กว่าหนึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดฝนก็หยุดลง อากาศทางหนานเจียงนั้นฝนมาเร็วและฟ้าก็ใสเร็วเช่นกัน ฝนหยุดได้ไม่เท่าไรความอบอุ่นจากแสงแดดก็สาดส่องลงมายังพื้นดินอย่างร่วดเร็ว พื้นดินที่เมื่อครู่ถูกน้ำฝนชะล้างไป มีกลิ่นอายแห่งความสดชื่นของดินกระจายอยู่ทั่วไปหมด หากไม่มีกลิ่นหอมที่ดูเหมือนจะลอยเข้าจมูกตลอดเวลาแล้วคงน่ารื่นรมย์ยิ่งกว่านี้
ฝนเพิ่งหยุดได้ไม่เท่าไร องครักษ์ลับสามก็เดินออกมาจากในห้องทันที เมื่อเห็นทั้งสาม ที่นั่งอยู่สองคนและยืนอยู่หนึ่งคนภายในห้องโถง สีหน้าเขากลับดูไม่แปลกใจเลยที่มีคนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง เยี่ยหลีชี้นิ้วไปที่อาหารแห้งที่วางอยู่บนโต๊ะ “หาอะไรลงท้องก่อนเถิด ดูท่าวันนี้เจ้าบ้านเขาคงไม่เอาอาหารเช้ามาให้เราแล้ว”
องครักษ์ลับสามพยักหน้าแล้วจึงนั่งลงใส่อาหารลงท้องด้วยท่าทางไม่รีบร้อนท่ามกลางสายตาของทุกคน
บัณฑิตขี้โรคมองท่าทางกินเรื่อยๆ ขององครักษ์ลับสามด้วยความสนใจ ก่อนหันไปยิ้มแล้วพูดกับเยี่ยหลีว่า “คุณชายฉู่มีคนฝีมือดีอย่างองครักษ์จั๋วคอยอารักขา ท่านถึงได้กล้าเดินทางมาหนานเจียงคนเดียว พี่จั๋วนี่ท่านเพิ่งตื่นใช่หรือไม่ เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืนเลยหรือ”
องครักษ์ลับสามเงยหน้าขึ้นพูดเรียบๆ ว่า “คุณชายพาข้ามาด้วยเพียงคนเดียว ย่อมต้องระมัดระวังเป็นธรรมดา” แววตาบัณฑิตขี้โรคนิ่งขรึมไป องครักษ์เช่นเขาคนนี้มีเพียงคนเดียวก็ว่ายากแล้ว ตามที่จั๋วจิ้งพูด ปกติฉู่จวินเหวยคงมีผู้ติดตามอยู่ไม่น้อย ตอนนี้ที่พาผู้ติดตามมาเพียงคนเดียว ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ เช่นนั้น…ฐานะของฉู่จวินเหวยเกรงว่าคงไม่ธรรมดา เขาหันไปเหลือบมองหานหมิงซีที่นั่งอยู่ข้างๆ คนที่สามารถคบค้ากับน้องชายของนายใหญ่แห่งเทียนอี้เก๋อได้ย่อมมิใช่คนธรรมดา
หานหมิงซีรับรู้ได้ถึงสายตาของบัณฑิตขี้โรคจึงหันไปยิ้มอย่างใสซื่อให้เขา อย่าได้ถามเขาเชียวนา เขาเองก็ไม่รู้ถึงฐานะของจวินเหวยเช่นเดียวกัน
เมื่อทั้งสี่เก็บของเรียบร้อยแล้วจึงได้เดินทางออกจากตึกเล็กหลังนั้นไป แสงแดดจากภายนอกทำให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยคว้างอยู่ในอากาศค่อยๆ ฉุนขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยฤทธิ์ยาถอนพิษที่บัณฑิตขี้โรคให้ไว้ กลิ่นเหล่านั้นจึงไม่มีผลกระทบใดๆ กับทั้งสี่คน
เมื่อเดินไปถึงตึกเล็กข้างๆ นายท่านเหลียงกับพ่อบ้าน รวมถึงองครักษ์ที่ชื่อเจิ้งขุยต่างไม่อยู่แล้วตามที่พวกเขาคาดไว้ หานหมิงซีมองหน้าบัณฑิตขี้โรคอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ดูท่าพวกเขาคงไปกันได้อย่างน้อยหนึ่งชั่วยามแล้ว แล้วอย่างนี้ท่านจะไปหาพกวเขาได้อย่างไร” หากมีคนท้องที่ที่เจนทางคอยนำทางให้ เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วยามต่อให้เดินทางท่ามกลางสายฝนก็สามารถเดินทางไปได้ไกลโขแล้ว
มุมปากของบัณฑิตขี้โรคยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างโหดเ**้ยม แล้วจึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ขอเพียงพวกเขายังอยู่ในเขตหนานเจียง อย่างไรก็มิอาจรอดพ้นจากเงื้อมือของข้าได้ อีกอย่าง…เจ้าคิดว่าเหตุใดพวกมันถึงต้องมารอพวกเราที่นี่ นั่นเพราะที่ที่พวกมันจะไปอยู่ห่างจากที่นี่ไปไม่มีทางเกินยี่สิบลี้อย่างแน่นอน”
บัณฑิตขี้โรคค่อยๆ หยิบกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งจากเสื้อออกมาเปิด มีผีเสื้อกลางคืนสีเขียวตัวเล็กๆ บินออกมาจากภายในกล่อง ผีเสื้อกลางคืนกระพือปีกขึ้นลงสองครั้ง ก่อนไปหยุดอยู่ตรงขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ ที่เปิดอยู่ในมือของบัณฑิตขี้โรค ก่อนบินขึ้นอีกครั้ง แล้วจึงบินลึกเข้าไปในค่ายนั้น
“ไปกันเถิด” บัณฑิตขี้โรคเก็บขวดยาเล็กๆ ของตนกลับเข้าเสื้อด้วยความพอใจ แล้วจึงหันมาพูดกับทั้งสาม
ทั้งสามคนเดินตามทางที่ผีเสื้อกลางคืนบินไป ไม่เหลือคนอยู่ในค่ายแล้วตามที่คิดไว้ เมื่อคืนเพราะมืดเกินไปจึงไม่มีใครทันสังเกตว่า ในค่ายๆ นี้ นอกจากโรงเรือนเล็กๆ สองโรงที่พวกเขาพักอยู่กันแล้ว บ้านหลังอื่นๆ ต่างมีสภาพซอมซ่อ ไม่เหมือนค่ายที่มีประชากรอยู่รวมกันเอาเสียเลย เป็นเหมือนบ้านพักชั่วคราวเสียมากกว่า
ผีเสื้อกลางคืนบินลึกขึ้นไปตามภูเขา งูและแมลงมีพิษตามทาง ล้มตายจากยาพิษที่มีฤทธิ์ร้ายแรงของบัณฑิตขี้โรค เมื่อไม่มีคนคอยสั่งการ พวกงูและแมลงเหล่านี้ต่างก็รักชีวิตตนเองจึงมิได้รวมกลุ่มล้อมเข้ามาจ้องจะทำร้ายพวกเขาอีก เมื่อเดินไปได้เกือบครึ่งชั่วยาม ผีเสื้อกลางคืนก็หยุดบินอยู่บริเวณริมหน้าผา หันมาบินวนไปมารอบตัวบัณฑิตขี้โรคไม่ยอมบินต่อไปอีก
“คงมิใช่ว่าผีเสื้อกลางคืนของคุณชายพาเดินมาผิดทางกระมัง” หานหมิงซีพูดขึ้นยิ้มๆ
บัณฑิตขี้โรคปรายตามองเขา ก่อนเก็บผีเสื้อตัวน้อยกลับเข้ากล่องแล้วหันมาพูดกับหานหมิงซีว่า “ลงไป”
“ลงไปหรือ” หานหมิงซีถึงกับอึ้งไป ก่อนตั้งสติได้อย่างรวดเร็วแล้วจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าคาดไม่ถึงว่า “ท่านบอกว่าให้ข้าลงไปหรือ! ท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด ที่นี่คือหนานเจียงนะ ผู้ใดจะไปรู้ว่าจะต้องลงไปลึกเพียงใด มีผู้ใดรู้บ้างว่าลงไปนี่จะมีงูพิษหรือสัตว์ประหลาดอันใดบ้าง ท่านจะให้ข้าลงไปหรือ!”
บัณฑิตขี้โรคพูดว่า “วิชาตัวเบาของท่านเก่งกาจที่สุด มิเช่นนั้น จะให้คุณชายฉู่ลงไปก่อนหรือ”
ใบหน้าหล่อเหลาของหานหมิงซีแข็งเป็นหิน มองบัณฑิตขี้โรคลูบไล้นิ้วมือซ้ายของตนเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ก่อนเหลือบไปมองเยี่ยหลีกับองครักษ์ลับสามที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ถึงแม้จะรู้จักกันได้เพียงไม่เท่าไร แต่หานหมิงซีก็รู้ดีว่าวิชาตัวเบาของจวินเหวยนั้นไม่ถือว่าดีเท่าไรนัก หากลงไปแล้วเกิดอันใดขึ้นเกรงว่าคงจะไม่ทันได้เอาชีวิตรอด จึงได้แต่ส่งเสียงเหอะๆ เบาๆ อย่างไม่เห็นขันด้วย “ลงไปก็ลงไป ท่านรอข้าอยู่นี่นะ!” รอให้ไปจากหนานเจียงก่อนเถิด ข้าจะจัดการคิดบัญชีกับเจ้า!
หานหมิงซีแตะเท้าลงเบาๆ ก่อนตัวเขาจะลอยขึ้นประหนึ่งผีเสื้อสีแดงตัวยักษ์ กระโดดหมุนตัวลงหุบเขาไป บัณฑิตขี้โรคเอ่ยชื่นชมขึ้นเบาๆ ว่า “วิชาตัวเบาของคุณชายรองหานนี้ ร้ายกาจกว่าของคุณชายหมิงเย่ว์อยู่มากจริงๆ เสียด้วย” แต่ก็เพียงวิชาตัวเบาเท่านั้น เมื่อเทียบกับคุณชายหมิงเย่ว์ที่มีทั้งความเจ้าแผนการ ความคิดความอ่านล้ำลึก และสามารถพลิกลิ้นได้ตลอดเวลาแล้ว บัณฑิตขี้โรคจึงไม่ค่อยเห็นหานหมิงซีอยู่ในสายตาสักเท่าไร เขาเพียงเห็นแก่ฐานะของคุณชายหมิงเย่ว์ และสัญญาว่าจะไม่ทำให้หานหมิงซีต้องตาย หรือทำให้ท่านหัวหน้าสำนักลำบากใจที่ต้องไปบอกกับคุณชายเฟิงเย่ว์เท่านั้น
“จั๋วจิ้ง” เยี่ยหลีขมวดคิ้วยืนอยู่ริมหน้าผาพร้อมมองลงไปด้านล่าง แต่ก็เห็นเพียงกลุ่มเมฆสีขาวปุย จนแทบมองไม่เห็นทัศนียภาพเบื้องล่าง หุบเขานี้เกรงว่าจะลึกเสียยิ่งกว่าหน้าผาที่ยอดเขาเฮยอวิ๋นสักเท่าหนึ่งได้ หากคิดอยากอาศัยเพียงกำลังภายในในการลงไปด้านล่างเกรงว่าคงจะเป็นไปไม่ได้
องครักษ์ลับสามเดินเข้ามายื่นมือออกไปนอกหน้าผา ของบางอย่างที่ผูกอยู่ปลายเชือกสีเงินร่วงลงไปยังหุบเหวด้วยความรวดเร็ว พักใหญ่จึงเห็นองครักษ์ลับสามค่อยๆ ม้วนเชือกเก็บเข้ามาในฝ่ามือ พร้อมหันไปพูดกับเยี่ยหลีว่า “คุณชาย จากนี่ลงไปถึงหุบเขาทางด้านล่าง ลึกอย่างน้อยหนึ่งร้อยจั้ง อีกทั้ง…หินหน้าผายังลื่นมากอีกด้วยขอรับ”
เยี่ยหลีนิ่งเงียบไป หนึ่งร้อยจั้งก็ประมาณสามร้อยเมตรได้ หน้าผาที่สูงชันเช่นนี้แต่กลับเรียบลื่นมาก แม้แต่หญ้าหรือต้นไม้ก็มีไม่มากนัก และดูจะไม่ใช่ต้นไม้ที่ขื้นตามธรรมชาติ ดูท่าว่าผีเสื้อของบัณฑิตขี้โรคจะมิได้นำทางมาผิด
บัณฑิตขี้โรคมองท่าทางขององครักษ์ลับสามด้วยประกายตาแห่งความใคร่รู้ ในขณะที่กำลังจะเปิดปากถามนั้นเองก็มีร่างๆ หนึ่งทะยานขึ้นมาจากทางหุบเขาด้านล่าง ก่อนตกลงสู่พื้นโดยแรง
พอลงพื้นได้ หานหมิงซีก็เอ่ยปากด่าทอขึ้นทันที “เจ้าบัณฑิตขี้โรค! เจ้าคอยดูให้ดี หากเจ้าทำให้ข้าต้องตายที่นี่ ข้ารับประกันว่าคนของเทียนอี้เก๋อจะต้องตามฆ่าเจ้า!”
บัณฑิตขี้โรคสีหน้ายังคงเดิม ดูเขามิได้ใส่ใจคำขู่ของหานหมิงซีเลยแม้แต่น้อย เพียงเอ่ยถามเสียงเย็นว่า “ด้านล่างมีอันใดหรือ”
หานหมิงซียิ้มเย็น “มีอันใดหรือ มีกับผีน่ะสิ ต่อให้มีอันใดจริง วิชาตัวเบาห่วยๆ กับร่างกายห่วยๆ ของเจ้าจะลงไปได้หรือ อย่าหวังจะให้ข้าพาลงไปเชียวนะ นอกเสียแต่ว่าเจ้าอยากตกลงไปกระดูกเหลกเหลวตายพร้อมข้า!” บัณฑิตขี้โรคขมวดคิ้ว ในขณะที่หานหมิงซีพูดจาแดกดันด้วยความมาดร้าย
ดูท่าเมื่อครู่ที่กระโดดลงไปคงไปเจออันตรายมาไม่น้อย การที่จะทำให้เขาลืมความโกรธแค้นที่มีต่อบัณฑิตขี้โรคได้เร็วที่สุด ก็คือการได้พูดจากระทบกระเทียบแดกดันเพื่อทำให้ความโกรธและอาการเสียขวัญของตนสงบลงโดยเร็ว
“พี่หาน” เยี่ยหลีเอ่ยเรียกเสียงขรึม การยั่วโมโหบัณฑิตขี้โรคในตอนนี้ไม่มีประโยชน์อันใดเลย
หานหมิงซีก็มิใช่คนทำอันใดผลีผลาม เมื่อถูกเยี่ยหลีเอ่ยเรียกเตือน จึงรีบข่มความโกรธในใจของตนลง “ด้านล่างหุบเขาเป็นทุ่งดอกไม้ แต่ข้าคิดว่าดอกไม้พวกนั้นน่าจะเป็นดอกไม้มีพิษ ในทุ่งดอกไม้มีงูพิษอยู่เยอะมาก ดูเหมือนจะเป็นทางเข้าไปที่ใดสักแห่ง เพียงแต่…” เขามองบัณฑิตขี้โรคด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “หินตรงหน้าผาถูกคนตั้งใจทำให้แทบไม่มีที่ให้ใช้เป็นแรงส่งอยู่เลย เมื่อครู่ข้ามิได้ล้อเล่น ด้วยวิชาตัวเบาของข้าไม่มีทางที่จะพาคนลงไปยังหุบเขาที่มีแต่งูพิษและสรรพสิ่งที่มีพิษเช่นนี้ได้ ส่วนพวกเจ้าทั้งสามคน…ด้วยวิชาตัวเบาของพวกเจ้า หากคิดอยากลงไปด้วยตนเอง ก็คงทำได้เพียงคาดหวังเท่านั้น” หานหมิงซีค่อนข้างภูมิใจในวิชาตัวเบาของตน
“มิน่า เส้นทางนี้จึงไม่มีแม้แต่คนเฝ้ายามเลยสักคน เพราะมั่นใจว่าอย่างไรพวกเราก็หาทางไม่เจออย่างนั้นหรือ” บัณฑิตขี้โรคนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงขรึมขึ้น หากเมื่อครู่คนที่ลงไปไม่ใช่คนที่มีวิชาตัวเบาที่แก่กล้าอย่างหานหมิงซีแล้ว เกรงว่าพวกเขาทุกคนคงมีแต่ตายกับตายเท่านั้น “จะต้องมีทางอื่นอย่างแน่นอน ข้าไม่เชื่อว่าคนพวกนั้นจะมีวิชาตัวเบาที่แก่กล้ากันทุกคน”
หานหมิงซีเอ่ยด้วยความเย่อหยิ่ง “นั่นย่อมแน่นอน เจ้าคิดว่าวิช่าตัวเบาขั้นสูงนั้นสามารถร่ำเรียนกันได้ง่ายๆ หรือ เพียงแต่…ต่อให้มีเส้นทางอื่น ตอนนี้เจ้าจะหาพบหรือ” พวกเขาต่างไม่มีใครเชี่ยวชาญเรื่องค่ายกล อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ยังเป็นเขตหนานเจียงที่พวกเขาไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ พวกคนหนานเจียงพวกนั้นเองก็มิใช่คนโง่ เขาคงไม่นั่งรอให้พวกเขาหาทางเจอหรอก
“เจ้า…” บัณฑิตขี้โรคขมวดคิ้วมองหานหมิงซี
หานหมิงซีรีบไปหลบหลังจั๋วจิ้ง แม้แต่ศีรษะก็ยังไม่กล้าให้โผล่ออกมา “เจ้าอย่าเรียกข้า ต่อให้ข้าเข้าไปได้ก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องวิทยายุทธ์นั้นข้าอ่อนด้อยนัก ข้าว่าต่อให้ด้านล่างเป็นปากทางเข้าจริง ก็คงใช้วิชาตัวเบาไม่ได้ หากข้าเข้าไปเพียงคนเดียวอยากมากก็เพียงแหวกหญ้าให้งูตื่นเท่านั้น”
“ด้านในคืออันใดกันแน่ ถึงได้สำคัญถึงเพียงนี้” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้น
“เจ้ามีวิธีหรือ” บัณฑิตขี้โรคขมวดคิ้วมองนาง
เยี่ยหลีไม่ตอบ แต่เอ่ยถามคำถามของตนซ้ำอีกครั้ง “สิ่งที่คุณชายต้องการหาคือสิ่งใดกันแน่”
บัณฑิตขี้โรคส่งเสียงเหอะเบาๆ อีกฝั่งมีกันสามคน เขาตัวคนเดียวหากคิดอยากจับตัวฉู่จวินเหวยมาเพื่อต่อรองคงมิใช่เรื่องที่เป็นไปได้นัก พักใหญ่จึงได้เอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “เป็นพิษประหลาดตัวหนึ่ง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความสนใจในแววตาของคนอื่นๆ ก็ลดลงไปกว่าครึ่งทันที หานหมิงซีเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ตัวคุณชายเป็นคนมีชื่อเสียงจากศาสตร์ยาพิษเหล่านี้ ในใต้หล้านี้ยังมีพิษอันใดที่สามารถทำให้คุณชายใจเต้นขนาดยอมพาตัวเองมาอยู่ในอันตรายเช่นนี้อีกหรือ”
บัณฑิตขี้โรคยิ้มเย็น ประกายตาเต็มไปด้วยความมาดร้าย “เป็นยาที่…ทำให้คนไม่อาจร้องขอความเป็นและความตายได้”
เยี่ยหลีไม่มีความสนใจในพิษอะไรที่ทำให้คนไม่อาจร้องขอความเป็นหรือความตายได้ บนโลกใบนี้มีวิธีทำให้คนเจ็บปวดอยู่มากมายนัก ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะเสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อไปหายาพิษที่แปลกประหลาดนี้ ส่วนตัวพิษที่ทำให้คนไม่อาจร้องขอความเป็นหรือความตายได้นั้น หากคนคนหนึ่งต้องการร้องขอความตายแล้วมีวิธีตั้งมากมาย เหตุใดจึงจะตายไม่ได้กัน ที่ยังไม่ตายนั้นก็เป็นเพราะยังมีความหวังและยังมีห่วงอยู่เท่านั้นเอง แต่แววตามาดร้ายของบัณฑิตขี้โรคนั้นกลับทำให้เยี่ยหลีรู้สึกใจกระตุก ในหัวมีความคิดที่ยังพร่าเลือนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง