ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 280-1 ความเป็นสุภาพบุรุษของเฟิ่งซาน

ในตำหนักติ้งอ๋อง เมื่อได้ยินที่เยี่ยหลีเล่าให้ฟัง เฟิ่งจือเหยานิ่งเงียบอยู่เป็นนาน ก็ยังพูดอันใดไม่ออก กับเรื่องนี้ เยี่ยหลีคิดอยากช่วยก็ไม่สามารถช่วยได้ หากมองจากมุมของเฟิ่งจือเหยา นางย่อมสามารถกล่าวโทษฮองเฮาที่ดื้อรั้นทำให้เฟิ่งจือเหยาเสียเวลา แต่เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่อาจโทษฮองเฮาได้อยู่แล้ว เพราะนางไม่เคยให้ความหวังเฟิ่งจือเหยามาก่อน และสิ่งที่นางทำให้ยามนี้ ก็เป็นสิ่งที่สตรีทุกคนในยุคนี้ และสตรีที่มีฐานะเป็นฮองเฮาจะสามารถทำได้ดีที่สุดแล้ว เยี่ยหลีไม่อาจใช้มาตรฐานของตนเองมาร้องขอให้สตรีที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาแบบโบราณว่าให้ซื่อสัตย์ต่อสามีและเป็นสตรีที่คุณธรรม เปลี่ยนมาเป็นอย่างตนได้

“ซิวเหยา เฟิ่งซาน…” เยี่ยหลีถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นจากหนังสือในมือ “ไม่ต้องไปสนใจเขา เขารู้ว่าอันใดควรไม่ควร”

เมื่อเห็นม่อซิวเหยามีท่าทีเช่นนี้ เยี่ยหลีก็ส่ายหน้า ผลักเรื่องนี้ออกไปจากสมอง ก่อนเอ่เยรื่องที่ตนได้พบกับองค์ชายสิบที่ในวังให้ม่อซิวเหยาฟัง สุดท้ายแล้วก็ถอนใจเอ่ยว่า “เด็กคนนั้นอ่อนแอเกินไปจนน่าเป็นห่วงจริงๆ ไม่รู้ว่าตอนที่ม่อจิ่งฉีทิ้งราชโองการฉบับสุดท้ายไว้นั้น เขากำลังคิดอันใดอยู่กันแน่”

ม่อซิวเหยาวางหนังสือในมือลงแล้วเดินเข้าไปหาเยี่ยหลี กอดนางจากด้านหลังให้นางพิงเข้ากับอกเขา ก่อนเอ่ยเสียอ่อนนุ่มขึ้นว่า “เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของม่อจิ่งฉีกับคนอื่น ไม่เกี่ยวอันใดกับพวกเรา เหตุใดอาหลีถึงต้องเป็นกังวลแทนพวกเขาด้วยเล่า”

เยี่ยหลีระบายยิ้มออกมา ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ข้าเป็นกังวลแทนพวกเขาที่ไหนกัน เพียงแค่…” เพียงแค่เห็นเด็กน้อยไม่ประสาที่ชะตากำหนดให้ต้องนำเขามาสละแล้ว ก็รู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมาก็เท่านั้น เด็กคนนั้นอายุมากกว่าม่อตัวน้อยอยู่เพียงขวบกว่าๆ บางทีเมื่อเป็นแม่คนแล้ว อาจจะใจอ่อนกว่าก่อนหน้านี้อยู่เล็กน้อยกระมัง

ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ถึงแม้ยามนี้ทุกที่ในเมืองหลวงยังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าขวางคนของตำหนักติ้งอ๋อง หากอาหลีเกิดรู้สึกเบื่อ จะออกไปเดินเล่นบ้างก็ได้นะ เรื่องที่ในวังนั่นไม่ต้องไปสนใจแล้ว”

เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว” เข้าใจว่าม่อซิวเหยาไม่อยากให้นางเก็บเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นมากวนใจ เยี่ยหลีก็ย่อมตอบรับไปตามน้ำ พวกเขาต่างหากที่เป็นครอบครัวเดียวกัน ส่วนคนอื่นๆ ต่อให้ทนไม่ได้ ต่อให้เป็นผู้บริสุทธิ์เพียงใด สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงคนอื่น นางไม่อยากให้ม่อซิวเหยาต้องมาเป็นกังวลเพราะนาง

“ท่านแม่! ท่านแม่…” เสียงของม่อตัวน้อยดังลอยมาตามระเบียงทางเดินที่ยาวเหยียด เขาวิ่งเข้ามาด้วยความยินดี

ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เหลือบตาขึ้นจ้องเขม็งไปยังม่อตัวน้อยที่วิ่งมาถึงปากประตูแล้ว และกำลังจะยกเท้าก้าวเข้ามา ด้านหลังม่อตัวน้อยยังมีเหลิ่งจวินหานที่วิ่งตามมาจนเกือบหายใจไม่ทันอีกด้วย

เยี่ยหลีได้แต่จนใจ “เฉินเอ๋อร์ เจ้าเดินช้าๆ หน่อย ดูสิ จวินหานเหนื่อย…”

ม่อตัวน้อยหันกลับไปมองเหลิ่งจวินหานที่ยังหอบหายใจแต่ก็ยังส่งยิ้มมาให้เขา เขาส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนจะโผเข้าหาอ้อมแขนของเยี่ยหลี

เยี่ยหลีก้มลงมองใบหน้าน้อยๆ ที่ดูขัดใจ แล้วก็อดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้ นางตบหลังม่อตัวน้อยเบาๆ พลางเอ่ยว่า “จวินหานเด็กกว่าเจ้า เจ้าเป็นพี่ชายต่อไปต้องคิดถึงน้องด้วย รู้หรือไม่”

“รู้แล้วขอรับ” ม่อตัวน้อยเอ่ยตอบเสียงเบา เงยหน้าขึ้นหันไปเอ่ยกับเหลิ่งจวินหานว่า “เหลิ่งเอ๋อน้อย เจ้าเดินไปไหวก็บอกข้าสิ ข้า…ข้าไม่ได้ไม่รอเจ้าสักหน่อย”

เหลิ่งจวินหานยกมือเกาศีรษะ ส่งยิ้มให้ม่อตัวน้อยอย่างชื่นบานเป็นที่สุด จึงยิ่งทำให้ม่อตัวน้อยรู้สึกละอายใจขึ้นไปอีก

เมื่อเยี่ยหลีมองท่าทีละอายใจของบุตรชายจนพอใจแล้ว จึงหันไปอมยิ้มพลางกวักมือเรียกเหลิ่งจวินหาน “จวินหาน มาหาน้านี่”

เหลิ่งจวินหานส่งเสียงยินดี ก่อนจะโผเข้าไปหาเยี่ยหลีตาม ถีบตัวอยู่ในวงแขนของเยี่ยหลีพร้อมรอยยิ้มอันสดใส เขาก็ชอบท่านแม่ของพี่ตัวน้อยมากเช่นกัน ตัวหอมๆ อุ่นๆ เหมือนท่านแม่ของเขาเลย น่าเสียดายที่พี่ตัวน้อยไม่ชอบให้เขาอยู่ใกล้ท่านน้า

ม่อซิวเหยายืนอยู่ด้านหลังเยี่ยหลีด้วยสีหน้าบึ้งตึง เดิมทีมีแค่ม่อตัวน้อยก็แล้วไปเถิด ยามนี้มีเด็กแสบถึงสองคนมาคอยกวนอาหลี วันๆ หนึ่งช่วงเวลาที่เขาจะได้อยู่กับอาหลีเพียงลำพังลดน้อยลงไปไม่น้อย เมื่อคิดถึงจุดนี้ ม่อซิวเหยาก็นึกเสียใจที่ตอนแรกตัดสินใจส่งเหลิ่งเฮ่าอวี่ไปเสียแล้ว

ม่อซิวเหยาบอกว่าเฟิ่งจือเหยารู้ว่าอันใดควรไม่ควร แต่กลับไม่คิดว่าเฟิ่งจือเหยาจะบุกเข้าไปสร้างเรื่องถึงในวังในคืนนั้นทันที

กลางดึกสงัดที่ไร้ผู้คน ทั่วทั้งตำหนักติ้งอ๋องเงียบสงัดมาครู่ใหญ่ มีเพียงแสงไฟในห้องหนังสือที่ยังคงสว่างอยู่

ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีนั่งอยู่ในห้องหนังสือ อ่านหนังสือไปพลาง พูดคุยเล่นกันไปพลางเป็นครั้งคราว ตัวอยู่ที่เมืองหลวง ถึงแม้ดูเผินๆ จะดูสบายๆ แต่ถึงอย่างไรตัวก็ยังอยู่ในตำแหน่ง แต่ละวันมีงานจำนวนนับไม่ถ้วนที่จำเป็นต้องให้พวกเขาผ่านตาด้วยตนเอง ถึงแม้ยังไม่จำเป็นต้องให้ตัดสินใจในทันที แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องรู้ข่าวเหล่านี้ไว้ เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น

“วันนี้เฟิ่งซานออกไปแล้วยังไม่กลับมาหรือ” เมื่ออ่านรายงานเล่มสุดท้ายในมือจบแล้ว เยี่ยหลีหันมองก็เห็นว่าตรงหน้าม่อซิวเหยายังมีรายงานอยู่อีกกองใหญ่ จึงหยิบเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกอ่านพลางเอ่ยถามขึ้น

ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “คงไปหาที่สงบสติอารมณ์กระมัง” เฟิ่งจือเหยาที่ดูเผินๆ ง่ายๆ สบายๆ เหมือนคนอารมณ์ดี แต่เอาเข้าจริงเป็นคนนิสัยโผงผางพอสมควร ไม่ว่าจะโกรธหรือดีใจล้วนแสดงออกทางสีหน้า แค่เพียงจากประสบการณ์ที่ฝึกฝนมาหลายปี ทำให้เขารู้จักที่จะเก็บสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ของตนออกมาเท่านั้น

คิ้วเรียวของเยี่ยหลีขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้าเพียงรู้สึกว่ายามที่เฟิ่งซานออกไปเมื่อตอนกลางวัน ท่าทางเขาดูอารมณ์ไม่ดีเลย”

“เขารอมาตั้งหลายปีเช่นนี้ เขาอารมณ์ดีได้สิ ถึงจะแปลก” อันที่จริงม่อซิวเหยาไม่เคยเห็นด้วยกับความรู้สึกที่เฟิ่งจือเหยามีต่อฮองเฮา ยามอยู่ในวัยหนุ่ม เขาเคยเอ่ยเกลี้ยกล่อมเขาเป็นนัยๆ อยู่หลายครา แต่ทุกคราก็จะจบลงที่ทั้งสองลงไม้ลงมือชกต่อยกันอย่างไม่จบไม่สิ้น เมื่ออายุมากขึ้นก็เริ่มรู้จักที่จะเคารพในความรู้สึกของอีกฝ่าย จึงยิ่งเกลี้ยกล่อมยากขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงลากยาวมาหลายปี จนเฟิ่งจือเหยาอายุได้สามสิบกว่าปีแล้ว หากว่ากันตามอายุของคุณชายจากตระกูลคหบดีทั่วไปในยุคสมัยนี้ ผ่านไปอีกสองปี เฟิ่งซานก็น่าจะมีหลานให้อุ้มได้แล้ว

“สองคนนี้…” เยี่ยหลีทอดถอนใจ ยังไม่ทันพูดจบ นางก็ถลึงตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ “มีคนบุกเข้ามา!”

ม่อซิวเหยาที่อยู่ข้างๆ กระโดดออกไปจากห้องหนังสือประหนึ่งกลุ่มควันสีเขียว ทิ้งไว้เพียงเสียงต่ำๆ ว่า “อาหลีเจ้าไปดูเด็กแสบสองคนนั้น”

เยี่ยหลีมองร่างในจุดสีขาวที่หายไปจากหน้าประตูด้วยความผิดหวังเล็กน้อย นี่คงเป็นความต่างระหว่างวิชาตัวเบาเปลวอัคคีเขียวกับวิชาตัวเบาทั่วๆ ไปสินะ

ยามที่เยี่ยหลีไปถึงเรือนของม่อตัวน้อยกับเหลิ่งจวินหานนั้น จั๋วจิ้งก็มาคอยอารักขาอยู่ที่หน้าประตูก่อนแล้ว เมื่อเห็นเยี่ยหลีถึงได้โค้งคำนับพลางเอ่ยว่า “พระชายา”

เยี่ยหลีพยักหน้า “ลำบากเจ้าแล้ว เด็กสองคนไม่เป็นอันใดกระมัง”

จั๋วจิ้งเอ่ยเสียงขรึมว่า “นี่เป็นหน้าที่ของข้าน้อย ซื่อจื่อน้อยกับคุณชายน้อยเหลิ่งไม่เป็นอันใดพ่ะย่ะค่ะ”

ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น ม่อตัวน้อยก็วิ่งออกมาจากด้านในพอดี “ท่านแม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”

เยี่ยหลีมองประกายในดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นอยากรู้อยากลองแล้ว ก็ได้แต่ยกมือขึ้นเคาะหน้าผากเขาเบาๆ เอ่ยว่า “เป็นเด็กดีอยู่กับจั๋วจิ้งนะ ดูแลจวินหานให้ดีด้วย แม่จะไปดูเสด็จพ่อเจ้าสักหน่อย”

เมื่อไม่ได้ไปร่วมสนุกด้วย ม่อตัวน้อยก็เบ้ปากด้วยความขัดใจ แต่ก็ยอมพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ท่านแม่ระวังตัวด้วย”

เยี่ยหลีระบายยิ้ม “แก่แดดแก่ลม”

เมื่อดูแลสองเด็กน้อยเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีก็รีบตามออกไปที่เรือนหน้า ก็กลับพบว่าไม่ได้เกิดการต่อสู้อันใดกันขึ้น เห็นได้ชัดว่าคนที่บุกเข้ามาในตำหนักเป็นคนที่พวกเขาคุ้นเคย

เยี่ยหลีส่ายหน้า หมุนตัวเดินเข้าไปในศาลาดอกไม้ของเรือนหน้า แล้วสิ่งที่ปรากฏตรงหน้านางก็ถึงกับทำให้นางปวดหัวหนึบขึ้นมาทันที

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย
Status: Ongoing
หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset