ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 59-1 ดอกเดียวรู้แพ้รู้ชนะ

         ณ ลานโล่งแห่งหนึ่งในอุทยาน มีผู้คนยืนกันอยู่เต็มไปหมด ไกลออกไปอีกหน่อยแม้แต่นางกำนัลและขันทีที่ว่างจากงานยังมาคอยแอบเมียงมองความคึกคักที่น้อยครั้งนักจะเกิดขึ้นในวังหลวง ม่อจิ่งฉีและฮองเฮาพาพระสนมรวมถึงขุนนางและฮูหยิน รวมถึงสตรีชนชั้นสูงที่มาร่วมงานเลี้ยงกลุ่มใหญ่มาร่วมเป็นพยานให้กับพระชายาติ้งอ๋องและองค์หญิงหลิงอวิ๋นด้วย ทำให้ในอุทยานเกิดเสียงจ้อกแจ้กจอแจขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ด้วยเพราะจำนวนคนมากเกินไป ทำให้มีเพียงฮ่องเต้ ฮองเฮา พระสนม และราชนิกุลที่มียศศักดิ์สูงส่งเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้นั่งดู ส่วนคนอื่นๆ ได้แต่เพียงยืนดูเท่านั้น แต่ทุกคนต่างก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ทุกคนต่างจ้องมองสตรีสองนางที่อยู่กลางลานด้วยความตื่นเต้น ชายาติ้งอ๋องไม่ได้ขอให้ตั้งเป้าธนู เช่นนั้นจะประลองกันอย่างไรเล่า 

 

 

           หลิ่วกุ้ยเฟยนั่งอยู่ข้างองค์ฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย สายตาเยือกเย็นที่มองไปยังเยี่ยหลีดูมีแววพินิจพิเคราะห์อยู่หลายส่วน ม่อจิ่งฉีก้มหน้าลงมองสีหน้าสนมรัก ก่อนหัวเราะเสียงเบา “สนมรักกำลังมองอะไรอยู่หรือ ดูท่าสนมรักจะชอบชายาติ้งอ๋องมาก”  

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว “ฝ่าบาททรงล้อหม่อมฉันเล่นแล้ว หม่อมฉันเพียงแค่นึกสงสัยเท่านั้นเพคะ”  

 

 

ม่อจิ่งฉีหัวเราะเสียงดังลั่น “คนที่สามารถทำให้สนมรักนึกสงสัยได้มีไม่มากนัก แต่เท่าที่ข้าดู เกรงว่าชายาติ้งอ๋องไม่ทางที่จะชนะได้หรอก”  

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยเลิกคิ้ว แต่ยังคงสงบและเยือกเย็นดังเช่นปกติ แววตาม่อจิ่งฉีมีประกายร้อนแรงขึ้น พูดต่อว่า “องค์หญิงหลิงอวิ๋นเป็นธิดาคนโปรดของฮ่องเต้แคว้นซีหลิง ได้เรียนรู้วิชาทั้งบุ๋นและบู๊มาตั้งแต่เล็กๆ ที่แคว้นซีหลิง ฝีมือยิงธนูของนางโด่งดั่งเสียยิ่งกว่าเพลงกระบี่เสียอีก” 

 

 

           “หากนางแพ้จะมีผลดีกับฝ่าบาทอย่างไรหรือเพคะ” หลิ่วกุ้ยเฟยถามเรียบๆ 

 

 

           ม่อจิ่งฉียิ้มแต่ไม่พูดอะไร เขาเลื่อนสายตาไปมองม่อซิวเหยาที่นั่งเงียบอยู่ห่างไปไม่ไกล สายตาขรึมลง 

 

 

           “ท่านอ๋อง…” ข้างกายม่อซิวเหยา ชิงซวงมองเยี่ยหลีที่กำลังเตรียมตัวอยู่กลางลานด้วยความร้อนใจ นางติดตามคุณหนูมาก็หลายปี เหตุใดชิงซวงจะไม่รู้ว่า คุณหนูของตนแทบจะไม่เคยเรียนการยิงธนูเลย อย่างมากมีแค่เล่นๆ กับคุณชายสามที่บ้านตระกูลสวีเท่านั้น แล้วจะชนะองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่ตรากตรำฝึกฝนมาได้อย่างไร 

 

 

           ม่อซิวเหยาเพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “นิ่งไว้ก่อนอย่างเพิ่งตื่นตูมไป” 

 

 

