ลมที่หนาวจัด หนาวทิ่มแทงกระดูกดำ
ขีดผ่านข้างหูไป เหมือนกับความเจ็บที่ถูกต้นหลิวขีดขวด ความหนาวขึ้นมาจากผ่าเท้าของจี้ซูจนถึงหัว เมื่อฟังข้อแลกเปลี่ยนของจี้ผิงโจวแล้ว เธอผลักเขาออกทันที “ฉันจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด พี่สะใภดีกับฉันขนาดนี้ ทำไมฉันต้องขายเธอด้วย”
จี้ผิงโจวตบแขนชายเสื้อ เต็มไปด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจในการขอร้อง “ฉันถึงจะเป็นพี่ชายแท้ๆของเธอ ฟางเหอเจิงกับเธอมีความสัมพันธ์อะไรกันล่ะ”
“ก็เธอเป็นพี่สะใภ้แท้ๆของฉันไงล่ะ”
“นั่นมันก็ต้องเป็นภรรยาของฉันก่อนถึงจะเป็นพี่สะใภของเธอไม่ใช่หรอ” เขาตรงไปตรงมากับคนในครอบครัวอย่างนี้ กลัวว่าจี้ซูจะมาไม้อื่น จึงได้แต่หยิบการ์ดใบหนึ่งยื่นให้เธอ “อันนี้ พอไหมล่ะ”
จี้ซูยิ้มเล็กน้อย “แค่การ์ดใบเดียวก็คิดจจะซื้อใจฉันหรอ”
จี้ผิงโจวหยิบออกมาอีกใบหนึ่ง เธอรีบเปลี่ยนอารมณ์ทันที เหมือนเก้าโค้งงอสิบแปดอย่างนั้น “เป็นสิ่งที่สมควรทำแล้วแหละ ฉันอยู่กับพี่สะใภ พี่วางใจได้เลย”
พี่น้องกันแท้ๆ ความสัมพันธ์ของใครจริงใจแค่ไหนต่างก็รู้อยู่แก่ใจแหละ
เทียบกับเหอเจิงแล้ว จี้ซูคงต้องจ่ายออกไปมากกว่ามาก
เธอรับเงินอย่างมีความสุขแล้วก็คิดจะหนี จี้ผิงโจวเพิ่งคิดได้ว่าเมื่อกี้เหอเจิงนั่งแทกซี่กลับมา เป็นเวลานี้อีกแล้ว เปิดปากถามเฉยๆว่า”ช่วงที่ผ่านมานี้ เธอออกไปตลอดหรอ ไปที่ห้องดนตรีเก่าหรือเปล่า”
จี้ซูหยุดฝีเท้าของเธอ มองเขาแต่ไกล “ฟังจากป้าหมิงเหมือนจะใช่นะ ทุกวันจะไปฝึกแป๊ปหนึ่ง”
หยุดไปสามปีกว่า
เหอเจิงก็ฝีมือตกแล้ว เพราะอย่างนี้เธอถึงไม่รับฝึกไม่ได้แล้ว
คิดแล้วคิดอีก จี้ซูพูดอีกว่า “เอ่อ ได้ยินป้าหมิงว่า เชลโลของเธอพังแล้ว ช่วงนี้กำลังหาทางซ่อมอยู่ เธอไปหลายที่แล้วก็ยังซ่อมไม่ได้”
ลมพัดผ่านใบหน้า จี้ผิงโจวกระพริบตาที่หนึ่ง ไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ ให้เงินกับจี้ซูอีกส่วนหนึ่ง “ช่วยเธอดูหน่อย ซื้ออันใหม่อันหนึ่งก็จบ”
จี้ซูมองของที่เขายื่นให้ “แล้วทำไมไม่ไปให้เธอด้วยตัวเองล่ะ”
การ์ดถูกสอดเข้าไปในมือ
จี้ผิงโจวพูดด้วยน้ำเสียงทนงตัว “ไม่มีใครซื่อใสบริสุทธิ์เหมือนเธอแล้ว ให้เงินนาง เดียวนางจะหาว่าฉันใช้เงินดูถูกนางอีก ฉันก็ไม่ถึงกับมีเวลาถึงขึ้นหาเหาใส่หัวหรอก”
“ปากแข็ง”จี้ซูได้รับเงินอีกเป็นก้อนใหญ่ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้เสียเปรียบ
เธอออกไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็วิ่งกลับมาอย่างมีความสุข
เพื่อการแสดงแล้วเธอต้องตั้งใจหน่อย
ตอนเข้าไปถึงหน้าประตูจี้ซูยังพยายามบีบน้ำตาเล็กน้อย ทำให้เปลือกตาเหมือนถูกทิ่มแทง เหมือนเพิ่งจะร้องไห้มาอย่างนั้น เดินขึ้นบันได แป๊ปเดียวก็พุ่งเข้าไปหน้าประตูห้องของเหอเจิง
เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว นั่งอยู่ข้างๆหน้าต่างอาศัยแสงดูชีทเพลง เป็นเพลงที่เมื่อก่อนเธอถนัดมือมาก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกไม่คุ้นเคย
เสียงส่งมาถึงหน้าประตู
หันหน้าไป เหอเจิงเก็บผมหลุดที่ข้างๆหูของเธอ เห็นจี้ซูที่เหมือนเพิ่งจะร้องไห้มาอย่างลางๆ “ทำไมกลัมมาอีกล่ะ ไม่ใช่ว่ากลับไปแล้วหรอ”
จี้ซูทำปากงอนอย่างไม่สบายใจ “พี่ขายฉันด่าฉันอีกแล้ว ฉันอยู่กับเขาไม่ได้จริงๆ พี่สะใภ้ พี่คงไม่ไล่ฉันไปหรอกนะ”
เหอเจิงกำลังสับสน ยังไม่ได้ตอบ จี้ซูกลับหาว่าเธอยอมให้อยู่แล้ว ก้าวเข้าไป ฟาดตัวลงไปบนเตียงของเธอ
ทั้งคืนเธอไม่ยอมออกไป
ทำเหมือนคนอัมพาตที่นอนอยู่บนเตียง เหอเจิงก็ไม่รู้จะทำไรกับเธอ ได้แต่นอนอยู่ข้างๆ กำลังจะหลับแล้วเชียว จี้ซูหันตัวกลับมา กอดเอวของเธอจากด้านหลัง เปิดปากพูดก็รู้เลยว่าเธอไม่ได้หลับเลยสักนิด
“พี่สะใภ้ พี่นอนหรือยัง”
เหอเจิงไม่ชอบให้ใครมาเตะเนื้อต้องตัว
เอามือของจี้ซูออกไปขณะที่ยังปิดตาอยู่ “กำลังจะหลับแล้วแหละแต่ถูกเธอปลุกขึ้นมาแล้ว”
เสียงของจี้ซูเล็กและเบา ไม่ตั้งใจจะรบกวนเธอจริงๆ
เงียบไปแป๊ปหนึ่ง เธอเหมือนกับคนต้องมนต์ตรา ไม่รู้ว่าเอาการ์ดมาจากไหนใบหนึ่ง เอาไปสอดใต้หมอนของเหอเจิง “พี่สะใภ้ อันนี้พี่ชายฉันให้พี่ไปซื้อเชลโล ฉันบอกว่าของของพี่เสียแล้ว เขาไม่พูดอะไรก็เอาอันนี้ให้ฉัน ในใจของเขายังเป็นห่วงพี่นะ”
ความเงียบดำเนินต่อไป
เหอเจิงไม่ปริปากอีกแล้ว
เหมือนกับว่าหลับไปแล้วจริงๆอย่างนั้น
เป็นห่วงหรอ
เมื่อนับจำนวนที่เป็นห่วงกับเวลาที่เขาโหดร้าย เหมือนจะมากกว่าอยู่
ช่วงเวลาที่เหอเจิงฝึกเล่นเชลโลนี้ตื่นแต่เช้าตลอด กลางวันของฤดูหนาวก็สั้น ตอนที่ออกจากบริเวณบ้านตระกูลฟางนั้นฟ้ายังไม่ส่าง เวลาที่ถึงตึกดนตรีก็เช้า
ก่อนหน้านี้มาสาย
ก็จะเจอนักเรียนส่วนหนึ่ง เหอเจิงซ้อมอยู่ที่ห้องฝึกฝนที่ชั้นบนสุดของตึก มันเป็นห้องที่วงดนตรีของเธอซื้อไว้ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีเธอก็เข้าไปได้ แต่นักเรียนเหล่านั้นไม่ได้รู้จักเธอ และก็มีไม่น้อยที่เธอจะถูกชี้บ้าง
เอาเชลโลออกมา
เหอเจิงปรับเสียงเครื่อง คอยๆลืมตาขึ้นมา เห็นจี้ซูที่ซ่อนอยู่ที่มุมห้องเรียนหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “ทำไมต้องตามฉันมาด้วย นอนอยู่บ้านไม่ดีกว่าหรอ”
วันนี้จี้ซูไม่รู้ว่าถูกมนต์อะไรสักอย่าง
ต้องการตามมาให้ได้
เธอฟุบอยู่บนโต๊ะที่หนาวเหน็บ หรี่ตา หนังตาตกจนยกไม่ขึ้น น้ำเสียงก็แฝงด้วยความมึนงง “ก็อยากมาไง”
ไม่มีเหตุผล
เหตุผลจริงๆก็ไม่กล้าบอก บอกให้เหอเจิงไม่ได้เด็ดขาด เพราะเธอรับเงินจากจี้ผิงโจวให้มาตาม คงกลัวว่าเหอเจิงจะหักหลังเขา แล้วให้เขาสวมหมวกเขียวใบที่สอง (หมวกเขียวคือถูกแฟนทิ้ง)
ในห้องเรียนเงียบมาก มันได้ปิดเสียงรบกวนต่างๆออก
ทั้งตึกเหมือนจะมีแต่เสียงดนตรีที่ปนกันไปหมด สบายหูมาก เหมือนเพลงกล่อมหลับ ไพเราะจับใจ เข้าสู่ความฝัน ยิ่งอบอุ่นเข้าไปกันใหญ่
เห็นจี้ซูหลับได้หวานขนาดนี้
เหอเจิงก็ไม่กลับทำเสียงดังออกมา กลัวว่ามันจะไปปลุกเธอ เลยหาเสียงตัวโน๊ตอย่างเบาๆ
ตัวเครื่องไม่มีปัญหา แต่ว่าเสียงเบามาก เสียงทุกสาย ไม่ว่าเธอจะปรับยังไงมันก็เหมือนเดิม
ตอนที่เริ่มฝึกดนตรีตอนแรกๆ ซ่งเหวินเคยสอนเธอว่าต้องซ่อมยังไง
ตอนนั้นเธอยังเด็ก ความสูงก็ถึงแค่ไหล่ของเขา ฤดูร้อนที่ร้อนเผา แอร์ของห้องเรียนก็เสียอีก เขาพับแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นข้อมือและแขนเล็กน้อย เวลาที่นิ้วดีดสายของเชลโลต้องใช้แรงเล็กน้อย ทำให้ผิวหน้าขาวซีด
ผู้ชายในความทรงจำมีผมที่เรียบตรง เสียงที่ฟังไม่เบื่อกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน
ทุกสิ่งทุกอย่าง สุดท้ายแล้วก็ถูกเชือกเส้นหนึ่งพันเข้าด้วยกัน
จนเหม่อลอย
เหอเจิงไม่รู้ว่ามือของตัวเองตั้งสายแน่นเกินไปแล้ว ยกผ่ามือออกจากตัวเครื่อง สายสายนั้นกลับดีดขึ้นมาทันที ดีดเข้ามาพันที่ข้อมือของเธอ ทำให้เกิดรอยบวมสีแดงเส้นหนึ่ง
ความแรงนั้นเจ็บมาก เธอร้องออกมาคำหนึ่ง
จี้ซูหลับลึกมาก เหมือนจะไม่ได้ยินความเคลื่อนไหว
เหอเจิงกลั้นความเจ็บไว้แล้วลดแขนเสื้อลงปกปิดรอยแผลไว้ กับเชลโลที่เสียๆเครื่องนี้ทำอะไรไม่ได้จริงๆ กำลังกังวลอยู่นั้น ข้างหลังเหมือนจะมีเสียงเกินมาสายหนึ่ง คือเจี่ยงเหยียน “เหอเจิงหรือเปล่า”
หันกลับไปตามเสียงนั้น เหอเจิงเก็บความเจ็บปวดไว้ “เธอไม่ไปเรียนหรอ”
หน้าที่หนังยิ้มแต่เนื้อไม่ยิ้มของเจี่ยงเหยียน “ตั้งใจจะเอาอันนี้มาให้น่ะ”
เธอยื่นตั๋วไปสองใบ
“อันนี้คือการแสดงครั้งแรกของนักเรียนในชั้นเรียนของพวกเรา เธอต้องมาให้ได้ มาช่วยแนนะนำหน่อย อีกอย่างตนนี้โอกาสในการชมการแสดงของเธอก็มีไม่มากแล้ว”
แม้แต่เหอเจิงเองก็รู้ดีว่า
ไม่เพียงแต่โอกาสชมการแสดงมีน้อย ต่อให้เป็นการขึ้นเวทีแสดงก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ตอนแรกที่ออกจากวงการ
ฉายาที่เป็นคนทรยศวงยังคงสลักไว้ สลักไว้บนตัวเธอ ต่อให้ขัดล้างยังไงก็ล้างไม่ออก
เสียงการสนทนาเก็บไม่อยู่ จี้ซูก็หลับอิ่มแล้ว ตื่นขึ้นมาก็เห็นผู้หญิงแปลกหน้ายืนอยู่ข้างๆเหอเจิง สีหน้าของเธอไม่ค่อยดี ตอบกลับอย่าง อ่อนๆว่า “ขอบคุณ แต่ว่าฉันเอาแค่ใบเดียวก็พอแล้ว”
เจี่ยงเหยียนอึ้งไปแป๊ป “ไปกับแฟนของเธอไง”
“แฟนหรอ”
“ก็ใช่นะสิ ครั้งก่อนเขามารับเธอ ฉันเห็นเขา เขาเป็นคนบอกฉันเอง ไม่ใช่หรอ”
นอกจากจี้ผิงโจวแล้ว ไม่มีใครตั้งใจจะมารับเธอหรอก
เหอเจิงไม่อยากพูดมาก รับตั๋วสองใบมา ด้วยอารมณ์ที่นนิ่งเงียบ จ้องไปยังชายกระโปรงของเธอ น้ำเสียงจืดชืดมาก “เขายังบอกอะไรเธออีก”