เธออดยิ้มไม่ได้ “คุณแน่ใจเหรอว่าจะทำของพวกนี้จริงๆ”
เขาหันมองเธออีกครั้ง “ทำไมเหรอ”
เธอส่ายหน้าเดินไปตรงเคาท์เตอร์แล้วหยิบถุงสองใบที่เขาถือมาด้วยขึ้นมาดู
ซื้อของมาเยอะจริงๆ
“ถึงฉันไม่ได้สงสัยในฝีมือคุณ แต่คุณป๋อ อีกเดี๋ยวคุณต้องไปทำงานแล้ว ของที่คุณว่ามาแต่ละอย่างมันไม่ได้ทำเสร็จในชั่วโมงเดียวนะ”
“…”
เธอมองของในถุง สุดท้ายก็ผ่อนลมหายใจออกมา “หม้อไฟล่ะเป็นไง”
ป๋อจิ่งชวนขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ค่อยเห็นด้วย
“ไม่ได้กินตั้งนานแล้ว ฉันอยากกิน”
“ตกลง งั้นก็หม้อไฟ” เขาพยักหน้า
เธอนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่ความอบอุ่นจะเอ่อล้นขึ้นในหัวใจ
หลังจากนั้นเธอก็เริ่มวุ่นวาย ป๋อจิ่งชวนยืนอยู่ในห้องครัวอยู่พักใหญ่ กะว่าจะคอยช่วยเหลือแต่ผลสุดท้ายกลับได้แค่ยืนมองไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
“ผมพอจะช่วยได้บ้าง”
“อ้อ? คุณไม่ต้องช่วยอะไรค่ะ”
“…” ป๋อจิ่งชวนนิ่งเงียบไป เฉินฝานซิงมองเห็นถึงความหดหู่จากคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นเช่นนั้น
“จริงสิ คุณช่วยจัดถ้วยกับตะเกียบที่อยู่ในตู้ข้างๆ คุณให้หน่อยสิ”
“ครับ” เขาตอบรับ ร่างสูงโน้มตัวลงหยิบถ้วยพร้อมตะเกียบออกมาสองชุด
เฉินฝานซิงกำลังล้างผัก แล้วเหลือบมองเขา “ทำไมแค่สองชุดเอง แล้วผู้ช่วยอวี๋ล่ะ”
“เขามีเรื่องอื่นที่ต้องทำ”
เขาตอบอย่างเรียบเฉย ถือถ้วยและตะเกียบออกจากห้องไป
–
ไม่นานเฉินฝานซิงก็เดินถือตะกร้าผักออกมา
“เรียบร้อย!”
น้ำเสียงติดรีบร้อนดังขึ้น เฉินฝานซิงทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามของป๋อจิ่งชวน ความเย็นชาห่างเหินที่เห็นมาตลอดได้หายไปแล้ว แต่กลับถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นและตั้งหน้าตั้งตารอ
ป๋อจิ่งชวนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจ้องมองเธออย่างสนใจ
ขณะที่เธอกำลังใส่ผักที่ล้างสะอาดแล้วลงไปในหม้อไฟที่กำลังเดือดปุดๆ ป๋อจิ่งชวนจึงหยิบแก้วไวท์ที่ตั้งอยู่ข้างๆ ขึ้นมา
เฉินฝานซิงเองก็วางตะเกียบลงและหยิบขึ้นมาบ้าง
“แด่อาหารมื้อแรกที่เราทานด้วยกัน และยินดีกับการที่คุณลาออกมาได้สำเร็จ”
เธอยิ้มจางๆ “หม้อไฟต้องคู่กับไวท์ ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูก”
“จริงๆ แล้วไม่ควรเพิ่มรสชาติอื่นเข้ามา”
ป๋อจิ่งชวนว่าต่อโดยการพูดความหมายที่แฝงอยู่ในถ้อยคำของเธอ
ทั้งคู่ชนแก้วกันหนึ่งครั้ง
เมื่อวางแก้วลง เฉินฝานซิงก็หันกลับมาสนใจหม้อไปที่กำลังเดือดได้ที่อีกครั้งอย่างไม่วางตา
ป๋อจิ่งชวนเอ่ยเสียงเรียบ “หม้อไฟนี่เรียกความสนใจคุณได้ขนาดนี้เลย?”
การกระทำของเธอชะงักลง แววตาวูบไหวเล็กน้อย
“อาจเพราะ…ไม่เคยมีใครกินอะไรแบบนี้เป็นเพื่อนฉันที่บ้านเลย วันนี้เป็นครั้งแรกก็เลยรู้สึกแปลกใหม่…”
หัวใจเขาสั่นเล็กน้อย ยื่นมือไปหยิบไวท์ที่ซื้อมารินใส่ลงในแก้วทั้งสองใบ จากนั้นดันแก้วใบนั้นไปหยุดอยู่ตรงหน้าเธออย่างสง่า
“ต่อไปมีผมอยู่ด้วย จะกินอะไรจะทำอะไรผมก็จะคอยอยู่ข้างๆ คุณเอง”
ประโยคนี้พูดขึ้นมาอย่างไม่สนเวลา สถานที่ หรือแม้แต่บรรยากาศ
ยากที่ใครจะไม่ใจสั่น
“เอาล่ะ ของสุกหมดแล้วกินกันเถอะ”
“อืม”
ป๋อจิ่งชวนคว้าตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารด้วยท่วงท่าที่สง่าแล้วนำไปวางในถ้วยของเฉินฝานซิง
เฉินฝานซิงจ้องมองปริมาณอาหารในถ้วยของเธอที่พูนขึ้นเรื่อยๆ อย่างทำอะไรไม่ถูก
เธอลืมไปแล้วจริงๆ ว่า ครั้งล่าสุดที่มีคนคีบอาหารให้เธอมันผ่านมานานแค่ไหนแล้ว…
ความฝาดเปรี้ยวแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ เธอผินหน้าขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้าที่นั่งหลังตรงลงมือทานอาหารด้วยท่วงท่าสง่า กำแพงที่ก่อขึ้นอย่างแน่นหน้าหัวใจค่อยๆ ทลายลงอย่างเงียบงัน