ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 279-1 ความเปลี่ยนแปลงของไทเฮา

“เสด็จแม่นี่มีเรื่องอันใดหรือ” ฮองเฮาขมวดคิ้วถาม เมื่อเห็นไทเฮาเดินนำกลุ่มคนคณะใหญ่บุกเข้ามา

ไทเฮาจ้องฮองเฮาด้วยสายตาดุดัน เอ่ยเสียงเข้มว่า “องค์ชายสิบอยู่ที่ใด”

ฮองเฮามองตอบไทเฮาด้วยสีหน้าคงเดิม เอ่ยถามเรียบๆ ว่า “องค์ชายสิบ? เสด็จแม่ถามเรื่องนี้ไปเพื่อเหตุใด”

ไทเฮาส่งเสียงหึเย็นๆ ก่อนเอ่ยว่า “องค์ชายสิบใกล้จะขึ้นครองราชย์แล้ว ข้าเป็นเสด็จย่าของเขา หากไม่สั่งสอนเขาแล้วผู้ใดจะสามารถสั่งสอนเขาได้”

ฮองเฮาเอ่ยปฏิเสธด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ย่อมมีท่านอาจารย์และขุนนางคอยชี้แนะ คงไม่ต้องให้เสด็จแม่ต้องลำบาก อีกอย่าง ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังไม่ขึ้นนั่งบัลลังก์ เสด็จแม่ต้องไปร่วมฝังอยู่กับเสด็จพ่อ คงไม่เหมาะที่จะพบหน้าผู้คน”

เห็นได้ชัดว่า หลายวันนี้ไทเฮาคงทำให้ฮองเฮาหัวเสียมากแล้วจริงๆ มิเช่นนั้นด้วยนิสัยของฮองเฮา ไม่มีทางเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาอย่างแน่นอน

ไทเฮาโกรธจนเดี๋ยวหน้าเขียวเดี๋ยวหน้าซีด ชี้หน้าฮองเฮาด้วยมืออันสั่นเทาอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้เอ่ยออกมาว่า “บังอาจ! ฮว่าซื่อ ถึงแม้เจ้าจะเป็นถึงฮองเฮา แต่กลับไม่มีพระโอรสให้ฮ่องเต้แม้สักครึ่งคน ข้าว่าคนที่ควรจะนำไปร่วมฝังด้วยน่าจะเป็นเจ้าถึงจะถูก!” ไทเฮามองท่าทางสบายๆ ของฮองเฮาด้วยความโกรธจัด

ฮองเฮาถึงแม้จะไม่มีองค์ชาย แม้แต่องค์หญิงเพียงคนเดียวก็ยังไม่รู้ไปอยู่ที่ใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถว่ากล่าวอันใดนางได้ มิใช่เพียงเพราะนางเป็นบุตรสาวตระกูลฮว่า ที่ยิ่งกว่านั้นคือเพราะนางเป็นภรรยาเอกของฮ่องเต้ เป็นมารดาเอกของต้าฉู่ และเป็นมารดาเอกขององค์ชายและองค์หญิงทุกพระองค์ ไม่ว่าองค์ชายพระองค์ใดได้ขึ้นครองราชย์ ก็จำต้องยกย่องนางขึ้นเป็นไทเฮา

ไทเฮาต้องยอมรับว่า ถึงแม้นางจะนึกดูถูกและนึกรังเกียจหลิ่วกุ้ยเฟยเพียงใด แต่เอาเข้าจริงนางกับหลิ่วกุ้ยเฟยก็เหมือนๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นที่โปรดปรานเพียงใด ไม่ว่าจะมีบุตรไว้สืบสกลุมากเพียงใด หากไม่มีฐานะเป็นภรรยาเอก พวกนางแม้แต่สิทธิที่จะปฏิเสธการถูกนำไปร่วมฝังก็ยังไม่มี

ฮองเฮาหรุบตาลง เอ่ยเรียบๆ ว่า “น่าเสียดายก็เพียง ก่อนฝ่าบาทจะเสด็จสวรรคต มิได้ตั้งใจให้ข้าไปอยู่ร่วมฝังด้วย เสด็จแม่ หม่อมฉันว่าท่านรีบกลับตำหนักไปพักผ่อนเถิดเพคะ มีหลายเรื่องที่ไม่เพียงหม่อมฉันที่ตัดสินใจไม่ได้ แม้แต่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เกรงว่าก็คงยังตัดสินใจให้ไม่ได้ในเร็ววันนี้เช่นกัน หากเสด็จแม่มีอันใดอยากพูด สู้ไปพูดกับหลีอ๋องจะดีกว่า”

ไทเฮากัดฟันกรอด แน่นอนว่านางอยากไปพบม่อจิ่งหลี แต่ตั้งแต่ฮ่องเต้เสด็จสวรรคต ม่อจิ่งหลีก็ไม่ได้เข้าวังมาคารวะนางอีกเลย ถึงแม้จะเข้าวังมาบ้าง ก็เพียงเข้ามาหารือเรื่องการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เท่านั้น กว่านางจะได้ข่าวแล้วรีบตามไป ม่อจิ่งหลีก็ออกจากวังไปแล้ว ยามนี้อำนาจของไทเฮาถูกปลดออกจนหมดสิ้นแล้ว คิดจะทำสิ่งใดก็ไม่สะดวกเอาเสียเลย ไทเฮารู้ดีว่า ม่อจิ่งหลีใจแข็งไม่สนใจตนอีกแล้ว

“ฮองเฮานี่เจ้ากำลังพูดเรื่องอันใด ข้าเพียงมาพบองค์ชายสิบเท่านั้น” ไทเฮาข่มความโกรธไว้ กัดฟันเอ่ยขึ้น

เสด็จย่าต้องการพบหน้าหลาน ย่อมไม่อาจไม่ให้พบใด ก็พอดีกับที่องค์ชายสิบตื่นพอดี ฮองเฮาจึงจำต้องให้คนไปเชิญองค์ชายสิบออกมา

เมื่อเห็นว่าฮองเฮายอมถอยให้ ไทเฮาถึงได้ยอมนั่งลงดื่มชาที่นางกำนัลยกมาให้ด้วยความพอใจ และถึงได้มีเวลาหันมองเยี่ยหลีที่นั่งอยู่

ไทเฮามีความประทับใจที่ไม่สู้ดีกับเยี่ยหลีมาแต่ไหนแต่ไร มิใช่ว่าเพราะนางมีความเห็นต่อตัวของเยี่ยหลี แต่ด้วยเพราะพวกนางมีจุดยืนที่ต่างกันมาตั้งแต่ต้น แต่ยามนี้ชีวิตนางอยู่บนเส้นด้าย ส่วนเยี่ยหลีกลับกลายเป็นภรรยาเพียงคนเดียวของติ้งอ๋อง ชื่อเสียงของชายาติ้งอ๋องโด่งดังไปทั่วใต้หล้าเช่นเดียวกับติ้งอ๋อง เมื่อเป็นเช่นนี้จะให้ไทเฮาที่เคยยกยอตนเองว่าเป็นยอดสตรีแห่งยุค รู้สึกถูกชะตากับนางขึ้นมาได้อย่างไร

“ชายาติ้งอ๋อง?” ไทเฮาขมวดคิ้ว

“เพคะ ถวายพระพรไทเฮา” เยี่ยหลีวางถ้วยชาลง เอ่ยพร้อมอมยิ้มน้อยๆ

นางอยู่ในชุดสีอ่อน นั่งสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ตัวถัดจากฮองเฮา มองดูแล้วไม่เหมือนยอดสตรีที่มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วใต้หล้า แต่กลับดูเหมือนสตรีในภาพวาดที่ดูงามสง่าเสียมากกว่า

ไทเฮารู้ดีว่าตนไม่มีอันใดจะพูดคุยกับเยี่ยหลี จึงเพียงส่งเสียงหึเบาๆ และไม่ได้พูดอันใดอีก

ครู่หนึ่ง องค์ชายสิบที่จัดแต่งเครื่องแต่งกายเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาจากห้องด้านใน คนที่เดินตามหลังเขามาย่อมเป็นมารดาผู้ใด้กำเนิดเขา

มารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายสิบ เดิมแซ่หลี่ เมื่อคลอดองค์ชายสิบออกมาก็ได้แต่งตั้งขึ้นเป็นหลี่กุ้ยเหริน แต่ยามนี้คนในวังต่างพากันเรียกนางว่าหลี่เหนียงเหนี่ยง บางทีอาจด้วยเพราะนางเป็นคนต่ำต้อยมาตั้งแต่เล็กๆ เมื่อจู่ๆ ได้ขึ้นไปอยู่บนยอดกิ่ง กลายเป็นสตรีที่มีศักดิ์สูงสุดของใต้หล้า ความตื่นตระหนกของหลี่ซื่อเอาเข้าจริงก็ไม่ได้น้อยไปกว่าองค์ชายสิบเลย ดังนั้นในหลายครานางจึงไม่ได้ระวังกิริยา ดูตื่นกลัวประหนึ่งนกน้อยที่ถูกทำให้ตกใจ สตรีที่มาจากตระกูลเล็กๆ เช่นนี้ย่อมไม่เข้าตาไทเฮา เมื่อเห็นสองแม่ลูกมีท่าที่ขลาดกลัว ไทเฮาก็ส่งเสียงหึออกมาด้วยความไม่พอใจ

หลีซื่อตกใจกลัว ขาอ่อนลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น “บ่าว…บ่าวคารวะไทเฮาเพคะ”

ก่อนหน้านี้หลี่ซื่อเคยพบหน้าไทเฮาเพียงไม่กี่ครั้ง และทุกครั้งก็เป็นเพียงการโขกศีรษะคารวะจากที่ไกลๆ เท่านั้น ไทเฮามีฐานะสูงศักดิ์ ย่อมไม่ใช่คนที่เป็นสนมต่ำต้อยอย่างนางจะสามารถเข้าใกล้ได้ ยามนี้เมื่อมาได้ยินไทเฮาส่งเสียงหึเย็นๆ สัญชาตญาณนางจึงตกใจจนขาอ่อนลงไปคุกเข่าทันที

ฮองเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ทำได้เพียงจนใจ ที่หลี่ซื่อขวัญอ่อนเพียงนี้จะโทษนางก็คงไม่ได้ แต่การที่มารดาผู้ให้กำเนิดฮ่องเต้พระองค์ใหม่ออกหน้าออกตาไม่ได้เช่นนี้ ก็ทำให้นางปวดหัวไม่น้อย

องค์ชายสิบเมื่อเห็นว่าจู่ๆ มารดาก็คุกเข่าลงกับพื้น เขาเองก็ตกใจไม่น้อย คิดอยากจะลงไปคุกเข่าตาม

มือเรียวข้างหนึ่งยื่นมาจับแขนเขาไว้เบาๆ ถึงแม้นี่จะเป็นมือของสตรี แต่ด้วยแรงจากมือนั้นก็มิใช่สิ่งที่เด็กน้อยอายุเจ็ดขวบจะสามารถขัดขืนได้ ที่องค์ชายสิบคิดจะลงไปคุกเข่า จึงย่อมคุกเข่าลงไปไม่ได้ เขาหันมองเจ้าของมือที่ยื่นมาดึงเขาไว้ด้วยความตื่นตระหนก

เยี่ยหลีนั่งอยู่บนเก้าอี้ อมยิ้มมองเด็กน้อยที่ตาเบิกโพลง เต็มไปด้วยความตื่นกลัว นางส่งยิ้มไปให้น้อยๆ เอ่ยว่า “ที่อกของบุรุษมีทองคำอยู่ การเป็นบุรุษอกสามศอกจะคุกเข่าให้ใครง่ายๆ ไม่ได้นะ”

เดิมทีมีน้ำตามาคลออยู่เต็มหน่วย เด็กน้อยที่คิดอยากร้องไห้ เมื่อเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นของสตรีตรงหน้า ก็ลืมที่จะร้องไห้ไปชั่วขณะ รู้สึกเพียงว่าสตรีในชุดสีอ่อนตรงหน้าช่างดูอบอุ่นและใจดียิ่งนัก ทำให้เขารู้สึกสบายใจและวางใจกว่าการอยู่ข้างเสด็จแม่เสียอีก

ดูเหมือนความกลัวที่เคยมีจะค่อยๆ สงบลง ก่อนกระเถิบตัวเข้าใกล้เยี่ยหลีโดยไม่รู้ตัว

ฮองเฮาถึงกับระบายลมหายใจออกมา หันไปเอ่ยกับหลี่ซื่อว่า “น้องสาว นี่เจ้ากำลังทำอันใด ยังไม่ลุกขึ้นอีก พวกเจ้ายังไม่รีบเข้ามาอีก พยุงเหนียงเหนี่ยงให้ลุกขึ้น”

นางกำนัลที่รับใช้อยู่โดยรอบรีบเข้ามาพยุงหลี่ซื่อให้ลุกขึ้นไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง

หลี่ซื่อเหลือบมองฮองเฮากับไทเฮาด้วยความไม่สบายใจ ก่อนเหลือบมองไปทางเยี่ยหลีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและกำลังส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับบุตรชายของตนอยู่ นางกำชายเสื้อผ้าไหมสีทองอันหรูหราอย่างไม่รู้จะทำตัวเช่นไร

ยามนี้ไทเฮามีสีหน้าบึ้งตึงไปเสียนานแล้ว ตบโต๊ะเอ่ยเสียงเข้มว่า “ชายาติ้งอ๋อง นี่เจ้าหมายความเช่นไร ข้าเป็นเสด็จย่าขององค์ชายสิบ หรือว่าข้าจะรับการคารวะยังไม่ได้เชียวหรือ”

เยี่ยหลีอมยิ้มไม่ตอบ ก้มหนาลงไปพยุงองค์ชายสิบที่ดูตื่นตระหนกและไม่สบายใจ

ฮองเฮาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ฟ้า ดิน ประมุข ญาติพี่น้อง อาจารย์ เสด็จแม่มั่นใจว่าจะรับการคารวะนี้จริงๆ หรือ”

ถึงแม้องค์ชายสิบจะยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ แต่ตั้งแต่ที่ราชโองการประกาศออกไป เขาก็ได้กลายเป็นฮ่องเต้ของต้าฉู่แล้ว ด้วยฐานะฮ่องเต้ ถึงแม้เป็นมารดาแท้ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพ อีกอย่าง เมื่อครู่เป็นการทำความเคารพหรือ เห็นอยู่ว่านั่นเป็นเพราะองค์ชายสิบกับหลี่ซื่อถูกไทเฮาทำให้ตกใจถึงได้ลงไปคุกเข่า การคุกเข่าเมื่อครู่ หากเป็นการคุกข่าจริงๆ นั่นคงกลายเป็นเรื่องน่าขันที่สุดไป

ไทเฮาฝืนกดความโกรธไว้ หันไปฉีกยิ้มส่งให้องค์ชายสิบ “ซู่อวิ๋น เข้ามาให้ย่าดูหน่อย”

องค์ชายสิบเคยพบหน้าเสด็จย่าเมื่อใดกัน รู้สึกเพียงว่าหญิงชราที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดร้ายช่างดูน่ากลัวเหลือเกิน จึงรีบกระเถิบเข้าไปแอบด้านหลังเยี่ยหลี

แววตาไทเฮาขรึมไปเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้โกรธ นางหยิบเครื่องประดับหยกชิ้นหนึ่งออกมาแกว่งตรงหน้า เอ่ยว่า “มาสิ เข้ามาให้ย่าดูหน่อย นี่เป็นของขวัญแรกพบหน้าที่ย่าให้เจ้า”

องค์ชายสิบมองเครื่องประดับหยกชิ้นนั้นด้วยความลังเล หันมองไปทางฮองเฮา ฮองเฮาก็กำลังก้มลงจิบชาพอดี จึงหันมองไปทางเสด็จแม่ของตน หลี่ซื่อยังคงกำชายเสื้อแน่นอย่างไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร จะมีเวลาที่ไหนมาสนใจเขา สุดท้ายเขาจึงจำต้องหันมองเยี่ยหลี

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ชอบหรือไม่ หากชอบก็รับมา แล้วอย่าลืมขอบคุณเสด็จย่าด้วย”

“หลานขอบพระทัย…เสด็จย่า” องค์ชายสิบรับเครื่องประดับหยกมา เอ่ยว่าขอบพระทัยเสด็จย่าเสร็จ ก็รีบกลับมาหลบหลังเยี่ยหลีเช่นเดิม ทำให้ไทเฮาที่เมื่อครู่ยังปรับสีหน้าให้ดูใจดีและคิดอยากจะดึงเขามาพูดคุย คว้าไว้ได้เพียงความว่างเปล่า และสีหน้าก็กลับมาบิดเบี้ยวอีกครั้ง

ฮองเฮาเห็นเช่นนั้น ก็ได้แต่อดกลั้นไว้ อาศัยช่วงที่ไทเฮายังไม่แสดงความโกรธออกมา เอ่ยเรียบๆ ว่า “เมื่อวานองค์ชายสิบถูกทำให้ตกใจ หากเสด็จแม่เป็นห่วงเขา ไว้ค่อยมาเยี่ยมเขาวันหลังจะดีกว่าเพคะ”

ไทเฮาทำอันใดไม่ได้ จำต้องสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป

เมื่อมองส่งไทเฮาออกไปจากประตูแล้ว เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม เอ่ยถามว่า “นี่ไทเฮาเป็นอันใดไปหรือ ถูกราชโองการสั่งให้ไปร่วมฝังทำให้ตกใจจนลืมแม้แต่จะเอาความคิดของตนออกมาด้วยหรือไร”

เมื่อเห็นไทเฮาเป็นเช่นนี้ เยี่ยหลีรู้สึกไม่คุ้นเอาเสียเลยจริงๆ ก่อนหน้านี้ถึงแม้ไทเฮาในสายตานางจะไม่ถือว่าเป็นคนที่มีแผนการแยบยล แต่อย่างน้อยก็เป็นคนที่มีลูกเล่นอยู่บ้าง แต่การบุกเข้าตำหนักฮองเฮาเช่นในวันนี้ จนทำให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่ยังไม่ทันได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ตกใจ ช่างเป็นลูกไม้ขั้นต่ำของต่ำไปเสียอีก

ฮองเฮายิ้มเอ่ยว่า “ไทเฮาเองก็ถูกบีบจนลืมไปแล้วว่าอันใดควรไม่ควร ถึงอย่างไรเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตาย ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถตื่นตระหนกจนทำอันใดไม่ถูกได้ทั้งสิ้น”

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หลีอ๋องเล่า หรือว่าหลีอ๋องจะไม่สนใจไทเฮาแล้วจริงๆ”

ฮองเฮาส่ายหน้า “เรื่องระหว่างพวกเขาสองคนแม่ลูก ข้าเองก็มองไม่ออก”

อย่างเช่นก่อนหน้านี้ นางไม่เคยเข้าใจว่าสรุปแล้วไทเฮารักบุตรชายทั้งสองคนหรือไม่ หรือว่าสุดท้ายแล้วนางรักบุตรชายคนใดกันแน่ ส่วนหลีอ๋องกับม่อจิ่งฉีสองพี่น้อง ก็เกลียดมารดาของตนจนแทบไม่เหลือเยื่อใยต่อกันแล้ว

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย
Status: Ongoing
หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset