การรับประทานอาหารร่วมกันของบ้านตระกูลจี้จะอยู่ในมื้อเย็นเสมอ แสงไฟละลายหายไป เป็นเวลาที่อบอุ่นเหมาะกับการรับประทานอาหารจริงๆ เป็นเวลาที่เหอเจิงทรมานที่สุด
แม้ว่าคนตระกูลจี้จะรวมกันก็มีไม่กี่คน
แต่คนที่นับถือเธอจริงๆก็มีไม่กี่คนเหมือนกัน
และเวลาอยู่บนโต๊ะอาหาร
จี้เหยียนเซียงจะใช้เธออย่างคนใช้ จี้ผิงโจวก็เป็นคนดูอยู่ข้างๆ จี้ซูยิ่งเป็นคนที่ขี้ขลาดเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่สาม แม้จะรู้สึกไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่กล้าสอดมือเข้าไปยุ่ง
มีอาการป่วยติดตัวด้วย เหอเจิงนอนตื่นก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
เวลาเย็นจะมีหิมะ
เวลานี้ไม่เห็นแสงแม้แต่น้อย ฟ้ามืดเร็วกว่าปกติ ทางแคบๆถูกกวาดอย่างสะอาด แม้ว่าจะเปียกอยู่แต่ก็ไม่ถึงกับหกล้ม
ขาที่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้เหอเจิงเดินได้ช้ามาก
ตอนที่เดินไปถึงตึกหลักฟ้าก็มืดอีกช่วงหนึ่งแล้ว ทั้งหนาว ลมเป็นระลอกๆพัดมายังบนในหน้า พัดจนเธอลืมตาไม่ขึ้น ในที่สุดก็ถึงสักที คนใช้ต่างคนต่างกำลังยุ่งอยู่ เสียงการจัดเตรียมจากข้างในก็คึกคักมาก
โคมไฟของตระกูลฟางที่นี่ จะยังไงก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเธอมาก
พี่เฉินเอาแจกันเก่าๆออกมาอันหนึ่ง เปิดตาก็เห็นฟางเหอเจิง เสียงที่แหบแห้งลอยขึ้นมา “คุณหนูฟางมาแล้วหรอ รีบเข้าไปนั่งข้างในเลย คุณปู่กับพี่สามยังมาไม่ถึง แต่จี้ซูอยู่ข้างในรอแล้ว”
ได้ยินคำพูดนี้
เหอเจิงหายใจอย่างโล่งอกทีหนึ่ง
ถ้าเธอมาช้ากว่าจี้เหยียนเซียงก็คงจะถูกด่าเป็นชุด
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไปรอที่จอดรถแล้วกัน”
พี่เฉินอุ้มแจกันไว้ด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า หายใจหอบ “รอโจวโจวหรอ ก็ดี เดี๋ยวฉันบอกกับคุณปู่เอง”
“ขอบคุณพี่เฉินมาก”
“เกรงใจเกินไปแล้ว”
เจ้าของบ้านตระกูลจี้แต่ละคนล้วนแล้วชอบว่าคนอื่น มีแต่คนใช้พวกนี้ ที่ใจดีมาก
โดยเฉพาะพี่เฉิน
เธอเป็นคนของแม่ของจี้ผิงโจว อยู่ที่บ้านตระกูลจี้นี้30กว่าปีแล้ว เป็นคนที่อยู่นานที่สุด นอกจากจี้ผิงโจวกับคุณปู่แล้ว คนของตระกูลจี้ไม่มีใครกล้าทำสีหน้าไม่ดีใส่เธอ
แล้วแม่ของจี้ผิงโจวจะเป็นคนที่โหดแค่ไหนกัน
แต่ละรุ่นต่างก็เป็นคนทำการทดลองทั้งนั้น คนทางเหนือที่เกิดและเติบโตที่นั่น และก็มีสวนแห่งวัฒนาธรรมที่เป็นรากฐานที่มั่นคง คนในรุ่นนั้นต่างเห็นว่าความเป็นตระกูลสำคัญกว่าอะไรหมด ตอนที่แม่ของเขาแต่งงานนั้นมีคนไม่เห็นด้วยมาก ต่อมาย้ายจากเหนือมาถึงใต้ ตอนนั้นไม่ชินกับน้ำและดินช่วงหนึ่ง ได้ยินเสียงพูดของพวกเขาก็รู้สึกขนลุก
ลูกที่ตั้งท้องยังไม่ถึงวัยก็เสียชีวิตแล้ว
ตั้งครรภ์ห้าครรภ์ แต่รักษาไว้ได้แค่ลูกสาวสองคนกับลูกชายคนหนึ่ง
จี้ผิงโจวจึงกลายเป็นลูกรักลูกหวงของแม่ ตั้งแต่เล็กก็ถูกเอาใจทุกอย่าง เคยไปพักวันหยุดฤดูหนาวที่บ้านคุณตา
เด็กในวัยเดียวกันต่างกลัวเขาแทบตาย ต่อหน้าเรียกเขาว่าพี่โจวโจว แต่ลับหลังกลับตั้งฉายาว่า ผู้พิชิตน้อย ไม่อยากเล่นกับเขา พยายามเอาเขาออกจากกลุ่ม
ต่อมาไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไร เด็กพวกนั้นกลับไปบ้านก็ถูกพ่อแม่สั่งสอน ไม่กล้าล้อฉายาของเขาลับหลังอีกเลย เห็นเขาก็กลัวแทบตาย เป็นอย่างนี้มานาน จนทำให้กลายเป็นสันดานของเขาไปเลย
จนถึงตอนนี้ แม้แต่ภรรยาก็อยากจะรังแกยังไงก็รังแก ไม่รู้จักแยกแยะอะไรเลย
หิมะตก เหอเจิงรออยู่ที่จอดรถเป็นเวลานาน ฝ่าเท้าทั้งชาและแข็งทื่อไปหมด ทนไม่ไหวจนต้องเป่าลมร้อนๆแล้วถูมือ
ฟ้าได้มืดสนิทแล้ว
ในที่สุดก็เห็นไฟรถกระพริบมาตามทางหลัก ล้อรถกดทับถนนเข้ามา ท่ามกลางหิมะที่ปลิวไสว จี้ผิงโจวเห็นเหอเจิง เธอยังคงแต่งตัวเบาบางเหมือนเดิม
เมื่อคืนเท้าได้รับบาดเจ็บ เธอจึงต้องใส่รองเท้าส้นต่ำอย่างเดียว
เตี้ยลงไปกว่าท่อนหนึ่ง ตัวเล็กๆนิดเดียว
ผู้หญิงที่ปกติแล้วฟันแหลมปากคม ดูแล้วก็ทำให้คนรู้สึกโมโห ตอนนี้หิมะตก เธอยืนอยู่ตรงนั้น เอาความแหลมคมออกไป ก็จะทำให้คนเกิดความรู้สึกอยากปกป้องขึ้นมา
เหอเจิงเงยหน้ารูปไข่ของเธอขึ้นมามอง ใบหน้าถูกแช่จนแทบดูไม่ได้
จี้ผิงโจวลงจากรถบอกให้เป๋ยเจี่ยน “เอาเสื้อผ้ามาหน่อย”
เขาลงรถไปก่อน สีหน้าโมโห คนยังไม่ได้เข้าใกล้ เสียงก็ไปก่อนแล้ว
“ยืนอยู่ตรงนั้นทำอะไร เป็นรูปเกะสลักน้ำแข็งหรอ”
เหอเจิงรู้ว่าความหวังดีของตนถูกมองเป็นเรื่องไม่ดีอีกแล้ว “รอนายกินข้าว”
จี้ผิงโจวรับเสื้อจากเป๋ยเจี่ยนสวมให้เหอเจิง “หายป่วยแล้วหรอ”
“ไม่ได้หนักอย่างนั้นแล้ว”
“เข้าไปก่อน”
พวกเขาเดินเคียงไหล่กัน
จี้ผิงโจวตั้งใจจะไปจับมือของเหอเจิง แต่เธอกลับหลบ การหลบแบบนั้นชัดเจนมาก ไม่ใช่ว่ากลัว แต่เพราะไม่อยาก ไม่อยากทำการแสดงที่ไม่จริงใจอย่างนี้
แต่ภายนอกของจี้ผิงโจวกลับนิ่งเงียบ “คุณปู่อยู่ ถ้าเธอไม่อยากให้ฉากละครมันไม่น่าดูก็อยู่ดีๆ”
พูดแบบนี้เหอเจิงถึงได้ยอมทำตามเขาโดยดี
นิ้วทั้งสิบค้องเกี่ยวกันไว้ ฝ่ามือกับฝ่ามือ ไออุ่นก็เริ่มจะส่งให้แก่กันและกันแล้ว
ตอนที่เป๋ยเจี่ยนจอดรถเสร็จตามไปพวกเขาก็ได้เข้าไปข้างในตึกหลักแล้ว พี่เฉินเจอเขาหน้าประตู บอกเบาๆว่า “เสียวเจี่ยน นายไปนั่งโต๊ะข้างๆโจวโจว รีบไปเลย”
“ครับ”
งานได้เริ่มแล้ว
คุณปู่นั่งที่หัวโต๊ะ พูดอะไรอยู่อย่างเบาๆ เป๋ยเจี่ยนมองทีเดียวก็เห็นเงาหลังอันตรงของจี้ผิงโจว และยิ่งกว่านั้นเขายังกุมมือเหอเจิงอยู่บนโต๊ะด้วย
ข้างๆของเหอเจิงมีจี้ซูนั่งอยู่
เธอรับไม่ได้กับการพูดที่เป็นทางการอย่างนี้ที่สุดแล้ว แค่อยากกินสักสองคำ
รอจนคุณปู่ขยับตะเกียบตักคำแรก
คนอื่นๆถึงกล้าขยับ
เหอเจิงหนาวจนไม่มีรสชาติอะไรเลย กินไม่กี่คำก็หยุดกิน แต่มือก็วางลงทันทีไม่ได้ ไหนจะต้องตักผักให้จี้ผิงโจว ไหนจะต้องเสิร์ฟน้ำแกงให้จี้เหยียนเซียง
แกงร้อนถ้วยหนึ่งถูกส่งไป
จี้เหยียนเซียงรับมาวางไว้ข้างๆ ขอบคุณสักคำก็ไม่มี เอาหน้ายิ้มแย้มไปถามจี้ผิงโจว่า “ทำไมวันนี้ไม่ผูกเนคไทหรอ”
ผู้หญิงเท่านั้นที่จะสังเกตสิ่งที่ละเอียดอย่างนี้
ได้ยินเธอถามแบบนี้ คุณปู่ก็หันหน้าไปมอง นัยต์ตาสงสัยเหมือนกัน
เป็นเรื่องที่จี้ผิงโจวไม่สบอารมณ์ในตลอดทั้งวันนี้
ตอนนี้ถูกเอ่ยขึ้นมาอีกแล้ว
เขายากที่จะเลี่ยงว่ากำลังโมโห และก็มีความอยากเอาคืนเล็กน้อย สามารถโยนความผิดลงบนตัวของเหอเจิงได้ตลอด “ตอนเช้ารีบเกินไป ลืมใส่น่ะ”
ตัวอักษรลอยๆไม่กี่ตัว
แต่ก็ทำให้จี้เหยียนเซียงทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา เธอแฝงด้วยความไม่แยแสและการพิพากษาโยนไปยังเหอเจิง “ทำไม เธอไม่ได้เตือนโจวโจวหรอ”
แผลที่อยู่ที่ขากลับร้อนเผ็ดเจ็บขึ้นมาทันที
ข้างหูของเหอเจิงมีเสียงหึ่งๆ ในหัวก็มืนงง ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมจี้ผิงโจวถึงได้พูดแบบนั้น
เขาคิดว่าเป็นคำพูดที่ไม่มีอะไร
แต่กลับเอาหมวกที่เขียนว่า “เล่นจนลืมหน้าที่”ใบหนึ่งใส่ให้เธอ เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก
จะว่าเล็กก็เพราะว่ามันเป็นแค่เนคไทเส้นหนึ่งเท่านั้น
จะว่าเรื่องใหญ่ก็เพราะว่า เธอเป็นภรรยาที่เอาใจใส่ไม่ทั่วถึง สามีอยู่ข้างนอก ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะเนคไทเส้นเดียวทำให้คนอื่นจำภาพลักษณ์ที่ไม่ดี ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
บรรยากาศในห้องทับถมฟ้าดินเข้ามา เหอเจิงกำลังคิดเรียบเรียงคำพูดอยู่ ท่ามกลางสายตาผู้คน เป็นเหมือนใบ้ไม่กล้าปริปากพูด แต่กลับถูกจี้ผิงโจวพูดแทรกเข้ามาแทน
เขายังคงสงบสุขม “เมื่อคืนเหอเจิงกลับบ้านมาดึก อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยมาก ไม่เป็นไรครั้งหน้าจำได้ก็โอเคแล้ว”
นี่มันอะไรกันเนี่ย
คนดีถูกเขารับบทไปหมดเลย
เหอเจิงเกลียดคนที่ทำเป็นเป็นคนดีแบบนี้ที่สุด
บนโต็ะอาหาร เธอดึงมือออกมาจากอุ้มมือของจี้ผิงโจว เงยหน้าขึ้น มองเขาเหมือนเป็นคนแปลกหน้า คำพูดที่เบาออกมาจากปาก “ไม่มีครั้งหน้าหรอก”
คำพูดนี้มีคนฟังความหมายออกแล้ว
แต่ก็มีจี้ซูที่ถามออกมาด้วยความอยากรู้ “มันหมายความว่าอะไร อะไรคือไม่มีครั้งหน้าแล้วหรอ”
เหอเจิงเพิ่งจะเอ่ยปากออกไป มือกลับถูกจี้ผิงโจวจับกลับไปอย่างแรง เขายิ้มแฝงความโกรธในพูดว่า “ก็เธอว่าจะไม่ลืม แล้ว ไม่ต้องมาว่าเธออีกไง”