดังนั้นเสด็จย่าคงยังไม่อยากจากบ้านไปไกลๆ เช่นกันกระมัง
ม่อซิวเหยาวางถ้วยชาในมือลง เอ่ยกับองค์หญิงซีฝูว่า “เสด็จป้า หากม่อจิ่งฉีมีเวลามาเสียกับตัวข้านี่ สู้ให้เขาไปคิดเรื่องในอนาคตให้ดีจะดีกว่า การสนับสนุนฮ่องเต้ที่ยังทรงพระเยาว์ มิใช่ว่าตำหนักติ้งอ๋องจะทำไม่ได้ แต่เพียงจะไม่ทำอีกแล้ว”
เดิมทีเรื่องราวเลวร้ายของตำหนักติ้งอ๋องมีต้นเหตุมาจากเรื่องใด มิใช่เพราะเสด็จพ่อคอยประคับประคองสนับสนุนอดีตฮ่องเต้หรอกหรือ
ตำหนักติ้งอ๋องมีความดีความชอบอย่างมาก ยิ่งบวกกับการสนับสนุนฮ่องเต้จนได้แต่งตั้งขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการ ก็ทำให้ความหวาดระแวงที่ราชวงศ์มีต่อตำหนักติ้งอ๋องสูงจนถึงขีดสุด ในอดีตมา ขุนนางผู้มีอำนาจ มีสักกี่คนที่มีจุดจบที่สวยงาม ตำหนักติ้งอ๋องเดินมาถึงจุดนี้ก็ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะไม่กลับไปเดินทางเก่าอีกแล้ว
องค์หญิงซีฝูได้แต่ยิ้มขื่นๆ ด้วยความจนใจ มิใช่ว่ายามนี้ม่อจิ่งฉียังไม่รู้ว่าสิ่งใดสำคัญหรือไม่สำคัญ เพียงแต่…เขาไม่มีทางอื่นให้เลือก ในวังหลังนอกจากบุตรชายสองคนของหลิ่วกุ้ยเฟย ก็ไม่มีองค์ชายที่พอเข้าเค้าอีก หากให้รัชทายาทขึ้นครองราชย์จริงๆ ตระกูลหลิ่วได้อำนาจมาครอง องค์หญิงซีฝูไม่ต้องคาดเดา ก็พอนึกภาพออกว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร
สถานการณ์ทุกวันนี้ ทำให้องค์หญิงซีฝูมีใจคิดอยากช่วยแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง นางหันมองม่อตัวน้อยที่นั่งซบอยู่ข้างกายตนด้วยความเสียดาย หากมีองค์ชายสักคนที่ฉลาดเฉลียวได้สักเจ็ดส่วนของติ้งอ๋องซื่อจื่อ คนชราอย่างพวกนางต่อให้ต้องสู้จนตัวตายก็จะต้องปกป้องเลี้ยงดูองค์ชายน้อยผู้นั้นให้กลายเป็นคนที่มีความสามารถให้จงได้
น่าเสียดาย…