จนถึงวันนี้ ช่วงเวลาสามปีที่เธอคอยอยู่เคียงข้างซูเหิงในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผ่านมันมาด้วยกันทีละก้าวทีละก้าว จนสกุลซูกลับมาตั้งต้นใหม่ได้อีกครั้ง
แล้วสุดท้ายสิ่งเธอได้รับอะไร
คือการที่ถูกคนรักหักหลังยังไงล่ะ
คือประโยคที่ว่า ‘เธอเย็นชาและเข้มแข็งเกินไป’ …
หากเธอไม่มีความเย็นชาและความเข้มแข็งไว้ป้องกันตัว จะรับมือกับหมาป่าที่ดักอยู่ข้างหน้ากับเสือที่ย่องมาข้างหลังได้ยังไง
หากเธอไม่มีความเย็นชาและความเข้มแข็งไว้ป้องกันตัว ตอนนี้เธอคงไม่มีวันรู้ว่าโดนผู้ชายคนนั้นเหยียดหยามไปแล้วตั้งเท่าไหร่
หากเธอไม่มีความเย็นชาและความเข้มแข็งไว้ป้องกันตัว หากเกิดอะไรขึ้นมาหรือซูเหิงเกิดฟุ้งซ่านเธอก็จะฉลาดพอที่จะไม่ทำตัวให้เป็นภาระของเขา!
แต่ทว่า ผลสุดท้ายเขากลับทำให้เธอทุกข์หนักกว่าเดิมจนน่าขำ
เธอก็ไม่อยากเย็นชาและเข้มแข็ง เธอเองก็อยากใช้ชีวิตให้เหมือนๆ กับผู้หญิงทั่วๆ ไป
เป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ ได้แต่งหัวสวยๆ ชวนเพื่อนสนิทไปช้อปปิ้ง กินอาหาร จัดปาร์ตี้แล้วก็ไปเที่ยว…
แล้วเธอทำได้เหรอ?
เธอทำไม่ได้
เมื่อก่อนไม่ได้ ตอนนี้ก็ยิ่งไม่ได้
เพราะครั้งนี้เธอเหลือตัวคนเดียวอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
ไม่เข้มแข็งไว้แล้วใครจะมาปกป้องเธอล่ะ
เฉินฝานซิงพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้งเงียบๆ คนเดียวในห้องผู้ป่วย
ในขณะที่ในห้องผู้ป่วยของเฉินฝานซิงช่างดูเงียบเหงา ในเวลาเดียวกันห้องผู้ป่วยของเฉินเชียนโหรวที่อยู่ห้องถัดมากลับมีผู้คนที่มาเยี่ยมเธออย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
ผู้อาวุโสของบ้านสกุลเฉินเจียหรงหรง เฉินเต๋อฝานผู้เป็นพ่อ หยางลี่เวยผู้เป็นแม่ ซูเหิงและเว่ยจื่อเซี่ยนที่เป็นคนลงไปช่วยเฉินเชียนโหรวขึ้นมาด้วยกันกับซูเหิงและเพื่อนๆ ร่วมห้องของเฉินเชียนโหรงที่ไปร่วมงานเลี้ยงในคืนนั้นด้วยอีกมากมาย
“พี่เธอนี่ชักจะเกินไปแล้วนะ เธอขอโทษไปแล้วแท้ๆ ยังจะเอาน้ำร้อนราดใส่เธออีก?”
“เชียนโหรว คราวหน้าคราวหลังก็อยู่ให้ห่างๆ พี่สาวเธอเอาไว้ล่ะ แค่ฉันมองสีหน้าเยือกเย็นแบบนั้นของพี่สาวเธอก็ขนลุกแล้ว เวลาเธออยู่ต่อหน้าเขาเธอคงโดนไม่ใช่น้อยๆ!”
“ใช่ๆ ดูยังไงๆ พี่สาวเธอก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ใส่เสื้อผ้าสีทึบๆ ดูหม่นหมองทั้งวันแบบนั้นเล่นเอาคนที่เห็นรู้สึกอึดอัดไปด้วยเลย ได้ยินว่าตอนเธอทำงานที่บริษัทของรุ่นพี่ซูไม่มีผู้ชายคนไหนสู้เธอได้สักคน นั่นเรียกว่าผู้หญิงเหรอ ถึกจริงๆ เลย…”
เมื่อซูเหิงที่อยู่อีกด้านได้ยินดังนั้น หัวคิ้วก็ขมวดสีหน้าเคร่งขรึม
เฉินเชียนโหรวรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายได้อย่างทันที คิ้วกระตุก ใบหน้าเล็กๆ ที่ปราศจากการเติมแต่งด้วยเครื่องสำอางแสดงให้เห็นถึงความเสียใจ
“ยังไงซะเธอก็เป็นพี่สามของฉัน ถึงแม้เธอจะดูเย็นชา เข้ากับคนอื่นได้ยาก แต่จริงๆ แล้วเธอไม่เคยทำอะไรที่เกินกว่าเหตุ…”
เพื่อนสนิทที่สุดของเฉินเชียนโหรวชื่อหลินเฟยเฟยพูดขึ้นอย่างใส่อารมณ์:
“ไม่ทำอะไรที่เกินไป? เชียนโหรว เธอดีเกินไปแล้ว ฉันเคยบอกกับเธอตั้งนานแล้วว่าคนสมัยนี้น่ะดีเกินไปจะเป็นภัยกับตัว! เรื่องที่พี่เธอทำไว้กับเธอ คนเขารู้กันทั่ว! ถ้าไม่ใช่เพราะเขาตอนนี้เธอ…”
“พอได้แล้ว!”
จู่ๆ หญิงเจียหรงหรงที่นั่งเงียบอยู่อีกด้านหนึ่งก็ได้เอ่ยขึ้นอย่างข่มอารมณ์ เธอลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
รูปร่างของเจียงหรงหรงไม่สูงมาก ประมาณ160เซนติเมตร ผมขาวโพลนทั้งศีรษะ เกล้าผมไว้ดูทะมัดทะแมง ใบหน้าที่ไม่อาจซ่อนริ้วรอยแห่งกาลเวลาแต่ทว่าดวงตายังคงมีพลังและมีชีวิตชีวา
เห็นได้ชัดว่าตอนสาวๆ หญิงชราคนนี้คงไม่ใช่คนที่ใครจะมาต่อกรด้วยง่ายๆ
เพียงแค่น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความน่าเกรงขามดังขึ้น เสียงดังเอะอะในห้องผู้ป่วยก็ได้เงียบลง
เจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมเดินไปหยุดลงตรงหน้าหลานสาว มองดูเฉินเชียนโหรวที่มองเธออย่างตกตะลึง ท่าทางอ่อนแอน่าสงสารและน่าเห็นใจทำให้เจียหรงหรงผ่อนความเคร่งขรึมลง
ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ที่ตัดสินใจไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้สื่อได้รู้นะถูกแล้ว ยังไงซะมัน…ก็เป็นคนของสกุลเฉิน เกิดแพร่ออกไปละก็คงจากพาเรื่องปวดหัวมาให้เปล่าๆ!”
ขณะที่เจียนหรงหรงหยุดไป แววตาก็ได้ทอประกายความเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าการเอ่ยถึง ‘มัน’ เป็นเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้า
ใบหน้าอ่อนแอแฝงไปด้วยความกลุ้มใจ พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “ทราบแล้วค่ะคุณย่า จริงๆ แล้วหนูแค่ไปขอโทษพี่เขาแล้วก็โดนพี่เขาโมโหใส่ มันก็สมควรแล้ว จะว่าไปหนูก็ไม่ระวังเอง…”
ได้ยินคำพูดของหลานสาว เจียหรงหรงถึงกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ความเกลียดชังในแววตาก่อนหน้าขึ้นสีเข้มขึ้น
“เอาเถอะเลิกพูดถึงมันได้แล้ว! ศุกร์หน้าตอนบ่าย สมาคมสกุลป๋อจะจัดพิธีการแต่งตั้งกรรมการหนุ่มขึ้นดำรงตำแหน่งประธานสูงสุดที่โรงแรมเพยซื่อ ถึงเวลานั้นเธอจะต้องไปด้วย!”