ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 276-2 สวรรคต การตอบแทนของม่อจิ่งฉี

ตามความคิดเมื่อหลายปีก่อนของม่อซิวเหยา เขาไม่มีทางปล่อยให้ม่อจิ่งฉีตายไปง่ายๆ เช่นนี้แน่นอน เขาจะต้องให้ม่อจิ่งฉีมีชีวิตอยู่ คอยดูสิ่งของที่เขาให้ความสำคัญค่อยๆ หายไปทีละอย่าง คอยดูแผ่นดินของเขาแตกแยกออกเป็นส่วนๆ หรือแม้กระทั่งคอยดูความล่มจมของต้าฉู่ เขามีวิธีการอีกเป็นพันวิธีที่จะเอาชีวิตม่อจิ่งฉี หลังจากที่เขาได้รู้ความจริงเรื่องการตายของเสด็จพี่และพี่ชายของเขาแล้ว แม้แต่ครานี้ ในใจเขายังคิดที่จะช่วยชีวิตม่อจิ่งฉีกลับมาเพื่อทรมานเขาต่อ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ละทิ้งความคิดนั้นไป

เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ เงยหน้าขึ้นเอ่ยถามม่อซิวเหยาว่า “ท่านคิดว่าม่อจิ่งฉียังตายได้ไม่น่าเวทนาพอหรือ”

ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงใช้ความคิด ก่อนม่อจิ่งฉีจะตาย เกรงว่านอกจากยังไม่ทันได้เห็นแคว้นล่มจมแล้ว สิ่งที่เขาควรสูญเสียก็ได้สูญเสียไปจนสิ้น ถึงแม้จะเป็นต้าฉู่ ที่จัดการให้องค์ชายสิบขึ้นสืบทอดบัลลังก์ ก็เกรงว่าตัวเขาเองคงมิได้มีความหวังอันใดมากนัก ดังนั้นแม้ในยามตายถึงได้ตายตาไม่หลับกระมัง

หากมองจากมุมนี้ ม่อจิ่งฉีก็ตายได้อย่างอนาถมากแล้วจริงๆ บางที…การสูญเสียในครั้งนี้อาจด้วยเพราะสภาพอันน่าเวทนาของม่อจิ่งฉีในยามนั้น เขามิได้เป็นคนลงมือด้วยตนเอง แค่เพียงเติมเชื้อไฟให้เท่านั้น

“พวกเราโกรธศัตรูคู่แค้นที่ควรโกรธ ให้พวกเขาได้รับบทลงโทษที่พวกเขาสมควรได้รับ แต่ข้าไม่อยากให้ท่านเก็บความโกรธแค้นนี้เอาไว้ในใจ คนเมื่อตายก็เท่ากับหนี้สูญ การโกรธแค้นคนที่ตายไปแล้วหาได้มีความหมายอันใดไม่ หากท่านยังรู้สึกไม่พอใจ ข้าจะเข้าไปฉีกศพของม่อจิ่งฉีเป็นเพื่อนท่านเอง ฉีกร่างเขาออกเป็นสักแปดส่วนดีหรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบา

ม่อซิวเหยาระบายยิ้ม กอดเยี่ยหลีแน่นพลางเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว ต่อไปจะไม่คิดเรื่องนี้อีก ถึงแม้จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้ลงมือล้างแค้นให้เสด็จพ่อกับพี่ชายด้วยตนเอง แต่ว่า…คนเช่นม่อจิ่งฉีนั้น ไม่คู่ควรที่จะทำให้มือข้าต้องแปดเปื้อน มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่าอย่างไรนะ…ภัยที่มาจากสวรรค์ยังพอหลบหนีได้ แต่กรรมที่ตนก่อไม่อาจหนี”

เยี่ยหลียิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ท่านเข้าใจก็ดีแล้ว”

ช่วงเวลาหลายวันต่อจากนั้น ทั่วทั้งเมืองหลวงย่อมคึกคักผิดธรรมดา โลงศพของม่อจิ่งฉียังอยู่ในวัง มิได้นำออกไปฝัง เชื้อพระวงศ์กับบรรดาขุนนางต่างก็ทะเลาะเบาะแว้งกันจนวุ่นวายไปหมด ส่วนประเด็นที่ขัดแย้งกันก็หาใช่ใดอื่น มีอยู่เพียงสองเรื่องเท่านั้น หนึ่งคือ เรื่องการสืบทอดบัลลังก์ขององค์ชายสิบ สองคือ เรื่องการนำไทเฮากับหลิ่วกุ้ยเฟยไปร่วมฝังศพด้วย

ไทเฮาเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของหลีอ๋อง หลิ่วกุ้ยเฟยเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของรัชทายาท การลงมือก่อนตายของม่อจิ่งฉีในครานี้ ถือได้ว่าโจมตีเข้าไปที่จุดตายของทั้งตำหนักหลีอ๋องและตระกูลหลิ่ว เพียงแต่หากเทียบกับตระกูลหลิ่วแล้ว สถานการณ์ทางฝั่งตำหนักหลีอ๋องดูจะดีกว่ามากนัก

ด้วยเพราะตัวม่อจิ่งหลีเองเป็นถึงท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการอยู่แล้ว ถึงแม้เขาจะมิใช่ฮ่องเต้ แต่ก่อนที่ฮ่องเต้น้อยจะออกว่าราชการด้วยตนเองได้ อย่างไรก็ยังต้องฟังเขา เขายังมีเวลาที่จะคิดวางแผนต่อไป ส่วนตระกูลหลิ่วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่า ตระกูลหลิ่วมิได้มีคนในวังที่คอยสนับสนุนหรือพึ่งพิงได้อีกต่อไปแล้ว ถึงเวลาม่อจิ่งหลีย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสดีๆ ที่จะจัดการกับตระกูลหลิ่วไปอย่างแน่นอน

ถึงแม้ไทเฮาจะต้องถูกพาตัวไปร่วมฝังด้วยเช่นเดียวกับหลิ่วกุ้ยเฟย แต่ผลกระทบที่มีต่อม่อจิ่งหลี อย่างไรก็ห่างไกลจากตระกูลหลิ่วมากนัก ด้วยเพราะม่อจิ่งหลีเป็นท่านอ๋องที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในตนเอง มีหรือไม่มีไทเฮาคอยสนับสนุน สำหรับเขาแล้ว เอาเข้าจิรงก็มิได้มีความสำคัญอันใดนัก

ยามนี้ในวังจางเต๋ออบอวลไปด้วยความเศร้าโศก ในตำหนักมีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีนางกำนัลกับขันทีคณะใหญ่คอยอยู่รับใช้เช่นในวันวานอีกแล้ว

ไทเฮานั่งอยู่บนตั่งหงส์ประหนึ่งร่างไร้วิญญาณ เส้นผมบนศีรษะที่เคยได้รับการดูแลอย่างดี ยามนี้กลับมีเส้นผมสีขาวออกมาให้เห็นหลายเส้น ทั่วทั้งร่างมองดูอ่อนหล้า สีหน้าดูตื่นตระหนก

ม่อจิ่งหลีนั่งจิบชาเงียบๆ อยู่ด้านหนึ่ง สีหน้าราบเรียบไร้แวววูบไหว ถึงแม้จะเป็นไทเฮาที่เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดเขา ก็อ่านสีหน้าของเขาไม่ออกเลยแม้แต่น้อย

“หลีเอ๋อร์…หลีเอ๋อร์ ควรทำเช่นไรดี ฉีเอ๋อร์ช่างใจร้ายเหลือกัน…ข้าเป็นแม่แท้ๆ ของเขานะ!” ไทเฮาร้องพึมพำขึ้น นางคาดไม่ถึงเลยว่า ม่อจิ่งฉีจะทิ้งราชโองการเช่นนี้ไว้ นางไม่อาจทำให้บุตรชายคนเล็กขึ้นนั่งบัลลังก์ และตนได้เป็นฮองไทเฮามารดาของใต้หล้าต่อไปได้ ในราชโองการถึงแม้หลานชายได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ แต่นางจะเป็นไทฮองไทเฮาก็ไม่ได้เช่นกัน นางได้กลายเป็นไทเฮาคนแรกในประวัติศาสตร์ หรือบางทีอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกบุตรชายของตนเองสั่งให้นำตัวไปฝังด้วย

เกียรติยศและความสูงส่งเมื่อก่อนหน้านี้ ประหนึ่งเป็นเพียงกลุ่มก้อนเมฆที่ลอยผ่านหน้าไป แม้แต่ชีวิตของนางก็ยังรักษาไว้ไม่ได้

แน่นอนว่าตั้งแต่นางได้ขึ้นเป็นไทเฮาเป็นต้นมา นางไม่เคยต้องร้อนรนเช่นนี้มาก่อน แม้แต่ก่อนหน้านี้ที่ม่อจิ่งหลียกทัพก่อกบฏขึ้นที่ทางใต้ นางก็ยังไม่ร้อนรนเช่นนี้ เพราะเหตุใด…เพราะเหตุใดทุกอย่างจึงไม่เป็นอย่างที่นางคิดไว้

ม่อจิ่งหลีวางถ้วยชาในมือลง เงยหน้าขึ้นเอ่ยกับไทเฮาด้วยท่าทีสงบว่า “เสด็จแม่ นี่เป็นราชโองการสุดท้ายของเสด็จพี่”

ไทเฮาอึ้งไป ครู่ใหญ่ถึงได้ตั้งสติได้และเข้าใจความหมายของม่อจิ่งหลี หากมองจากบางมุมแล้ว ราชโองการสุดท้ายอาจะมีผลมากกว่าราชโองการธรรมดาเสียอีก ถึงแม้จะบอกว่าเป็นประมุขตรัสแล้วไม่คืนคำ แต่ขอเพียงม่อจิ่งฉียังมีชีวิตอยู่ นางก็ยังมีโอกาสที่จะหาทางทำให้เขาถอนราชโองการกลับไปได้ แต่ในยามนี้ ม่อจิ่งฉีได้ตายไปแล้ว ราชโองการสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ก่อนจะสวรรคต ซึ่งก็คือราชโองการสุดท้าย เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่ออดีตฮ่องเต้ ราชโองการสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้ ต่อให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้ว ก็มิอาจบิดพลิ้วไปง่ายๆ ได้ ม่อจิ่งหลีกำลังบอกนางว่า เขาเองก็ทำอันใดไม่ได้

“ไม่…ไม่มีทาง! ข้าไม่เชื่อ” ไทเฮาเดินโซซัดโซเซเข้าใส่ม่อจิ่งหลี จับมือเขาไว้พร้อมเอ่ยว่า “ข้าเป็นแม่แท้ๆ ของเจ้านะ หลีเอ๋อร์ เจ้าช่วยแม่ทีเถิด ข้าไม่อยากตาย ข้ารู้…ข้ารู้ว่าเจ้ามีวิธี!”

ม่อจิ่งหลีส่ายหน้าเรียบๆ “เสด็จแม่โปรดอภัยด้วย ลูกทำอันใดไม่ได้”

ไทเฮาเซถอยหลังไปสองก้าว จนเกือบล้มลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลัง นางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง สายตาที่มองม่อจิ่งหลีเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

“หลีเอ๋อร์…เจ้าจะเพิกเฉยต่อข้าจริงๆ หรือ เจ้าอย่าลืมเสีย หากข้ามิได้เอ่ยโน้มน้าวฮ่องเต้แทนเจ้า ฮ่องเต้จะมีราชโองการให้ข้าต้องร่วมฝังไปด้วยได้อย่างไร!”

ไทเฮาเข้าใจทุกอย่างแล้ว นี่เป็นสิ่งที่บุตรชายตอบแทนให้กับนาง ตอบแทนที่คราแรกยามที่เขาถูกวางยาพิเศษ นางเข้าข้างม่อจิ่งหลี ในยามที่เขาป่วยหนักจนอาการร่อแร่ นางก็ยังเกลี้ยกล่อมให้เขายกบัลลังก์ให้กับม่อจิ่งหลี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเขา…

“เช่นนั้นเสด็จแม่ทำสำเร็จแล้วหรือไม่” ม่อจิ่งหลีเอ่ยด้วยความเฉยชา

“ว่าอันใดนะ” ไทเฮาอึ้งไป

“ตำแหน่งฮ่องเต้…ราชโองการสุดท้ายของฮ่องเต้เสด็จแม่ก็ได้ยินแล้ว ยกบัลลังก์ให้กับองค์ชายสิบ! คนที่แม้แต่หน้าข้าก็ยังไม่เคยเห็น เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่ยังไม่รู้อันใดเลย นี่หรือผลจากการที่เสด็จแม่เอ่ยโน้มน้าวเสด็จพี่” ม่อจิ่งหลีลุกยืนพร้อมเอ่ยเสียงขรึม

เมื่อเอ่ยถึงตอนท้าย เขายิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ เสียงของม่อจิ่งหลีจึงค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ “มิใช่แค่เรื่องตำแหน่งฮ่องเต้ เรื่องบุตรชายของข้า ท่านก็มิได้ทำอันใดเช่นกัน! ยามนี้ม่อจิ่งฉีตายแล้ว เสด็จแม่บอกข้าที ข้าจะไปหาบุตรชายข้าได้จากที่ใด”

ไทเฮาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ต่อให้ฉีเอ๋อร์หลอกเจ้า ต่อไปเจ้าก็แต่งชายารองเข้ามาอีกสามสี่คน มีบุตรชายเพิ่มก็ได้นี่”

ม่อจิ่งหลีสีหน้าบึ้งตึง แน่นอนว่าเขาไม่อาจบอกไทเฮาเรื่องที่เขาไม่อาจมีบุตรได้อีกแล้ว หลายเดือนนี้ เขาลอบหาหมอที่มีชื่อเสียงมาไม่น้อย เรื่องนี้ม่อจิ่งฉีมิได้หลอกเขา เขาได้ลอบใส่ยาตัดการสืบสกุลสูตรลับที่สืบทอดกันในวังให้เขาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว ไม่มียาใดสามารถแก้ไขได้ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้ว่า เด็กผู้นั้นสำคัญกับเขาเพียงไร

“สรุปแล้ว เรื่องนี้ ลูกมิอาจทำอันใดได้ เสด็จแม่ท่านช่วยตนเองก็แล้วกัน” ม่อจิ่งฉีเอ่ย จับเสื้อที่มีรอยยับเล็กน้อย และคิดที่จะหมุนตัวเดินออกไป

“ไม่…” ไทเฮาพุ่งเข้าไปจับชายเสื้อม่อจิ่งหลีไว้ เอ่ยทั้งน้ำตาว่า “หลีเอ๋อร์ เจ้าช่วยแม่ด้วยเถิด แม่ไม่อยากตาย…หลีเอ๋อร์…ข้าเป็นแม่แท้ๆ ของเจ้านะ หลีเอ๋อร์…”

ม่อจิ่งหลีกดสายตาลงมองไทเฮาที่ร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา เขายื่นมือไปดึงมือนางที่จับชายเสื้อเขาอยู่ออกเงียบๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “เสด็จแม่ ท่านอยู่ในราชวงศ์ แม้แต่ตัวท่านเองก็คงไม่เชื่อเรื่องเลือดเนื้อเชื้อไขแล้วกระมัง มิเช่นนั้น…เดิมทีที่ท่านแม่ทำกับเสด็จพี่นั่น เรียกว่าอันใด”

ไทเฮาคุกเข่าอยู่กับพื้น ตาค้างมองแผ่นหลังม่อจิ่งหลีที่เดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย จนในที่สุดก็ทนไม่ไหว ร้องไห้เสียงหลงออกมา พร้อมกับตะโกนด่าทอออกมาเสียงดัง “ลูกทรยศ! ม่อจิ่งหลีเจ้ามันลูกทรยศ! ข้าเป็นแม่แท้ๆ ของเจ้านะ…ต่อให้ข้าลงยมโลกไปแล้วก็ไม่มีทางละเว้นเจ้า! ไม่…ข้าไม่อยากตาย…ข้าเป็นฮองไทเฮาแห่งต้าฉู่…”

ไทเฮาร้องไห้ไปพลาง ตะโกนด่าไปพลาง จนเมื่อก่นด่าจนเหนื่อยอ่อนแล้วจึงได้ฟุบลงร้องไห้คร่ำครวญอยู่กับพื้น

ในที่สุดนางก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อหลายวันก่อนที่นางไปเยี่ยมบุตรชายคนโตนั้น ยามที่นางเอ่ยเกลี้ยกล่อมเขาให้ยกบัลลังก์ในม่อจิ่งหลี สายตาของเขาที่มองนางแฝงความหมายเช่นใดไว้ น่าเสียดายก็เพียงมันสายไปแล้ว…

“ข้าเป็นฮองไทเฮา…ข้าจะไม่ตาย…”

ด้านนอกวังจางเต๋อ เสียงร้องไห้คร่ำครวญของไทเฮาถูกกันไว้ที่ด้านหลังประตูหนาๆ หนักๆ ของตำหนัก ม่อจิ่งหลีหันกลับไปมองประตูตำหนักที่ปิดแน่นอยู่ สีหน้านิ่งขรึม แววตาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนในที่สุดก็เหลือเพียงความว่างเปล่า

“ท่านอ๋อง ไทเฮา…” ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์เอ่ยทักขึ้นเสียงเบา อันที่จริงด้วยฐานะของหลีอ๋องกับไทเฮา หากต้องการปกป้องไทเฮาไว้จริงๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ม่อจิ่งหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่จำเป็น ให้คนคอยระวังตระกูลหลิ่วไว้ อย่าให้ตระกูลหลิ่วกับหลิ่วกุ้ยเฟยก่อเรื่องอันใดได้ ส่วนมารดาแท้ๆ ของรัชทายาท…ฉินอ๋อง จะต้องตาย”

ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ในใจกระตุกวาบ ที่แท้ก็เพื่อเรื่องนี้ หากจะช่วยไทเฮาไว้ เช่นนั้นคนตระกูลหลิ่วก็จะใช้เรื่องนี้มาขอร้องให้ละเว้นการนำหลิ่วกุ้ยเฟยไปร่วมฟังด้วยเช่นเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่าหลีอ๋องมิได้ตั้งใจให้หลิ่วกุ้ยเฟยมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อเล่นงานตระกูลหลิ่ว หลีอ๋องถึงกับ…

“ข้าน้อยรับบัญชา”

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย
Status: Ongoing
หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset