ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 94-2 อาคันตุกะจากแคว้นซีหลิง

         “ข้าน้อยเฟิ่งจือเหยาขอเข้าเฝ้าพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เฟิ่งจือเหยาก้าวเข้ามาในเรือนเล็กที่สะอาดและเงียบสงบ เมื่อเห็นหญิงสาวที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ร่มไม้แล้ว ก็อดนึกปวดหัวขึ้นมาไม่ได้ เขารู้ตั้งแต่ตอนที่ตนจัดวางกำลังป้องกันอยู่บนกำแพงเมืองแล้วมีคนข้างกายพระชายามาบอกว่าพระชายาเชิญเขาไปพบแล้วว่า เขาคงมีเรื่องให้ต้องปวดหัวเสียแล้ว น่าเสียดาย ที่เมื่อพระชายาเรียกให้เข้าเฝ้า เขาก็ใจไม่กล้าพอที่จะไม่มาตามบัญชา

 

 

           “คุณชายเฟิ่งไม่ต้องมากพิธี” เยี่ยหลีวางหนังสือในมือลงพร้อมหันไปยิ้มให้เขา “รบกวนคุณชายเฟิ่งหรือไม่”

 

 

           เฟิ่งจือเหยายิ้มขื่น “มิกล้า พระชายามีรับสั่งให้เข้าเฝ้า เฟิ่งซานจะเรียกว่าเป็นการรบกวนได้อย่างไร”

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วจึงยิ้ม “ดูเหมือนคุณชายเฟิ่งซานจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับคนที่อยู่ในเมืองหลวง หากพบกันในเวลาปกติเกรงว่าข้าคงคิดว่าข้าจำคนผิดเสียแล้ว”

 

 

           เฟิ่งจือเหยาได้แต่แย้มยิ้มตาม รับรู้เพียงว่ายิ่งพระชายาดูเกรงใจเขามาเท่าไร คำถามที่ตามมาจะยิ่งน่าปวดหัวมากเท่านั้น

 

 

เยี่ยหลีมองท่าทางฝืนทำเป็นยินดีของเขา แล้วจึงหลุบตาลง “คุณชายเฟิ่งซานนั่งลงพูดคุยกันเถิด”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเอ่ยขอบพระทัย แล้วจึงกล่าวว่า “พระชายาเรียกข้าน้อยว่าเฟิ่งซานก็พอพ่ะย่ะค่ะ เรียกคุณชายเช่นนี้ ข้าน้อยมิกล้า”

 

 

เยี่ยหลียิ้มพร้อมโบกมือไปมา “ข้ารู้ว่าท่านกับท่านอ๋องนั้นรู้จักมักคุ้นมันมาตั้งแต่เล็กๆ ส่วนตัวแล้วพวกท่านก็เป็นประหนึ่งพี่น้องกัน ไม่จำเป็นต้องห่างเหินเช่นนี้”

 

 

           เฟิ่งจือเหยาจึงได้แต่นั่งลง เมื่อต้องมานั่งเผชิญหน้ากับเยี่ยหลี ทำให้เขายิ่งรู้สึกกดดันหนักขึ้นไปอีก เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าที่พระชายามีรับสั่งให้เข้าเฝ้าด้วยเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นสบตาเขาตรงๆ ก่อนเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “ข้าไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อม คุณชายเฟิ่ง สุขภาพของท่านอ๋องเป็นเช่นไรบ้าง”

 

 

           เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป รีบยิ้มแล้วตอบว่า “สุขภาพของท่านอ๋องหรือ สุขภาพของท่านอ๋องแข็งแรงดีมิใช่หรือ จะว่าไป หลายปีที่ผ่านนี้ในที่สุดสุขภาพของท่านอ๋องก็กลับมาแข็งแรงดีเสียที พระชายาควรดีพระทัยมิใช่หรือ”

 

 

เยี่ยหลีเหลือบมองเขาเรียบๆ ดวงตาใสและเป็นประกายแต่กลับไม่มีความไร้เดียงสาอยู่เลย ในใจเฟิ่งจือเหยาได้แต่ร้องโอดครวญ ทำได้เพียงบังคับตนไม่หลบสายตา จ้องตอบนางตาไม่กะพริบ

 

 

ครู่ใหญ่ เยี่ยหลีระบายยิ้มกล่าวว่า “คุณชายเฟิ่ง ท่านรู้หรือไม่ รอยยิ้มอย่างจริงใจของคนเรานั้น ในสถานการณ์ปกติแล้วจะค้างอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ส่วนรอยยิ้มที่เกินจากนี้…มักเป็นยิ้มหลอก”

 

 

เฟิ่งจือเหยาชะงักไป กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหุบยิ้มที่แข็งค้างบนใบหน้าลง “ความรู้ของพระชายา…ช่ายแปลกประหลาดนัก”

 

 

           “เช่นนั้น…คุณชายเฟิ่งยินดีที่จะบอกความจริงแก่ข้าหรือไม่” เยี่ยหลีอมยิ้มถาม

 

 

           เฟิ่งจือเหยายิ้มขื่น “เหตุใดพระชายาถึงไม่ถามกับท่านอ๋องโดยตรงพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เยี่ยหลีถอนหายใจเบาๆ “หากเขาไม่ยินดีที่จะเอ่ย ข้าจะหาคำตอบจากเขาได้อย่างไร”

 

 

           เฟิ่งจือเหยากล่าวว่า “ที่ท่านอ๋องไม่พูด บางทีอาจหมายความว่าสุขภาพของท่านอ๋องแข็งแรงดีแล้วก็เป็นได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มมองหน้าเขา “คุณชายเฟิ่ง ถึงแม้ข้าจะดูไม่ออกว่าเขาพูดโกหกหรือไม่ แต่อย่างน้อยมีเรื่องหนึ่งที่ข้ารู้ นั่นคือคนที่ขาพิการทั้งสองข้างมาเป็นเวลาแปดปี ซ้ำในร่างกายยังมีพิษร้ายแฝงอยู่นั้น ไม่ว่าจะใช้ยาวิเศษจากที่ใด ก็ไม่มีทางที่จะแข็งแรงเช่นนี้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ ต่อให้ท่านเสิ่นหาวิธีถอนพิษได้ และรักษาขาทั้งสองข้างของท่านอ๋องให้หายดีได้ แต่ในชั่วเวลาเพียงครึ่งปีไม่มีทางที่ร่างกายาเขาจะฟื้นจนแข็งแรงเช่นนี้ได้” หากมิใช่คนปกติก็คงเป็นปีศาจ หากมียาวิเศษเช่นนั้นจริง ม่อซิวเหยาจำเป็นต้องรอมาหลายปีเช่นนี้หรือ

 

 

           เฟิ่งจือเหยามองหน้านางด้วยความลำบากใจ เยี่ยหลีจ้องตาเขาอย่างไม่ยอมให้ปล่อยผ่าน เวลาผ่านไปเกือบครึ่งเค่อ เฟิ่งจือเหยาจึงจำต้องยอมแพ้ เขานิ่งคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบว่า “ต่อให้ข้าไม่พูด ไม่ช้าก็เร็วพระชายาก็คงรู้ ท่านอ๋องใช้หญ้าเฟิ่งหวงพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีอึ้งไป นางยังจำสิ่งที่เสิ่นหยางพูดได้ดี หากใช้หญ้าเฟิ่งหวงไปแล้ว พิษร้อนของมันจะทำให้ในกายของม่อซิวเหยามีทั้งพิษร้อนและพิษเย็นอยู่ร่วมกัน ต่อให้มีเม็ดบัวเลี่ยหั่วก็มิอาจถอนพิษเย็นในร่างกายเขาได้ “เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดห้ามเขา!”

 

 

           เฟิ่งจือเหยาได้แต่ก้มหน้าลงเอ่ยว่า “ท่านอ๋องเป็นผู้ตัดสินพระทัย ผู้ใดเลยจะห้ามได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เยี่ยหลีหน้าขรึมไปทันที “อยู่ดีๆ เหตุใดเขาถึงต้อง…” เอ่ยไปได้เพียงครึ่งประโยค เสียงของเยี่ยหลีก็หายลงคอไปทันที ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ยามที่เฟิ่งจือเหยาออกเดินทางจากเมืองหลวง ข่าวเรื่องม่อจิ่งหลีเคลื่อนทัพยังไปไม่ถึงเมืองหลวง ที่เขาทำเช่นนี้…เพราะนาง…

 

 

           “พระชายา…” เฟิ่งจือเหยาเห็นสีหน้าย่ำแย่ของเยี่ยหลีแล้ว จึงคิดย้อนกลับไปก็เข้าใจถึงปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งขึ้นมาทันที เขาเอ่ยปลอบด้วยความลำบากใจว่า “อันที่จริง…ต่อให้ช้ากว่านี้อีกสองวัน แล้วท่านอ๋องได้รับข่าวเรื่องที่หลีอ๋องเคลื่อนพลอย่างไรก็คง…ท่านอ๋องในตอนนี้ไม่มีเวลารอเม็ดบัวเลี่ยหั่วอีกสองปีให้หลังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างใจลอย “ท่านเสิ่นมาที่หย่งโจวด้วยหรือไม่”

 

 

เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า ”ท่านเสิ่นยืนยันที่จะมาด้วย เพียงแต่เขาไม่สามารถควบม้าเร็วเป็นระยะทางไกลได้ จึงจะตามมาถึงหลังจากนี้อีกสองสามวันพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เยี่ยหลีค่อยๆ หลับตาลง พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ขอบคุณคุณชายเฟิ่งมาก”

 

 

           เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วด้วยความเป็นกังวล “พระชายา…”

 

 

           เยี่ยหลีโบกมือ “ไม่เป็นไร คุณชายเฟิ่งไปจัดการธุระต่อเถิด”

 

 

เฟิ่งจือเหยามองนางแล้วได้แต่ขอตัวถอยออกไป

 

 

เยี่ยหลีนั่งใจลอยอยู่ใต้ร่มไม้ หากนางมิได้เดินทางมายังหนานเจียง…ไม่ หากนางไม่ส่งจดหมายลับฉบับนั้นกลับไป ม่อซิวเหยาคงไม่เร่งร้อนมายังหนานเจียงด้วยเรื่องนี้ หากเป็นอย่างที่เฟิ่งจือเหยาพูดจริง ว่าพวกเขาไม่อาจรอเวลาให้ดอกบัวเลี่ยหั่วบานในอีกสองปีได้ บางทีท้ายที่สุดแล้วม่อซิวเหยาอาจต้องใช้หญ้าเฟิ่งหวงอยู่ดี เพียงแต่…ที่ม่อซิวเหยาต้องทำเช่นนี้อย่างไรก็เพราะนาง…

 

 

           “องครักษ์ลับสาม”

 

 

           “พระชายา” องครักษ์ลับสามปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังเยี่ยหลี มองแผ่นหลังหญิงสาวที่ดูอ่อนแอด้วยความเป็นห่วง

 

 

           “ตอนนี้องครักษ์ลับสี่อยู่ที่ใด”

 

 

           องครักษ์ลับสามตอบว่า “องครักษ์ลับสี่เพิ่งเดินทางไปซีหลิงพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้พระชายามีพระบัญชาให้เขาไปสืบความเครื่องหานหมิงเย่ว์ที่แคว้นซีหลิง ตอนนี้น่าจะถึงชายขอบแคว้นซีหลิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ให้คนไปส่งจดหมายหาเขาทีว่า ยังไม่ต้องสนใจเรื่องหานหมิงเย่ว์ หาทางจับตาดูบัณฑิตขี้โรคไว้ให้ได้ เมื่อใดก็ตามที่เขาได้ดอกปี้ลั่วมา จัดการชิงมาให้ได้ไม่ว่าต้องแลกมาด้วยอันใดก็ตาม”

 

 

องครักษ์ลับสามลังเลเล็กน้อย “ดอกปี้ลั่วอยู่ในเขตแดนของหนานเจียง ให้ข้าน้อยนำคนออกไปค้นหาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “หนานจ้าวมิใช่แคว้นเล็กๆ อีกอย่างพวกเรามิมีผู้ใดเคยเห็นว่าดอกปี้ลั่วหน้าตาเป็นเช่นไร ชายแซ่เหลียงตอนนี้น่าจะอยู่ในมือของเทียนอี้เก๋อ ไม่สิ…นายแซ่เหลียงผู้นั้นตอนนี้น่าจะอยู่ที่ซีหลิงเช่นกัน เพียงแต่มิได้อยู่ในมือบัณฑิตขี้โรค ส่งคนไปแจ้งแก่หานหมิงซีทีว่า เรื่องที่เขารับปากจะบอกข้านั้นควรทำตามที่รับปากไว้ได้แล้ว”

 

 

           “พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับสามพยักหน้า ก่อนหายไปจากเบื้องหลังนางอย่างไร้ร่องรอย

 

 

           เมื่อองครักษ์ลับสามหายไปแล้ว เยี่ยหลียังนั่งนิ่งๆ อยู่อีกพักใหญ่ก่อนหมุนตัวเดินกลับไปยังเรือนพักชั่วคราวของตนกับม่อซิวเหยา เมื่อกลับไปถึงห้องพักกลับไม่พบม่อซิวเหยา นางนิ่งคิดพักหนึ่งก่อนหมุนตัวเดินไปยังห้องหนังสือทีเรือนหน้า แต่กลับถูกองครักษ์ลับสองคนขวางไว้ที่หน้าประตู “พระชายา ท่านอ๋องมีพระบัญชาว่าตอนนี้จะไม่พบผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ พระชายาโปรดหยุดก่อน”

 

 

เยี่ยหลีเอียงหน้าไปกวาดตามององครักษ์ลับทั้งสองที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองนาง “เจ้าว่าอย่างไรนะ”

 

 

           “ท่านอ๋องตรัสว่าตอนนี้จะไม่พบหน้าผู้ใดทั้งสิ้น ซึ่ง…รวมถึงพระชายาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เยี่ยหลีเพียงถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทำตามพระบัญชา จึงไม่อยากให้พวกเจ้าลำบากใจ เพียงแต่…ตอนนี้ข้าต้องเข้าไป”

 

 

           องครักษ์ลับทั้งสองหันมาสบตากัน พร้อมขยับขวางปากประตูไว้ “พระชายาได้โปรดอย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เยี่ยหลีกล่าวว่า “หากข้าจัดการพวกเจ้าก่อนเข้าไป ก็ถือว่าพวกเจ้ามิได้ขัดพระบัญชาแล้วใช่หรือไม่”

 

 

           “เรื่องนี้…” องครักษ์ลับทั้งสองมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาระแวดระวัง ฝีมือของพระชายานั้นพวกเขาต่างรับรู้มานานแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่มิอาจทำร้ายคู่ต่อสู้ได้นั้น พวกเขาไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ ว่าจะสามารถขวางพระชายาไว้ได้ “พระชายา เกรงว่าคงจะมิได้…” เพียงแค่องครักษ์ลับที่หน้าประตูยกมือขึ้น ก็มีเงาคนอีกจำนวนหนึ่งลงมาจากกำแพง ต้นไม้และหลังคาทันที

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว ยิ้มเยาะทีหนึ่ง “องครักษ์ลับสาม องครักษ์ลับสี่ จัดการพวกเขา!”

 

 

           “พ่ะย่ะค่ะ!” เสียงขรึมสองเสียงขานรับขึ้นพร้อมๆ กัน ร่างทั้งสองร่างนั้นแทรกตัวเข้าไปภายในเรือนซ้ายคนขวาคนอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า ไม่นานองครักษ์ลับสามสี่คนนั้นก็ถูกจับตัวไว้ได้

 

 

เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าโกรธจัด องครักษ์ลับสามจึงตบบ่าเขาพร้อมเอ่ยปลอบใจว่า “น้องชาย อย่าเสียใจไปเลย องครักษ์ลับก็มีหลายขั้นมิใช่หรือ” ทุกคนต่างมีจุดเริ่มต้นเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจคนที่เป็นองครักษ์ลับเป็นอย่างดี แต่องครักษ์ลับคนอื่นกลับไม่เข้าใจพวกเขา ที่พวกข้าต้องลำบากกันอยู่เป็นเดือนๆ นั้นไม่ได้ทำไปเปล่าๆ ตอนนี้ก็เห็นผลกันแล้วมิใช่หรือ มิใช่ว่าพวกเขาอ่อนแอเกินไป เพียงแต่พวกเขาได้ข้ามผ่านขอบเขตขององครักษ์ลับมาแล้ว หากไม่เพราะสถานการณ์ไม่อำนวย องครักษ์ลับสามคิดอยากที่จะหัวเราะออกมาให้เสียงก้องไปทั่วเสียจริง

 

 

           เยี่ยหลีหันกลับมายิ้มให้องครักษ์ลับสองคนที่ยืนขวางประตูอยู่ “ต้องให้ข้าลงมือเองหรือ”

 

 

           องครักษ์ลับทั้งสองคนถอนหายใจออกมา ก่อนเบี่ยงตัวหลีกทางให้นาง “เชิญพระชายา”

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset