ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 275-2 แสงสุดท้ายของอาทิตย์อัสดง

“เจ้ามาได้เสียที” ในที่สุดม่อจิ่งฉีก็เอ่ยปากขึ้น

หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “ฝ่าบาทไม่อยากให้หม่อมฉันมาหรือเพคะ”

ม่อจิ่งฉียิ้มขื่น เอ่ยว่า “ข้า…ไม่อยากให้เจ้ามา…มาเร็วเช่นนี้จริงๆ เรื่องตวนอวิ๋นเป็นเจ้าที่ส่งคนไปทำร้ายเขา?”

หลิ่วกุ้ยเฟยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เชิดคางขึ้นกดสายตาลงมองม่อจิ่งฉี พลางเอ่ยเรียบๆ ว่า “เรื่องนี้ไม่ควรโทษหม่อมฉัน”

“เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้” ม่อจิ่งฉีเอ่ยถาม “เดิมทีข้ายังคิดว่าเจ้าไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น ยามนี้ดูท่า…ข้าจะดูเจ้าผิดไป”

หลิ่วกุ้ยเฟยผินหน้าไปมองม่อจิ่งฉี แล้วค่อยๆ เผยรอยยิ้มเยาะหยัน “เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้ หม่อมฉันต่างหากที่อยากถามฝ่าบาท ในเมื่อฝ่าบาททรงแต่งตั้งบุตรชายของหม่อมฉันขึ้นเป็นรัชทายาทแล้ว เหตุใดถึงยังคิดยกบัลลังก์ให้องค์ชายหกอีก ที่ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ คิดจะทำให้หม่อมฉันกับรัชทายาทตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร”

นัยน์ตาของม่อจิ่งฉีฉายแววโศกเศร้าและเยือกเย็น “ดูท่า เป็นข้าเองที่หลายปีมานี้โปรดปรานเจ้ามากเกินไป เจ้าถึงได้ลืมประโยคหนึ่งไป”

“ประโยคอันใด” หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว

“ฟ้าจะผ่า ฝนจะตกล้วนเป็นพระกรุณา” ม่อจิ่งฉีเอ่ย “ตำแหน่งฮ่องเต้เป็นของข้า ข้ายินดียกให้ผู้ใด ก็จะยกให้ผู้นั้น ข้ายินดีแต่งตั้งผู้ใดเป็นรัชทายาท ก็จะแต่งตั้งผู้นั้นเป็นรัชทายาท สิ่งที่ข้าอยากจะให้ พวกเจ้ามิอาจปฏิเสธ สิ่งที่ข้าไม่อยากให้ พวกเจ้าจะนึกอยากได้ไม่ได้!”

หลิ่วกุ้ยเฟยอึ้งไป บนใบหน้าที่เรียบเฉยฉายแววไม่พอใจ คนที่ถือดีเช่นนาง นอกจากเวลาอยู่ต่อหน้าม่อซิวเหยาแล้ว นางก็เคยชินที่กับการอยู่สูงกว่าผู้อื่น รวมถึงม่อจิ่งฉีที่เป็นประมุขแห่งแคว้นด้วย “ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ หมายความเช่นไร”

ม่อจิ่งฉียิ้มเย็น “หมายความเช่นไร…ความหมายก็คือ…ต่อให้เจ้าสังหารองค์ชายหก ข้าก็จะยกบัลลังก์ให้ผู้อื่นอยู่ดี ต่อให้เจ้าฆ่าองค์ชายทั้งหมดไป ข้าก็จะยกบัลลังก์ให้เชื้อพระวงศ์คนอื่นอยู่ดี ส่วนรัชทายาทของเจ้า…เจ้าไม่ต้องคิดถึงแล้ว”

“เหตุใดฝ่าบาทถึงต้องทรงทำเช่นนี้” หลิ่วกุ้ยเฟยจ้องม่อจิ่งฉีเขม็ง บนใบหน้างามมีแต่ความไม่เข้าใจ ประหนึ่งม่อจิ่งฉีได้กระทำเรื่องที่มิอาจเข้าใจได้กระนั้น

ม่อจิ่งฉีหัวเราะฮ่าๆ ออกมา เพียงแต่ความเจ็บปวดประหนึ่งมีอันใดฉีกขาดบริเวณหน้าอก ทำให้เสียงหัวเราะของเขาแตกพร่า “เพราะเหตุใด อีกเดี๋ยว…อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้เอง ตลอดหลายปีมานี้ข้าดีต่อเจ้าไม่น้อย น่าเสียดาย เจ้าตอบแทนข้าเช่นไร เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าความอดทนที่ข้ามีต่อเจ้านั้นไม่มีขีดจำกัด หึหึ…เจ้าคิดอยากให้รัชทายาทขึ้นนั่งบัลลังก์ เจ้าทำเพื่อรัชทายาทจริงๆ อย่างนั้นหรือ เจ้าอยากให้ม่อซิวเหยา…เจ้าฝันไปเถิด! ต่อให้ข้าตาย…เจ้าก็ต้องไปกับข้าด้วย!”

“นี่ฝ่าบาทหมายความเช่นไร!” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยด้วยความตกใจระคนโกรธเกรี้ยว

อันที่จริงนางย่อมรู้ดีว่าม่อจิ่งฉีหมายความเช่นไร ต้าฉู่ถึงแม้จะไม่นิยมการฝังไปพร้อมกัน แต่ก็มีฮ่องเต้อยู่หนึ่งหรือสองพระองค์ที่ก่อนจะสิ้นพระชนย์ได้มีราชโองการให้นำสนมสาวที่โปรดปรานที่สุดร่วมฝังไปด้วยเป็นตัวอย่างมาก่อน นางแค่เพียงไม่อาจเชื่อว่า ม่อจิ่งฉีจะมีความคิดเช่นนี้

แน่นอนว่า เหตุผลนั้นเพราะ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยินดียอมรับโชคชะตาเช่นนี้ นางยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ทำ นางยังอยากได้รับความรักจากม่อซิวเหยา ยังอยากเป็นชายาติ้งอ๋อง นางจะยอมร่วมฝังไปพร้อมกับม่อจิ่งฉีได้อย่างไร

ม่อจิ่งฉีหัวเราะหึๆ หลับตาลงแล้วไม่พูดอันใดอีก

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงยิ่งเป็นการยืนยันการคาดเดาของหลิ่วกุ้ยเฟย

หลิ่วกุ้ยเฟยหน้าขาวซีด ความคิดต่างๆ แล่นอยู่ในหัวสมอง ครู่ใหญ่ จู่ๆ นางก็หมุนตัวเดินออกไปจากตำหนักด้วยความรีบร้อน แต่กลับพบกับคณะของฮองเฮาที่ได้รับข่าวก็รีบมาทันที

ฮองเฮาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หลิ่วกุ้ยเฟย นี่เจ้ากำลังทำอันใด”

หลิ่วกุ้ยเฟยไม่มีเวลามาพูดคุยกับฮองเฮา เพียงแค่เหลือบมองนางโดยมิได้พูดอันใด ก็เดินออกจากตำหนักไปทันที

ฮองเฮาขมวดคิ้ว คร้านจะถือสา เพียงเดินนำเข้าไปในตำหนักบรรทมเท่านั้น

ข่าวที่ฮ่องเต้ใกล้จะสวรรคตย่อมแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เชื้อพระวงศ์ องค์ชาย องค์หญิงที่มีศักดิ์สูงในวัง ก็พากันมาถึงตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ ตำหนักที่เคยเปล่าเปลี่ยว ยามนี้กลับมีคนคุกเข่ากันอยู่เต็มไปหมด แม้แต่คนเก่าแก่อย่างองค์หญิงซีฝู และฮว่ากั๋วกง รวมถึงม่อซิวเหยา เยี่ยหลี ที่ยามนี้มีฐานะค่อนข้าพิเศษอย่างประหลาดก็ยังได้รับเชิญให้มาอยู่ที่นี่ด้วย เพียงแต่เขามิได้คุกเข่าอยู่กับพื้นเช่นเดียวกับองค์ชายและท่านอ๋องคนอื่นๆ ม่อซิวเหยาที่ผมขาวในชุดขาว จับจูงเยี่ยหลีกับองค์หญิงซีฝูให้ไปยืนสบายๆ อยู่ด้วยกัน แน่นอนว่าสีหน้าเขามิได้ดูเศร้าสร้อยเหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่รู้ว่าจริงหรือปั้นแต่งขึ้นมาเหล่านั้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่ต้องต่อสู้มาโดยตลอด เมื่อถึงยามใกล้จะตายขึ้นมาจริงๆ กลับดูสงบลงมาก

ม่อจิ่งฉีลืมตาโพลงอยู่ท่ามกลางเสียงร้องไห้ที่ดังระงม แค่เพียงปรายตามองก็เห็นม่อซิวเหยาที่สะดุดตาที่สุด เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าอย่างไรสุดท้ายแล้วเจ้าก็ต้องมาส่งข้า”

ม่อซิวเหยาเพียงเลิกคิ้ว มิได้เอ่ยอันใด

ไทเฮาที่นั่งอยู่ตรงหัวเตียงร้องเรียกออกมาด้วยความเศร้าโสก เขยิบเข้าไปจับมือม่อจิ่งฉีไว้ ร้องไห้พลางเอ่ยว่า “ฮ่องเต้ เจ้ามีอันใดอยากพูดกับแม่หรือไม่”

ม่อจิ่งฉีส่งยิ้มประหลาดให้กับไทเฮา สายตาเคลื่อนผ่านไทเฮาไปยังม่อจิ่งหลี ฮองเฮาและคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่

หลิ่วกุ้ยเฟยเมื่อหนีหายไปแล้ว ก็ไม่เห็นเงาของนางอีก ยามนี้ม่อจิ่งฉีมิได้สนใจว่านางจะไปอยู่ที่ใด สุดท้ายสายตาของเขากวาดผ่านเสนาบดีหลิ่วไปยังองค์ชายและองค์หญิงที่คุกเข่าอยู่กับพื้น

“ฉางเล่อ…”

ในบรรดาองค์ชายและองค์หญิง ย่อมไม่มีองค์หญิงฉางเล่ออยู่ที่นั่น ตั้งแต่เล็กจนโต ม่อจิ่งฉีรักใคร่เอ็นดูบุตรสาวผู้นี้เป็นที่สุด มิใช่เพียงเพราะนางเป็นบุตรสายสายหลักของในวัง แต่ด้วยเพราะนางฉลาดเฉลียว จิตใจดีและเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ถึงแม้ม่อจิ่งฉีจะโปรดปรานหลิ่วกุ้ยเฟย แต่บุตรสาวที่กำเนิดจากหลิ่วกุ้ยเฟยอย่างองค์หญิงเจินหนิง กลับมาเป็นอันดับสองรองจากองค์หญิงฉางเล่อ แต่ก็เช่นกัน เขารู้สึกเกลียดบุตรสาวผู้นี้เป็นที่สุด ด้วยเพราะนางเป็นบุตรสาวสายหลักที่เกิดจากฮองเฮา นางเป็นลูกหลานตระกูลฮว่าที่เขาต้องคอยระวัง ดังนั้นเขาจึงมิอาจให้นางอยู่ในเมืองหลวงได้

เมื่อได้ยินม่อจิ่งฉีเอ่ยชื่อบุตรสาวของตน ฮองเฮาก็ถึงกับเบือนหน้าหนีด้วยความเสียใจ เส้นเลือดบนใบหน้าที่แก่ชราของฮว่ากั๋วกงก็ถึงกับกระตุกขึ้นสองที แต่ในที่สุดก็มิได้พูดอันใดออกมา

ม่อตัวน้อยยืนอยู่ข้างกายบิดามารดา ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจในสถานการณ์ตรงหน้าว่าคือสิ่งใด แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกเสียใจและความตึงเครียดที่อบอวลอยู่รอบตัว เขาเงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยากับเยี่ยหลี แต่มิได้เอ่ยปากบอกว่าองค์หญิงฉางเล่อที่อยู่ที่เมืองหลีเป็นอย่างไรบ้าง

สุดท้ายเป็นไทเฮาที่ระบายลมหายใจออกมา ตบลงบนมือม่อจิ่งฉีเบาๆ “ฮ่องเต้ลืมไปแล้วหรือ เจ้าเด็กฉางเล่อนั่นชะตาไม่ดี หายตัวไปที่หนานจ้าวเสียแล้ว”

ม่อจิ่งฉีหลับตาลง ทำประหนึ่งไม่ได้ยินที่ไทเฮาเอ่ย

ทุกคนที่อยู่ที่นั่น นอกจากสามคนพ่อแม่ลูกจากตำหนักติ้งอ๋องที่เรื่องไม่เกี่ยวกับตน กับองค์ชายองค์หญิงที่อายุยังน้อยยังไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้ว คนอื่นๆ ต่างพากันมองไปยังบุรุษที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนตั่งมังกรด้วยความเป็นกังวล ถึงแม้เขาจะไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจยกมือขึ้นได้แล้ว แต่เขาก็ยังสามารถกำหนดชะตาของคนโดยมากที่อยู่ที่นี่ได้อยู่ดี

“ฮองเฮา…” นิ่งอยู่เป็นนาน ในที่สุดม่อจิ่งฉีก็เอ่ยเรียกขึ้นมา

ฮองเฮาเมื่อได้ยินเช่นนั้น ถึงได้ก้าวเข้าไปเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาทมีอันใดจะรับสั่งหรือเพคะ”

ม่อจิ่งฉีไม่มีแรงที่จะเอ่ยเสียงดังออกมาอีกแล้ว เขาเหลือบตาขึ้นมองไทเฮาทีหนึ่ง

ไทเฮาสละที่นั่งตรงหัวเตียงให้ฮองเฮาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย หลบไปยืนมุมหนึ่งด้วยความอับอาย

ฮองเฮานั่งลงข้างเตียง เอ่ยถามม่อจิ่งฉีด้วยสีหน้าสงบว่า “ฝ่าบาทมีอันใดจะรับสั่งกับหม่อมฉันหรือเพคะ”

ม่อจิ่งฉียกมือขึ้นด้วยความยากลำบาก ยื่นไปหยิบกระดาษผ้าสีเหลืองอร่ามแผ่นหนึ่งออกมาจากใต้หมอน ก่อนจะนำไปวางลงบนมือฮองเฮาด้วยความทุลักทุเล เอ่ยว่า “ราช…ราชโองการ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคน ณ ที่นั้นก็ตาแข็งกันขึ้นมาทันที จ้องเขม็งไปยังกระดาษผ้าสีเหลืองอร่ามที่อยู่ในมือฮองเฮา ไม่มีผู้ใดรู้ว่าม่อจิ่งฉีเขียนราชโองการนี้ขึ้นมาเมื่อใด และวางราชโองการไว้ที่ใต้หมอนตั้งแต่เมื่อใด

“องค์หญิงซีฝู…ฮว่ากั๋วกง…ติ้งอ๋อง…เป็นพยาน ฮองเฮา…อ่านราชโองการ…” ม่อจิ่งฉีเอ่ยขึ้นอย่างติดๆ ขัดๆ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ม่อซิวเหยาก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ดี ข้ารับประกันว่าฮองเฮาจะได้อ่านราชโองการนี้จบอย่างราบรื่น”

องค์หญิงซีฝูก็พยักหน้า “ฝ่าบาทได้โปรดวางพระทัยเถิด”

“กระหม่อมรับพระบัญชา”

ม่อจิ่งฉีระบายลมหายใจออกมาประหนึ่งได้ทำเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งสำเร็จลงแล้ว สีหน้าเขายิ่งดูย่ำแย่ลงไปอีก เอ่ยกับทุกคนเรียบๆ ว่า “พวกเจ้าไปเถิด…ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ…”

ทุกคนต่างหันมองซ้ายทีขวาทีด้วยความลำบากใจ ด้วยไม่รู้ว่าควรถอยออกไปในยามนี้หรือไม่

ม่อจิ่งหลีจ้องเขม็งไปที่ม่อจิ่งฉีด้วยสีหน้าบึ้งตึง ในที่สุดก็ก้าวออกมาเอ่ยว่า “ลูกอยู่ที่ไหน”

ม่อจิ่งฉีอมยิ้มมองเขา ก่อนจะหัวเราะหึหึออกมา

ม่อจิ่งหลีเอ่ยเสียงเข้มขึ้นว่า “ข้าถามเจ้าว่าลูกอยู่ที่ไหน!”

ม่อจิ่งฉีเพียงยิ้มแต่ไม่พูด แล้วเลือดสดๆ ก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากปากเขาไม่หยุด

“ม่อจิ่งฉี…” ม่อจิ่งหลีอดรนทนไม่ไหว ก้าวเข้าไปกระชากสาบเสื้อเขาขึ้นมา

ไทเฮารีบเข้าไปจับเขาไว้ “หลีเอ๋อร์ นี่เจ้าทำอันใด”

ยามนี้ฮ่องเต้ดูจะเหลือลมหายใจอยู่เพียงน้อยนิดแล้ว หากปล่อยให้ม่อจิ่งหลีกระชากเขาเช่นนี้ คงได้หมดลมหายใจกันพอดี และเกรงว่าไม่ว่าเหตุผลการสิ้นพระชนย์ของฮ่องเต้จะคืออันใด แต่ม่อจิ่งหลีก็คงหนีโทษทัณฑ์จากการสังหารประมุขไปไม่ได้

ม่อจิ่งหลีก็รู้ว่าตนกระทำการโดยบุ่มบ่ามจนเกินไป แต่บุตรชายเพียงคนเดียวของเขาไปอยู่ที่ใด ตลอดช่วงที่ผ่านมา เขาลงทุนลงแรงไปจนหมด แต่ก็ไม่พบร่องรอยของเขาเลยแม้แต่น้อย หากม่อจิ่งฉีตายไปแล้วจริงๆ เกรงว่าเงื่อนงำเดียวที่มีอยู่ก็คงได้ขาดไปเช่นกัน

“หลีอ๋องมองไม่ออกหรือ ก็เห็นอยู่ว่าฮ่องเต้พูดอันใดไม่ออกแล้ว” ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะ

ถึงแม้การที่ประมุขแห่งแคว้นคนหนึ่งจะสวรรคตแล้วยังคงยิ้มแย้มอยู่จะเป็นเรื่องที่เสียมารยาทไปบ้าง แต่ด้วยฐานะของม่อซิวเหยา กลับไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าเขาเสียมารยาท

ม่อจิ่งฉีนอนนิ่งอยู่บนเตียง เลือดที่ไหลออกจากปากเปรอะเปื้อนไปทั่วเสื้อผ้าและเตียงนอนจนกลายเป็นสีแดงเข้มไปหมด แต่สายตาของเขายังคงจ้องเขม็งไปยังใบหน้าของม่อจิ่งหลีพร้อมรอยยิ้มประหลาด ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อได้เห็นรอยยิ้มเช่นนั้น ม่อจิ่งหลีรับรู้เพียงความเย็นวาบที่เกิดขึ้นในใจ

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย
Status: Ongoing
หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset