เหอเจิงใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีในการเข้าไปในห้องลอง แต่เธอกลับไม่ได้ลองเสื้อผ้าเลยแม้แต่ตัวเดียว ข้างตัวมีหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ เธอคนนั้นพูดจ้อไม่หยุด
“เจิง?”
เหอหยุนซิ่งดันแว่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองให้ชัดเจนอีกที
เหอเจิงอยากจะอธิบายแต่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
แต่เจียงเจินที่เห็นแบบนั้นก็หันไปกระซิบกับเหอเจิงว่า “นี่เธอทนคุณจี้ไม่ไหว แล้วออกมาอยู่กับกิ๊กเหรอเนี่ย?”
พระเจ้า
“นี่อาฉัน เพิ่งกลับมา อย่าพูดส่งเดช”
ได้ยินดังนั้น เจียงเจินก็เดินไปข้างหน้าและยกมือทักทาย “สวัสดีค่ะ ฉันเจียงเจิน เพื่อนสนิทของเหอเจิงค่ะ”
เพื่อรักษาหน้าของเหอเจิง
เหอหยุนซิ่งจึงยื่นมือไป เพื่อทักทายกลับ แต่ก็ดึงกลับอย่างรวดเร็ว และถามเสียงเย็นชาว่า “ไม่ลองชุดเหรอ?”
“ไม่แล้วค่ะ” เหอเจิงตอบอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย “หนูจะไปทานข้าวกับเจียงเจินสักมื้อค่ะ”
นี่เป็นเวลาของเขาแท้ๆ แต่กลับถูกขัดกลางคัน
เหอหยุนซิ่งพูดต่อว่า “ลองชุดให้เสร็จก่อนดีไหม ไม่รบกวนเวลามากหรอก ใช่ไหม คุณเจียง?”
คำถามนี้ดูเหมือนกดดันเธอ
เจียงเจินได้ยินดังนั้นก็อึกอักเล็กน้อย ก่อนจะตอบง่า “เอ่อ..โอเค ไม่ได้ใช้เวลาอะไรมาหรอก เหอเจิงก็ไปลองเสื้อผ้าเถอะ”
ระหว่างรอเหอเจิง
เจียงเจินยืนพิงประอยู่ข้างนอก ถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “เหอเจิง นี่เป็นครั้งแรกเลยนะคะที่ฉันเห็นเธอออกมาข้างนอกกับผู้ชายสองต่อสอง”
“อย่าพูดมั่วซั่ว ก็แค่ญาติผู้ใหญ่น่ะ”
“ทำไมฉันไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่วัยรุ่นๆแบบนี้บ้างนะ?” เธอพึมพำเบาๆ “มีอาแบบนี้ เธอยังไปอาภัพอยู่กับคุณจี้อีกเหรอ?”
ขนาดเจียงเจินรู้จักกับจี้ผิงโจวได้แค่เดือนกว่าๆ ยังรู้เลยว่าเขาเป็นคนแบบไหน
“เหอเจิง เธอรู้ไหม ไม่กี่วันก่อนฉันเจอจ้างถังชิวด้วย”
“ทำไมเหรอ? หล่อนรังแกเธอเหรอ?”
“เธอกล้าซะที่ไหน!”
“งั้นมีเรื่องอะไร?”
“เธอจะแย่งของที่ฉันเล็งไว้อยู่” เจียงเจินกัดฟันแน่น “แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันโมโหมากที่สุดนะ เพราะที่โมโหมากกว่าคือ คนที่กำลังโอบเอวเธออยู่คือจี้ผิงโจว!”
เหอเจิงได้ยินดังนั้นก็เงียบ และเหม่อลอย จนได้ยินเสียงเจียงเจินเคาะประตูเรียก ถึงได้ดึงสติกลับมาได้ “เหอเจิง เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นอะไร” เธอตอบกลับ
เจียงเจินเองก็อึกอัก และไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อไปดี
ขณะนั้นเอง ประตูห้องลองก็เปิดออก แสงไฟห้องลองกระทบที่ผิวขาวเนียนละเอียดของเธอ ถึงแม้จะแต่งงานไปแล้วสามปี แต่ผิวพรรณเธอก็ยังดีเยี่ยมและผุดผ่องอยู่
เจียงเจินทำงานในวงการ ก็เจอคนสวยคนหน้าตาดีมาเยอะแยะ แต่เธอไม่เคยเลยที่จะเจอใครผุดผ่องได้เท่าเหอเจิง
“เหอเจิง ฉันไม่รู้จริงๆเลยนะว่าคุณจี้เขาไปชอบอะไรตรงไหนของจ้าวถังชิว ถ้าเอายัยนั่นมายืนข้างๆเธอแล้วละก็ เทียบไม่ติดเลย”
“ดอกไม้สวยๆงามๆที่บ้าน ยังสู้ดอกไม้ริมทางไม่ได้เลย”
“เธอก็พูดเกินไปอีกแล้วนะ” เหอเจิงพูดจบ ก็เหน็บตัวเองต่อว่า “เขาไม่สั่งให้ฉันปรนนิบัติยัยนั่นก็ขอบคุณมากแล้ว”
“แล้วทำไมเธอไม่เตะเขาเลยล่ะ”
เหอเจิงยิ้มเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ
“ฉันคิดมาตลอดว่าเธอไม่รักคุณจี้” เจียงเจินเป็นคนตรงๆ คิดอะไรก็พูดออกมาแบบนั้น “ถ้าไม่ได้รักหรือมีความรู้สึกอะไร ทำไมยังทนอยู่อีกล่ะ”
เหอเจิงไม่ตอบอะไร
เจียงเจินจึงเงียบ จากนั้นโทรศัพท์เธอก็ดังขึ้น “ฉันต้องเริ่มงานแล้ว ครั้งหน้าเราค่อยไปทานข้าวกันนะ”
“โอเค” เหอเจิงตอบกลับ
จากนั้นก็กลับมาในห้องลอง
โทรศัพท์เธอดังขึ้น คนที่โทรเข้ามาคือจี้ผิงโจว เธอจึงตัดสายทิ้งอย่างไม่ลังเล
ขณะที่กำลังจะรูดซิปนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก เธอจึงจำใจรับสาย
“เธอออกไปเที่ยวกับเหอหยุนซิ่งสองต่อสอง?”
ไม่ต้องเดาก็รู้ ว่าเจียงเจินน่าจะเป็นคนโทรไปรายงานเขา
“ไม่ได้เหรอ? คุณจี้?”
“เธอคิดว่ายังไงล่ะ?”
น้ำเสียงดุดันของเขา ทำเอาเหอเจิงหายใจไม่ทั่วท้อง “ฉันคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรนะ”
“ปัญหาใหญ่มากต่างหาก” เขายิ้มเยาะ “เธอคือภรรยาฉัน แต่ออกไปเที่ยวกับผู้ชาย แบบนี้เรียกไม่มีปัญหาเหรอ?”
“เขาคืออาของฉัน”
“อย่างนั้นก็ไม่ได้”
เหอเจิงไม่เข้าใจว่าจี้ผิงโจวเป็นบ้าอะไร และอยากที่จะตัดสายทิ้ง แต่เหมือนจี้ผิงโจวจะรู้ จึงรีบพูดขึ้นว่า “ถ้ายังไม่ได้หย่า อย่างไรซะเธอก็คือคนของฉัน ต้องเชื่อฟังฉัน”
เหอเจิงโกรธจนถึงขีดสุด
จากนั้นก็นึกถึงคำพุดของเจียงเจินขึ้นมาได้ “คุณจี้ออกไปกิ๊กกั๊กกับผู้หญิงข้างนอกได้ แต่ไม่ให้ฉันออกมาข้างนอกกับอาของตัวเองเนี่ยนะ? มาตราฐานอะไรของคุณ?”
จี้ผิงโจวยืนขึ้นและโยนเสื้อกาวน์ไปที่เก้าอี้ด้านหลัง
จากนั้นพูดขึ้นว่า “ฉันจะไปคุยไปคบกับใคร เธอเองก็ใจกว้างบอกว่าพวกหล่อนเป็นพี่น้องไม่ใช่เหรอ ฉันนึกว่าเธอจะไม่รู้ซะแล้วว่าพวกนั้นคือคนที่ฉันคบหาอยู่ด้วย ที่แท้เธอก็สนใจเหมือนกัน?”
เงียบ
ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับ
จี้ผิงโจวจึงเร่งว่า “พูด”
เสียงที่ตอบกลับจี้ผิงโจว ไม่ใช่เสียงของเหอเจิง
แต่เป็นเสียงอึกทึกครึกโครม และเสียงของตกลงพื้นจนแตกกระจาย