           เหลยเถิงเฟิงนั่งอยู่ข้างๆ มองสีหน้าเรียบเฉยของม่อซิวเหยาแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว หรือว่าชายาติ้งอ๋องจะมีไม้ตายอะไรอย่างนั้นหรือ แต่ว่าไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีต่อแคว้นซีหลิงของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เหลยเถิงเฟิงอดไม่ได้ที่จะนึกก่นด่าอยู่ในใจ พระปิตุลาท่านทรงเลอะเลือนไปแล้วหรือไร เหตุใดจึงได้เลือกให้หลิงอวิ๋นมาอยู่ที่ต้าฉู่ เพราะแม้แต่องค์หญิงที่ไม่เป็นที่โปรดปรานที่สุดในวังหลวงของซีหลิงยังรู้ประสามากกว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นร้อยเท่า “ติ้งอ๋อง เรื่องนี้ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะความไม่รู้ประสาของหลิงอวิ๋น ข้าน้อยได้ยินว่าชายาติ้งอ๋องเป็นถึงหญิงสาวมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง แต่ไม่ชำนาญวิชาการต่อสู้ การประลองครั้งนี้อาจไม่ยุติธรรมกับพระชายาเท่าไรนัก” 

 

 

           ม่อซิวเหยายิ้ม “ในเมื่ออาหลีเป็นผู้เลือกเอง จะยุติธรรมหรือไม่นั้นย่อมไม่สำคัญ จริงหรือไม่” 

 

 

           “แต่หากเกิดพระชายา…” ม่อซิวเหยามั่นใจมากว่าชายาติ้งอ๋องจะสามารถเอาชนะได้ หรือไม่ได้สนใจว่าตำหนักติ้งอ๋องจะเสียหน้ากันแน่ 

 

 

           “หากอาหลีแพ้ ข้าจะคุกเข่าให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นเป็นเพื่อนนาง!” ม่อซิวเหยาเอ่ยตอบเรียบๆ เหลยเถิงเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงงันจนเก็บสีหน้าไม่อยู่ ก่อนเลื่อนสายตาไปมองสาวงามที่อยู่ในชุดสีเหลืองนวลเช่นเดียวกับติ้งอ๋อง มือที่ถือจอกเหล้าอยู่กำแน่นเข้าโดยไม่รู้ตัว แววตามืดครึ้ม คิ้วคมอย่างชายชาตรีขมวดเข้าหากันแน่น 

 

 

           กลางลานประลอง เยี่ยหลีและองค์หญิงหลิงอวิ๋นต่างกำลังตรวจสอบคันธนูในมือ องค์หญิงหลิงอวิ๋นสำรวจคันธนูในมือตนอย่างคล่องแคล่ว เพียงแค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่เคยยิงธนูมาก่อน แต่เยี่ยหลีกลับสำรวจคันธนูในมืออย่างเงอะๆ งะๆ ลองตรงนั้นจับตรงนี้ ผู้คนที่ยืนดูอยู่รอบๆ จึงอดร้อนใจแทนนางไม่ได้ ชายาติ้งอ๋องรูปร่างระหงบอบบาง กิริยาเชื่องช้าและไม่คุ้นเคยของนางทำให้ผู้คนอดนึกสงสัยไม่ได้ อย่าว่าแต่ยิงธนูเลย ชายาติ้งอ๋องสามารถค้างงันธนูได้หรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

 

 

           “ว่ามาเถิด จะประลองอย่างไร” องค์หญิงหลิงอวิ๋นเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางเชิดคางขึ้นปรายตามองเยี่ยหลีอย่างดูหมิ่น 

 

 

           เยี่ยหลีวางคันธนูของตนลงอย่างรวดเร็ว เงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ ให้องค์หญิงหลิงอวิ๋น “หนึ่งคนต่อธนูหนึ่งดอก ดอกเดียวรู้แพ้รู้ชนะ!” 

 

 

           “ตามสบาย” องค์หญิงหลิงอวิ๋นกระชับคันธนูในมือ “ว่ามา ให้ยิงไปที่ใด ใบไม้ที่ร่วงหล่นหรือนกที่บินอยู่บนท้องฟ้า” 

 

 

           คำพูดขององค์หญิงหลิงอวิ๋นยิ่งทำให้ทุกคนตกใจมากขึ้นไปอีก เพราะนั่นยิ่งทำให้รู้ถึงฝีมือธนูขององค์หญิงองค์นี้ นางสามารถพูดถึงการยิงใบไม้ที่ร่วงหล่นได้อย่างมั่นใจเช่นนี้ ย่อมหมายความว่านางเป็นคนฝีมือดีจริงๆ ฮว่าเทียนเซียงที่ยืนอยู่ข้างฮว่าฮูหยินกำแขนเสื้อตัวเองแน่น อดตื่นเต้นจนเหงื่อซึมแทนเยี่ยหลีไม่ได้ 

 

 

           เยี่ยหลีค่อยๆ ง้างคันธนูของตนช้าๆ “ธนูเป็นอาวุธ ไม่ได้ใช้เพื่อยิงใบไม้หรือยิงนก ดังนั้น…เราจะประลองการยิงคน!” พูดจบก็ยกคันธนูขึ้นเล็งนิ่งไปยังองค์หญิงหลิงอวิ๋น 

 

 

           อะไรนะ! 

 

 

           ทุกคนต่างตกตะลึง มองหญิงสาวที่อยู่กลางลานเล็งธนูไปยังองค์หญิงหลิงอวิ๋นอย่างแม่นยำแม้จะดูไม่ถนัดมือนัก 

 

 

           “เจ้า…เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ล้อเล่นอะไรเช่นนี้” องค์หญิงหลิงอวิ๋นร้องเสียงหลง  

 

 

พวกนางยืนอยู่ห่างกันไม่ถึงห้าสิบก้าว องค์หญิงหลิงอวิ๋นเป็นนักยิงธนูชั้นดีนางย่อมดูออก ถึงแม้ท่าทางของเยี่ยหลีจะดูไม่ทะมัดทะแมงนักแต่ก็ดูรู้ว่าเคยเรียนมา ด้วยระยะเท่านี้ไม่ว่านางหรือเยี่ยหลีโอกาสจะยิงพลาดมีไม่มาก ดังนั้น เยี่ยหลีไม่ได้คิดที่จะประลองธนูกับนางตั้งแต่แรก แต่ต้องการที่จะประลองความกล้า 

 

 

เยี่ยหลียิ้มเย็น “ไม่ว่ากระบี่หรือธนูต่างก็เป็นอาวุธทั้งสิ้น อาวุธนั้นมีไว้ฆ่าฟัน ในเมื่อเป็นการประลอง ย่อมไม่อาจให้เดือดร้อนไปถึงผู้อื่น ดังนั้นจึงต้องรบกวนให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นและข้ายิงธนูใส่กันคนละดอก รับผิดชอบการเจ็บหรือตายด้วยตนเอง!” 

 

 

           “ไม่…” นางไม่อยากสานสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานกับฮ่องเต้และกลายเป็นสนมคนหนึ่งในวังหลวง นางอยากแต่งงานกับติ้งอ๋อง เป็นชายาติ้งอ๋อง แต่นางไม่อยากตายและไม่อยากรับรู้ความรู้สึกของการถูกธนูยิงด้วย 

 

 

           “ชายาติ้งอ๋อง! เรื่องนี้จะเกินกว่าเหตุไปหรือไม่ หากเกิดอะไรไม่คาดคิดขึ้น…” เหลยเถิงเฟิงลุกยืนขึ้นเอ่ยทัดทาน  

 

 

เยี่ยหลีหันไปมอง แล้วอมยิ้ม “ข้าไม่ได้พูดไปแล้วหรือ ว่าต้องรับผิดชอบการเจ็บหรือตายด้วยตนเอง อีกอย่างฝ่าบาทก็ทรงอนุญาตให้ข้ากับองค์หญิงหลิงอวิ๋นประลองกันแล้ว หรือซื่อจื่อต้องการให้ข้ากลืนน้ำลายตนเองต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทและฮองเฮา รวมถึงขุนนางในราชสำนักของต้าฉู่ เช่นนั้นอีกหน่อยตำหนักติ้งอ๋องจะมีหน้าอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างไร” เหลยเถิงเฟิงพูดไม่ออก ท่านไม่ได้บอกก่อนว่าจะต้องเดิมพันด้วยชีวิตนี่ 

 

 

           “แน่นอนว่า หากองค์หญิงหลิงอวิ๋นเกิดกลัว จะยอมแพ้เมื่อไรก็ย่อมได้” สุดท้ายเยี่ยหลีจึงได้พูดเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค และประโยคนี้ย่อมปิดทางถอยทั้งหมดขององค์หญิงหลิงอวิ๋นอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ นางจะยอมแพ้เยี่ยหลีได้อย่างไร นางจึงหลุดปากพูดด้วยสีหน้าโกรธขึ้งและไม่ยอมแพ้  

 

 

“ข้าจะไม่ยอมแพ้เจ้าแน่ ข้ายอมเดิมพัน!” 

 

 

           “ดีมาก เริ่มกันเลยเถิด” เยี่ยหลีพยักหน้ายิ้มๆ ด้วยความพอใจ ไม่รู้เพราะเหตุใด อยู่ๆ องค์หญิงหลิงอวิ๋นก็เกิดไม่กล้าจ้องตานางขึ้นมา มองเมินหลบสายตาไปด้วยความประหม่า 

 

 

           เมื่อเหตุการณ์เกิดกลับตาลปัตรเช่นนี้ ม่อจิ่งฉีเองก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน หลิ่วกุ้ยเฟยมองแผ่นหลังของเยี่ยหลี นัยน์ตามีแววชื่นชมอย่างไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน “หม่อมฉันกลับเห็นว่าโอกาสชนะของชายาติ้งอ๋องมีไม่น้อยทีเดียว”  

 

 

ฮองเฮาก็ทราบดีว่า ถึงแม้หลิ่วกุ้ยเฟยจะอยู่ในตระกูลขุนนางสายบุ๋น แต่นางกลับเป็นสตรีที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊อย่างที่หาได้ยาก จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้ว่า “กุ้ยเฟยคิดว่าชายาติ้งอ๋องจะชนะหรือ”  

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยตอบว่า “องค์หญิงหลิงอวิ๋นคนนี้ไม่ได้ใจกล้าจริงดั่งที่นางแสดงออกมา” 

 

 

           “ถ้าเช่นนั้น ก็ทำตามที่ชายาติ้งอ๋องว่า” ม่อจิ่งฉีลุกขึ้นเอ่ย “ดอกเดียวตัดสินแพ้ชนะ ยิงพลาดหรือหลบหลีกถือว่าแพ้ทั้งคู่ เริ่มได้” 

 

 

           ภายในอุทยานเงียบกริบ ขันทีผู้ให้สัญญาณยืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน เอ่ยเสียงแหลมขึ้น “พระชายา องค์หญิง เชิญเตรียมตัวได้” จากนั้นจึงรีบเร่งฝีเท้าออกไปจากลานประลอง 

 

 

           “หนึ่ง…” 

 

 

           ทั้งสองง้างธนูขึ้นพร้อมกัน ที่ทำให้ทุกคนตกใจนั้นคือการที่ชายาติ้งอ๋องผู้ดูเรียบร้อยและบอบบางกลับง้างคันธนูได้โดยไม่ลำบากเลย 

 

 

           “สอง…” 

 

 

           องค์หญิงหลิงอวิ๋นง้างธนูออกจนสุด เล็งผ่านปลายธนูไปยังหญิงสาวฝั่งตรงข้าม นางมั่นใจเป็นอย่างมาก หากนางยิงธนูดอกนี้ออกไป จะต้องทำให้ชายาติ้งอ๋องที่ไม่รู้จักประเมินตนเองคนนี้สิ้นชีพอย่างแน่นอน ขอเพียง…ยิงธนูดอกนี้ออกไป! ทันใดนั้น นิ้วที่ง้างคันธนูขององค์หญิงหลิงอวิ๋นก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง นางเห็นสายตาของหญิงสาวที่อยู่อีกด้านอย่างชัดเจน สายตาที่เยือกเย็นดุจหิมะ ทำให้หัวใจของนางเหมือนตกลงไปอยู่ในสายน้ำอันเย็นเยียบ เยี่ยหลีในสายตาขององค์หญิงหลิงอวิ๋นดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ประหนึ่งมีรังสีอำมหิตและความมั่นใจว่าตนจะต้องยิงถูกแผ่ออกมาอย่างไม่สามารถจะต้านทานได้ นางเพียงมองตนด้วยความสงบนิ่งเท่านั้น ประหนึ่งไม่เห็นธนูที่เล็งมายังนางดอกนั้นอยู่ในสายตา เหมือนนางแน่ใจว่าธนูดอกนั้นจะยิงมาไม่ถูกนางอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งเมื่อคิดเช่นนี้ องค์หญิงยิ่งเหลือบมองไปทางปลายธนูของเยี่ยหลีอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ นางเริ่มรู้สึกหมดหวัง เมื่อค้นพบว่า หากนางไม่หลบ ต่อให้เยี่ยหลีเป็นมือใหม่ แต่ธนูดอกนั้นจะต้องยิงถูกตัวนางแน่นอน 

 

 

           หน้าผากขององค์หญิงหลิงอวิ๋นไม่รู้ว่ามีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมาตั้งแต่เมื่อไร 

 

 

           เยี่ยหลีค่อยๆ สัมผัสถึงคันธนูที่อยู่ในมือ ถึงแม้จะยังไม่ค่อยถนัดมือนัก ยิ่งเทียบไม่ได้กับปืนที่ตนใช้สู้รบมาหลายปีจนคุ้นมือ แต่นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่มายังชาตินี้ที่นางได้ยิงตัดสิน ถึงแม้จะเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่เล่นให้เด็กสาวคนหนึ่งดู แต่ก็อดทำให้นางรู้สึกพอใจและยินดีไม่ได้ เมื่อมองตามปลายธนูไป นางเห็นสายตาหวาดหวั่นในดวงตาองค์หญิงหลิงอวิ๋นอย่างชัดเจน มุมปากนางจึงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย 

 

 

           ดูเหมือนทุกคนจะกลั้นใจรอการมาถึงของการนับครั้งสุดท้าย เหลยเถิงเฟิงจ้องนิ่งอยู่ที่องค์หญิงหลิงอวิ๋น และด้วยเพราะมุมที่นั่งอยู่ทำให้เขาไม่เห็นสีหน้าของเยี่ยหลี แต่เมื่อดูจากภาษาท่าทางแล้ว เขามองออกว่าเยี่ยหลีไม่คุ้นเคยกับการยิงธนู ด้วยความสามารถของหลิงอวิ๋นควรจะต้องมั่นใจมาก แต่ทำไมนางจึงดูตื่นเต้นเช่นนั้น 

 

 

           ม่อซิวเหยานั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นอย่างสงบนิ่ง มือทั้งสองข้างวางสบายๆ อยู่บนที่เท้าแขน แต่หากมีใครได้ลองสังเกตดีๆ แล้วพบว่ามือขวาของเขามีบางอย่างซ่อนอยู่ สายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่องค์หญิงหลิงอวิ๋นเช่นกัน ทว่าไม่ได้จ้องไปที่ใบหน้าขององค์หญิงหลิงอวิ๋น แต่เป็นที่ปลายธนูของนาง 

 

 

           ข้าไม่มีทางแพ้…องค์หญิงหลิงอวิ๋นพยายามบังคับตัวเองอย่างยิ่งยวดไม่ให้ไปสนใจธนูของเยี่ยหลี นางลอบกลืนน้ำลายพร้อมเอ่ยให้กำลังใจตนเองในใจไม่หยุด แต่สายตากลับเผลอหันไปมองปลายธนูของเยี่ยหลีตลอด 

 

 

           “สาม…!” เสียงแหลมเล็กดังขึ้นที่ข้างหู หลิงอวิ๋นเห็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้นของเยี่ยหลีได้อย่างชัดเจน มือง้างออกไกลขึ้นเตรียมปล่อยลูกธนูออกมา ส่วนนางเองก็ง้างคันธนูจนสุดก่อนปล่อยลูกธนูออกไป 

 

 

           “สวบ…” ลูกธนูถากเข้าที่หัวไหล่ของเยี่ยหลี ก่อนตกห่างออกไปไม่ไกล 

 

 

           เป็นไปได้อย่างไร! องค์หญิงหลิงอวิ๋นนิ่งอึ้งไป ที่ยิ่งตกใจไปกว่านั้นคือเยี่ยหลียังไม่ได้ปล่อยลูกธนูออกมา แต่ตนเองกลับหมดโอกาสเสียแล้ว ได้แต่มองใบหน้ายิ้มแย้มของเยี่ยหลีที่มองมายังตน ได้ยินที่นางบอกทางสายตาโดยไม่ต้องพูดว่า “ตาข้าแล้ว…” ที่ยิ่งเห็นชัดไปกว่าคือในดวงตาคู่นั้นไม่มีรอยยิ้มเจืออยู่เลยจนนิดเดียว มีเพียงแววเยือกเย็นที่เย็นเยียบเสียยิ่งกว่าปลายธนูและรังสีอำมหิต นางเห็นเยี่ยหลีออกแรงค่อยๆ ง้างออกจนสุด แล้วปล่อย… 

 

 

           “สวบ…” 

 

 

           “อย่า!” อยู่ดีๆ หลิงอวิ๋นก็ร้องเสียงแหลมขึ้น แม้แต่ภาพลักษณ์ก็ไม่สนใจที่จะรักษาอีก ถึงขั้นเอามือกอดศีรษะนั่งลงกับพื้น ลูกธนูปักลงที่พื้นหน้าตนห่างไปหนึ่งก้าว องค์หญิงหลิงอวิ๋นมองลูกธนูที่สั่นไหวน้อยๆ ด้วยความตระหนก แล้วจู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมา 

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset