ในศาลาดอกไม้ เฟิ่งจือเหยาล้มลงอยู่กับพื้น ข้างกายเขายังมีรอยเลือดสีเข้มอยู่กองหนึ่ง รอยเลือดนั้นยังไม่ทันแห้ง แสดงว่าเพิ่งมีใครบางคนกระอักเลือดออกมา
ม่อซิวเหยายืนอยู่กลางศาลา เอามือไพล่หลัง สีหน้าเขาทำให้รู้สึกหนาวสั่น
เยี่ยหลีไม่นึกสงสัยเลยว่า ที่เฟิ่งจือเหยาล้มลงกระอักเลือดอยู่ที่พื้น จะต้องเป็นฝีมือของม่อซิวเหยาอย่างแน่นอน แต่ที่ทำให้นางต้องปวดหัวหนึบมิได้มีเพียงเท่านี้ บนเก้าอี้ด้านข้าง ในห่อผ้าขนาดใหญ่มีร่างคนอยู่ในนั้นร่างหนึ่ง ถึงแม้จะเห็นหน้าไม่ชัด แต่มองจากรูปร่างแล้วก็ดูออกว่าเป็นสตรี สตรีที่สามารถทำให้เฟิ่งจือเหยาพากลับมายามวิกาล จะเป็นผู้ใดไปได้ แค่เยี่ยหลีคิด ก็ให้รู้สึกปวดหัวมากกว่าเดิม
สตรีที่เอนซบอยู่กับเก้าอี้ดูจะยังไม่ได้สติ เยี่ยหลีเดินเข้าไปเปิดผ้าคลุมที่คลุมหน้านางอยู่ออก เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามและสวยสง่าของสตรี หากมิใช่ฮองเฮาที่นางเพิ่งพบหน้าวันนี้แล้วจะเป็นผู้ใดไปได้
“เหลวไหล!” เยี่ยหลีหันมาถลึงตาใส่เฟิ่งจือเหยาพร้อมเอ่ยดุเสียงเบา
เฟิ่งจือเหยาหาได้สนใจไม่ หันมากระตุกยิ้มมุมปากให้กับนาง ในดวงตาขี้เล่นเมื่อในวันวาน เผยให้เห็นแววจนใจและเสียใจอยู่ลึกๆ ถึงแม้จะเป็นเยี่ยหลีก็ทนพูดอันใดต่อไปไม่ได้
นางระบายลมหายใจออกมาทีหนึ่ง ก่อนเยี่ยหลีจะเอ่ยถามว่า “เจ้าพาตัวนางออกมาเช่นนี้ นางยินยอมแล้วหรือ”
เฟิ่งจือเหยาเงียบเป็นคำตอบ
เยี่ยหลีเข้าใจทันทีว่าเขามิได้สนใจว่าฮองเฮาจะยินยอมหรือไม่ เพียงทำให้นางสลบและพาตัวออกจากวังมาทันที
เมื่อเห็นม่อซิวเหยาที่ดูจะยิ่งโกรธเกรี้ยวขึ้นไปอีก เยี่ยหลีก็ได้แต่เดินเข้าไปจับมือเขาไว้เงียบๆ แล้วดึงเขาไปนั่งลงข้างหนึ่ง มิเช่นนั้นเยี่ยหลีก็ไม่อาจรับประกันได้ว่า ม่อซิวเหยาที่กำลังโกรธจัดจะพุ่งฝ่ามือเข้าใส่เฟิ่งจือเหยาอีกสักทีหรือไม่
“เจ้าใจกล้ามากสินะ เหตุใดข้าถึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณชายเฟิ่งซานมีจิตใจที่หาญกล้าเพียงนี้” ม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ข้างเยี่ยหลี ข่มความโกรธเอาไว้ ถลึงตาจ้องเฟิ่งจือเหยาพลางเอ่ยเสียงเย็นขึ้น
เฟิ่งจือเหยายิ้มบางๆ แต่กลับไม่เห็นแววพราวเสน่ห์ดังเช่นในวันวานอีก เหลือเพียงแววจนใจและหดหู่จางๆ ให้ได้เห็น “ข้าจะรับผิดชอบเรื่องที่ข้าทำลงไปเอง จะไม่ทำให้ตำหนักติ้งอ๋องลำบากไปด้วย”
เพล้ง! ม่อซิวเหยาตบโต๊ะข้างตัวดังปัง โต๊ะยังไม่เป็นอันใด แต่ของที่วางประดับอยู่บนโต๊ะกับถ้วยชากลับแตกละเอียดลงทันที
ม่อซิวเหยาโกรธจัดจนยิ้มออกมา “ดี…ดีมาก! เฟิ่งซาน เจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ จะไม่ให้ตำหนักติ้งอ๋องลำบากไปด้วย? ในเมื่อเจ้าเก่งกาจถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่พาตัวนางออกจากเมืองหลวงไปเสียเลยเล่า”
เฟิ่งจือเหยานิ่งเงียบ ยามนี้ประตูเมืองปิดสนิทแล้ว อีกทั้งในเมืองหลวงยามนี้ก็มีการวางเวรยามอย่างแน่นหนา ออกไปคนเดียวยังพอว่า แต่หากจะพาคนที่สลบไสลไม่ได้สติออกจากเมืองไปด้วยคงจะทำไม่ได้
เฟิ่งจือเหยาหลับตาลงอย่างอ่อนล้า “ซิวเหยา ขอโทษด้วย เพียงแต่…ข้าไม่เสียใจที่ทำเช่นนี้”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ เอ่ยกับเขาเรียบๆ ว่า “เสียแรงที่คุณชายเฟิ่งซานชื่นชมตนเองว่าเป็นคนฉลาด ก่อนลงมือเจ้าไม่ได้คิดหาทางถอยไว้หรือ แค่เพียงใจร้อนขึ้นมาชั่วขณะ ก็บุกเข้าวังไปลักพาตัวคนมาเช่นนี้หรือ”
เฟิ่งจือเหยารู้สึกละอายใจเล็กน้อย เขาไม่ได้คิดอันใดมากเลยจริงๆ วันนี้เขาลอบเข้าไปหาฮองเฮา และถูกฮองเฮาบอกปัดกลับมาทุกทาง เขายิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ ด้วยอารามโกรธ จึงกลับเข้าไปในวังอีกครั้งแล้วลักพาตัวคนออกมาเสียเลย แต่ที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ ม่อซิวเหยาจะโกรธจัดถึงเพียงนี้ และมิใช่ด้วยเพราะเขาเข้าวังไปลักพาตัวคน แต่เป็นเพราะก่อนที่เขาจะลักพาตัวคน เขาไม่วางแผนให้ดีเสียก่อน
“เช่นนั้น…ยามนี้ควรทำเช่นไร” เมื่อเข้าใจถึงความคิดของม่อซิวเหยาแล้ว เฟิ่งจือเหยาก็ไม่รั้นต่อไปอีก เรื่องความฉลาดเจ้าแผนการ เขายังอ่อนด้อยกว่าม่อซิวเหยาอยู่มาก เขายอมรับความจริงข้อนี้เป็นอย่างดี
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “อาศัยช่วยที่ยังไม่มีใครรู้ตัว ส่งกลับไปดีหรือไม่”
“ไม่ได้!” เฟิ่งจือเหยารีบตอบ กว่าเขาจะพาตัวนางออกมาได้ก็ไม่ง่าย จะให้ส่งกลับเข้าไปอีก ครั้งหน้าเขาไม่กล้ารับประกันว่าจะมีความกล้าเช่นนี้อีก อีกอย่างที่เขาพาตัวนางออกมา ก็มิใช่เพียงเพราะความรู้สึกเล็กน้อยส่วนนั้น แต่ด้วยเพราะเขารู้ดีว่า ชีวิตในวังของนางต่อจากนี้จะไม่สุขสบายอีกแล้ว ต่อให้นางยังไม่ยอมรับในตัวเขา แต่อย่างน้อยเขาก็หวังว่านางจะได้มีชีวิตที่สุขสบายและมีความสุข อย่างน้อย…เขาก็ยังพอมีหวังมิใช่หรือ
ม่อซิวเหยาหันมองท้องฟ้า นี่ก็ยามห้าแล้ว จึงส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ทันการแล้ว อย่างมากอีกไม่เกินครึ่งชั่วยาม ก็จะมีคนรู้แล้วว่าฮองเฮาหายตัวไป”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นควรทำเช่นไร ส่งตัวนางออกจากเมืองหลวงไปตอนนี้หรือ”
ยามนี้ฟ้าใกล้สางแต่ก็ยังไม่สว่าง มิใช่ช่วงเวลาที่ดีที่จะออกจากเมืองหลวง แต่หากพลาดช่วงเวลาสุดท้ายไป หากมีผู้ใดพบว่าฮองเฮาหายตัวไป เกรงว่าเมืองหลวงคงยิ่งยากจะเข้าออก
“ยามนี้นางยังไปไหนไม่ได้ นิสัยของฮองเฮาพวกเราต่างรู้ดี มิใช่คนที่ไปแล้วก็จะไปลับ ต่อให้ยามนี้ส่งตัวนางออกนอกเมืองไป นางก็จะกลับมาเองอย่างแน่นอน” ม่อซิวเหยาส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้น
“ให้อยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องไปก่อนชั่วคราวก็แล้วกัน ถึงอย่างไรหากฮองเฮาหายตัวไป ก็ไม่มีผู้ใดกล้าค้นตำหนักติ้งอ๋องอยู่ดี” และโชคดีที่องครักษ์และบ่าวไพร่ในตำหนักติ้งอ๋องล้วนเป็นคนที่เชื่อใจได้ อีกทั้งยามที่เฟิ่งจือเหยากลับมาก็เป็นยามดึกสงัด มิเช่นนั้นเรื่องในคืนนี้เกรงว่าคงได้เหมือนกับยามที่ม่อจิ่งหลีเตะบุตรชายตนเองตาย ที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ข่าวก็แพร่ออกไปทั่วทั้งซอกเล็กซอกน้อยในเมืองหลวงเสียแล้ว
“ขอบพระคุณท่านอ๋อง ขอบพระคุณพระชายา” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยด้วยความยินดี
เยี่ยหลีโบกมือเอ่ยว่า “เอาเถิด เจ้าหาที่ให้นางพักก่อนก็แล้วกัน เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว นี่ยังพอมีเวลาพักผ่อนสักหน่อยเถิด”
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง อุ้มฮองเฮาที่ยังไม่ได้สติขึ้นมาพาหมุนตัวเดินออกนอกประตูไป
ในศาลาดอกไม้ เยี่ยหลีหันไปเลิกคิ้วเอ่ยกับม่อซิวเหยาว่า “นี่หรือที่ท่านอ๋องเรียกว่ารู้จักอันใดควรไม่ควร” หากการลักพาตัวฮองเฮาแห่งแคว้นยังเรียกว่ารู้จักอันใดควรไม่ควร เช่นนั้นยังมีเรื่องใดที่เรียกว่าไม่สมควรอยู่อีกหรือ
ม่อซิวเหยาได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ “ตลอดชีวิตของเฟิ่งซาน ก็คงมีครั้งนี้ที่ไม่ถูกไม่ควรที่สุดแล้วกระมัง”
เมื่อปล่อยให้เฟิ่งจือเหยาพาตัวฮองเฮาไปพักผ่อนแล้ว เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาก็ไม่ได้เข้าไปวุ่นวายอีก ทั้งสองจูงมือกันกลับไปพักผ่อนที่เรือนของตนเอง ยังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยามก็มีคนมาเรียกที่ประตู
“ท่านอ๋อง พระชายา ฮว่ากั๋วกงมาขอพบพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาหันมาสบตากัน ก่อนม่อซิวเหยาจะลุกขึ้นเอ่ยว่า “เชิญฮว่ากั๋วกงที่ห้องหนังสือ ข้าจะตามไปเดี๋ยวนี้”
เยี่ยหลียื่นมือไปดึงม่อซิวเหยาไว้ ส่งยิ้มน้อยๆ ให้เขา “ไปด้วยกันเถิด”
ม่อซิวเหยาก็ไม่คัดค้านอันใด ทั้งสองจึงผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้วตรงไปที่ห้องหนังสือทันที
ฮว่ากั๋วกงที่ได้รับเชิญไปยังห้องหนังสือกลับนั่งไม่ติด ใบหน้าที่แก่ชรากับหนวดผมที่ขาวยิ่งทำให้ดูอ่อนล้าลงไปมาก ดวงตาที่เริ่มพร่ามัวเต็มไปด้วยความร้อนใจและเป็นกังวล เมื่อเห็นเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาเดินจูงมือกันเข้ามา ก็รีบลุกขึ้นก้าวเข้าไปหาทันที “ท่านอ๋อง พระชายา”
ม่อซิวเหยายกมือขึ้นพยุงฮว่ากั๋วกงไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอย่างน้อยนักจะได้ยินว่า “เหตุใดกั๋วกงถึงได้มาแต่เช้าเช่นนี้ มีเรื่องอันใดหรือ”
ฮว่ากั๋วกงถอนใจด้วยความเศร้าโศก ยิ้มขื่นเอ่ยว่า “มิใช่เพราะเกิดเรื่องใหญ่หรอกหรือ มิเช่นนั้นคนแก่อย่างข้าจะมาหาถึงที่แต่เช้าอย่างไม่รู้จักกาละเทศะเช่นนี้ได้อย่างไร”
ทั้งสองเข้าพยุงฮว่ากั๋วกงให้นั่งลงกันคนละข้าง แล้วถึงได้นั่งลงตาม
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “กั๋วกงผู้เฒ่าพูดอันใดเช่นนั้น ไม่ว่าท่านจะมาในเวลาใด พวกเราก็ต้อนรับท่านทั้งสิ้น ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ฮว่ากั๋วกงก็ไม่มีแก่ใจมาเกรงใจอีก เอ่ยเสียงขรึมว่า “ฮองเฮาหายตัวไป”
ถึงแม้จะรู้แต่แรกแล้วว่า ที่ฮว่ากั๋วกงมาที่นี่จะต้องเพราะด้วยเรื่องนี้ แต่เมื่อถึงคราวต้องเอ่ยออกมาจริงๆ พวกเขาก็ไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไร
ครู่ใหญ่ เยี่ยหลีถึงได้ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “กั๋วกงผู้เฒ่า…ฮองเฮา อยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องนี่เอง”