ธรรมดา
ไม่ได้ดีและไม่ได้เลว เอาเขาไปเหมารวมกับคนธรรมดาทั่วไป
เหอเจิงเริ่มรู้สึกไม่ดีกับจี้ผิงโจวที่ทั้งสุภาพและดูเป็นผู้ดี ความรู้สึกนี้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก่อนจะถึงขั้นที่ว่าเกิดเป็นความโกรธ เสียงหัวเราะเบาๆที่ซ่อนอยู่ในช่องของประตูบ้านก็ได้ตัดบทสนทนาของเขาทั้งสอง
เสียงหัวเราะที่มากับอากาศ
พวกเขาได้ยินชัดเจน
และเมื่อหันกลับไปมองด้วยสัญชาตญาณที่ว่องไว หน้าประตูมีสุนัขสายพันธ์ซามอยด์ตัวหนึ่งกำลังแลบลิ้นหันไปหันมา โดยมีเจ้าของถือเชือกไว้อยู่ ไม่รู้ว่าแอบฟังนานแค่ไหนแล้ว เมื่อกี้เป็นเสียงหัวเราะที่กลั้นไว้ไม่อยู่จริงๆจึงได้หัวเราะออกมา
“ ใคร”
จี้ผิงโจวตะคอกเสียงออกไป
ตอนที่พวกเขาขึ้นมารีบมากจึงลืมล็อคประตู เป็นการเปิดช่องว่างให้กับจี้ซูจวน เขาโผล่หน้าเข้ามาในช่องประตู กวาดสายตาไปทางซ้ายทีขวาที แล้วพุ่งเข้ามาหาจี้ผิงโจวด้วยไปหน้ายิ้มแย้ม “ ขอโทษจริงๆพี่ ฉันกลัวว่าพวกพี่จะทะเลาะกัน เลยจะมาห้ามน่ะ”
“ไสหัวออกไป” จี้ผิงโจวรีบหมุนตัวกลับไป “บอกกี่ครั้งแล้ว ไม่ต้องพาหมาเข้ามา”
เขาหันหลังให้ โดยที่ไม่ได้เห็นเลยว่าจี้ซูจวนได้พาหมาเข้ามาด้วย เธอถามด้วยความอยากรู้ “พวกพี่ทะเลาะกันหรอ”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับน้อง…” จี้ผิงโจวพูดไปด้วยหันหน้ากลับไปด้วย ทันใดนั้นก็เห็นจี้ซูพาหมาเข้ามาอยู่ใกล้ๆด้วย
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที สภาพอารมณ์ไม่เป็นปกติเลย ทรมานเหมือนกับว่ากลืนแมลงวันเข้าไป เขาหันกลับไปโดยไม่ได้พูดอะไร และไปหลบอยู่ข้างหลังของเหอเจิง
เขากลัวอะไรและเขาชอบอะไร ก่อนที่จะแต่งงานเหอเจิงก็รู้ทุกอย่างอย่างชัดเจน
เธอจึงรู้สึกหมดคำพูด
วินาทีที่แล้วยังเป็นผู้ชายที่เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง
ตอนนี้กลับต้องมาหลบหลังเธอเพราะกลัวหมาตัวเดียว และยังกลัวถึงขนาดที่ว่าจับข้อมือของเธอไว้แน่น
แม้ว่าเหอเจิงจะพยายามสะบัดข้อมือ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงจี้ผิงโจวก็ไม่ยอมปล่อยมือ
เธอไม่มีวิธีอื่น นอกจากจะจัดการกับจี้ซู “ เอาหมาออกไปเถอะ ถ้าพี่เธอถูกขนหมาแล้วจะทรมานมาก”
จี้ซูพยักหน้าเบาๆ แสดงความเห็นใจ “ออ…ดูแล้วน่าจะไม่ทะเลาะกันแล้วแหละ เพราะว่ายังพยายามปกป้องหินอัปลักษณ์ก้อนนี้อยู่”
เธอจี้ถูกจุดสำคัญจริงๆ
จับผิดเหอเจิงในจุดที่เธอไม่กล้ายอมรับที่สุด
ในที่สุดก็เปิดหัวข้อพูด เธอพยายามหลบตามองไปทางอื่น เขาก็พูดว่า “น้องออกไปก่อน”
“ไม่ได้ วันนี้ฉันยังไม่ได้กินอาหารฝีมือของเธอเลย ตอนนี้ฉันยังหิวอยู่เลย” ภายในห้องเปิดไฟจนแสงสว่างจ้า แต่ก็สามารถมองเห็นได้ว่าบรรยากาศข้างนอกเริ่มจะมืดแล้ว จี้ซูกอดท้องที่แบนแฟบไว้ ไม่ยอมไป
หมาของเธอก็นอนลงบนพื้นด้วยความขี้เกียจ
จี้ผิงโจวโดนขนหมา ปุ๋ยนุ่นหรือ กลิ่นเหม็นไม่ได้เด็ดขาด ถ้าโดนแล้วก็จะหายใจลำบาก
ข้อมือที่อ่อนนุ่มถูกกำไว้อย่างแน่น ด้วยกำลังมือของจี้ผิงโจว เหอเจิงรู้ว่าอาการของเขาเริ่มจะแสดงออกแล้ว “พรุ่งนี้จะทำให้ เธอออกไปก่อน”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น
จี้ซูส่งสายตาปริบๆ “จริงๆนะ”
“ฉันเคยโกหกเธอด้วยหรอ”
“พี่สะใภ้ใจดีที่สุดเลย” เธอพูดอย่างมีความสุข ในขณะเดียวกันก็เดินเข้าไปหาเหอเจิงจุบลงที่แก้มของเธอต่อหน้าต่อตาจี้ผิงโจว จากนั้นก็พาหมากระโดดโลดเต้นออกไป ซ้ำยังช่วยพวกเขาปิดประตูด้วย
ขนปุยนุ่นที่กระจายอยู่ตามอากาศปลิวว่อนไปมา
จี้ผิงโจวดึงแขนเสื้อขึ้นมาปิดจมูก หายใจไปด้วยความรู้สึกอึดอัด มืออีกข้างหนึ่งก็ยังคงจับมือของเหอเจิงไม่ปลอย “ออกไปคุยข้างนอก”
เขาใช้คำว่า“คุย”
อุตสาห์สงสารเขาเสียเปล่า
“คุยอะไร” เหอเจิงยกข้อศอกขึ้นมา แล้วโชว์ข้อมือที่แดงก่ำให้จี้ผิงโจวดู ไม่ต้องกลัวเลยว่าเขาจะมองไม่ชัด “คุณอยากจะให้ฉันพูดเรื่องที่มันไม่น่าฟังมากกว่านี้อีกหรอ”
จี้ผิงโจวจับแขนของเธอไว้ไม่ยอมปล่อย แล้วเก็บอารมณ์ที่ไม่ดีไว้
เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ถูก
นัยต์ตาเหมือนกับกำลังจะบอกว่า—-ผู้หญิงคนนี้บ้าแล้วจริงๆ
ให้พูดกับผู้หญิงที่บ้าจะเข้าใจกันได้ยังไง เขาคงจำเป็นจะต้องใช้มาตรการเด็ดขาดแล้ว “หย่ากับฉันแล้ว เธอจะไปไหนได้อีก”
“ทำไมหรอ คุณจี้ยังคิดจะอยากดูแลอดีตภรรยาเหรอ”
ก่อนจะแต่งงานก็มีคนประนามเหอเจิงอย่างนี้แล้ว
ตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อ แต่ ณ ตอนนี้เขาก็ได้บทเรียนแล้ว “ภรรยาเก่าหรอ เศษกระดาษไม่กี่แผ่นที่เธอเอามานั้นฉันโยนทิ้งหมดแล้ว อดีตภรรยามีที่ไหนกัน”
สีหน้าที่ก่อนยังเต็มไปด้วยความสุภาพกลับเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมขึ้นทันที เพราะต้องแบกรับความผิดหวังที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ เธอไม่สนใจมือที่ถูกจี้ผิงโจวจับไว้ เหมือนกับว่าคำพูดเดียวสามารถทำลายได้ทั้งหมด “แสดงว่าคุณไม่ได้เซ็นชื่อใช่ไหม”