บทที่ 1
“ม๊าก็รู้ว่าผมไม่โอเคกับเรื่องนี้!”
โซฟาหนังตัวใหญ่ถูกผมเดินมานั่งจนยวบลงเป็นหลุมพร้อมกับช้อนสายตามองม๊ากับป๊าที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโซฟาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ผมยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิด้วยแววตาที่อยากจะร้องไห้ หมวยเดินเข้ามากอดผมราวกับปลอมปะโลมเท่าที่น้องสาวคนหนึ่งจะทำได้
หลังจากกลับมาถึงบ้านที่ไปพบปะครอบครัวว่าที่สามีผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น ราบรื่นแค่เฉพาะกับพวกผู้ใหญ่ แต่กลับผมไม่เลยสักนิด เพราะว่าที่สามีที่ผมกำลังจะหมั้นด้วยนั้นนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาราวกับน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ แค่คำสักคำพวกผมยังไม่เอ่ยทักทายกันสักคำ แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันไปไม่รอด แล้วจะดึงดันให้งานหมั้นดำเนินต่อไปอีกอยู่นั้นหรือไง
“คับฟ้าอย่าขัดใจอากงกับอาม่าเลยนะลูก ลูกก็รู้ว่าพวกท่านเป็นโรคหัวใจอยู่ด้วย”
น้ำเสียงนุ่มนวลของม๊าพูดขึ้นก่อนจะเคลื่อนตัวมานั่งโซฟาเดียวกันกับผม สองมือนุ่มของม๊าเอื้อมมาลูบหลังมือผมเบา ๆ เพื่อให้อารมณ์ที่ร้อนรุ่มสงบนิ่งลง แววตาของป๊าที่มองมายังผมก็ไม่ต่างอะไรกับม๊าสักนิด
หรือผมต้องยอมทำตามคำร้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ใช่ไหม…
ให้หมั้นกับผู้ชาย?….
“แต่นั่นมันผู้ชายนะม๊า ผมชอบผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย!”
ราวกับโดนขัดจนอยากจะดิ้นลงไปกับพื้นเหมือนเด็กสองขวบ แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย เสียงถอนหายดังเฮือกของทุกคนรวมไปถึงหมวยน้องสาวผมที่นั่งมองตาละห้อยเมื่อเห็นเฮียของตัวเองกำลังทุกข์ใจ ใครไม่เป็นผมไม่รู้หรอกว่ามันทุกข์ทรมานแค่ไหนกับการที่ต้องรู้ว่าตัวเองกำลังจะโดนคลุมถุงชนแบบนี้
“ถ้าไม่อยากหมั้นก็ไม่ต้องหมั้น อาม่าก็แค่เสียใจแค่นั้นเอง”
เสียงแขกไม่ได้ถูกรับเชิญดังขึ้นมาจากหัวบันไดบ้านหลังใหญ่ โดยข้างกายมีป้าสาลี่สาวใช้คนสนิทที่คอยรับใช้อาม่าตั้งแต่ผมจำความกำลังเดินประคองแขนอาม่าให้เดินลงมาจากบันไดทีละขั้นด้วยความระมัดระวัง พื้นกระเบื้องแกรนิตโต้ลายหินอ่อนหรูหราที่ฝ่าเท้าของอาม่าย่ำลงแล้วลงเล่า จนในที่สุดก็เดินมาใกล้โซฟาบริเวณห้องรับแขกที่ผมกำลังนั่งหน้าเครียดกับเรื่องบ้าบอที่เจอ
“คนแก่อย่างอาม่ามันเอาแต่ใจตัวเอง เลยไม่รู้ ว่ากำลังทำร้ายหลานชายที่อาม่ารัก”
เสียงสั่นเครือของผู้เป็นดวงใจของบ้านหลังนี้ก็พาทำเอาใจผมที่เป็นหลาน พี่ชายคนโตของบ้านถึงกับรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนทำให้อาม่าเสียน้ำตา น้ำใสจากเบ้าของเปลือกตาอันเ**่ยวย่นคู่นั้นไหลลงมาอาบแก้มอย่างน้อยใจที่ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับเรื่องที่ท่านทำ จากที่รู้สึกเครียดอยู่แล้วยิ่งทวีความเครียดเข้าไปอีก มาถึงตอนนี้ไม่ใช่แค่อาม่าที่ร้องป๊าม๊าและหมวยก็นั่งน้ำตาเล็ดไม่ต่างกัน
นี่ทุกคนกำลังกดดันผมทั้งน้ำตาใช่ไหม…
“ไม่ร้องนะคะอาม่า อาม่ายังมีหมวยนะคะ”
ไหนตอนแรกยังอยู่ฝั่งเฮียเลยล่ะหมวยทำไมพออาม่ามาหมวยทำแบบนี้กับเฮียล่ะ เหมือนสถาการณ์ตรงหน้าไม่มีใครอยู่ข้างผมเลยสักคน ผมจึงเงยหน้าหันไปมองแม้กระทั่งป้าสาลี่ก็ก้มหน้าคอยยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับอาม่าอีกแรง เอาเข้าไปเอากันเข้าไป ดักผมไว้ทุกทางอย่างนี้แล้วผมจะคลานหาช่องหนีได้อย่างไร
“อาหลิว ลื่อโทรไปบอกบ้านนู่นทีว่ายกเลิกงานหมั้นซะ เพราะอั้วไม่อยากบังคับหลานชายที่อั้วรัก”
สีหน้าผิดหวังและเสียใจของอาม่าทำเอาใจผมกระตุกไม่เป็นท่า สมองที่ประมวลเหตุและผลที่กำลังถกเถียงกันหัวก็ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ด้านหนึ่งบอกอย่าไปหลงกลของอาม่าที่วางไว้ แต่อีกด้านหนึ่งก็บอกให้ทำตามคำขอถือซะว่าทำตามคนแก่ที่กำลังมีโรคประจำตัวไปเสีย แล้วหลังจากนั้นค่อยหาวิธีเลิกเอาก็ได้ เมื่อสถานการณ์เริ่มแย่ลงเมื่อม๊าผมยกโทรศัทพ์เตรียมกดโทรตามคำบอกของอาม่า แต่เหมือนม๊าจงใจจะเคลื่อนไหวเชื่องช้ากว่าปรกติราวกับรอคำค้านของผม
“ก็ได้ ผมจะหมั้น…”
ในที่สุดก็จบลงที่ไอ้คับฟ้ามันต้องจนมุมคล้อยตามการแสดงละครดราม่าภายครอบครัวตัวเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สีหน้าเดิมของอาม่าที่ฉายแววเสียใจเมื่อครู่ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มที่สดใสกว่าเดิม โทรศัพท์ที่ม๊าถืออยู่ในมือถูกวางลงบนโซฟาแล้วโผล่เข้ามากอดผมที่ทำหน้าซังกะตายกับสิ่งที่เจอ ชีวิตบรรลัยที่แท้จริงมันกำลังจะหลอกหลอนผมไปตลอดกาลในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้สินะ
เมื่อสถานการณ์ถูกทำให้ผมจนมุมและจำยอมต่อโชคชะตา จึงขอตัวทุกขึ้นห้องตัวเองด้วยจิตใจสุดแสนจะล่องลอย สองขาเดินลากยาวมาจนถึงห้องนอน สองมือเอื้อมไปบิดลูกบิดแล้วเดินเข้าห้องไปโดยไม่ลืมกดล็อกกลอน เพื่อไม่ให้ใครเข้ามาได้ แม้แต่พี่หวานสาวใช้คนสนิทที่ดูแลผมมาตั้งแต่เด็ก
ร่างที่ไร้เรี้ยวแรงล้มตัวลงบนเตียงใหญ่ขนาดกว้างกว่าที่สามคนนอนได้สบาย สายตาที่ทอดมองขึ้นไปบนเพดานห้องสีครีมอย่างล่องลอย ดวงดาวน้อยใหญ่ที่ถูกติดแปะไว้บนเพดานห้องสมัยผมยังเป็นเด็ก ก็อดไม่ได้ที่จะปรบมือขึ้นกลางอากาศเพื่อเป็นสัญญาณให้ไฟที่ห้องปิดลง ความสว่างถูกแทนที่ด้วยความมืดมิดและภาพตรงหน้าก็ปรากฏหมู่ดาวจำลองมากมายหลาดวงราวกับผมกำลังนอนดูพวกมันอยู่บนท้องฟ้าในห้องของตัวเอง
“นี่มึงต้องหมั้นกับผู้ชายจริง ๆ หรอวะ”
“…”
“กับผู้ชายหน้าไม่รับแขกแบบนั้นอะนะ”
ผมนอนพูดกับตัวเองด้วยประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบจากใคร ก่อนจะนึกอะไรดีๆขึ้นมาได้เลยก้มลงไปควักโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวโปรดขึ้นมา แสงไฟหน้าจอจากเครื่องมือสื่อสารฉายขึ้นกระทบกับม่านตาของตัวเอง นิ้วเรียวของตัวเองเลื่อนกดไปยังปุ่มมหัศจรรย์ที่อยากรู้เรื่องไหนก็จะมีทุกอย่างที่มนุษย์เราต้องการ ปลายนิ้วผมเลื่อนลงมาที่แป้นพิมพ์เพื่อค้นหาบุคคลที่เป็นว่าที่สามีในอนาคต
‘ ขุนศึก ศิริเจริญสกุล หนุ่มไฟแรงแห่งแวดวงธุรกิจร้านอาหารไทยที่มีกว่ามากสิบสาขาในประเทศและพึ่งเปิดตัวสาขาใหม่ได้ไม่นานในประเทศจีน’
เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวทรงผมที่ถูกเซตให้เข้ากับรูปหน้ายิ่งทำให้ความโดดเด่นในตัวคนคนนี้ยิ่งน่าดึงดูดอย่างประหลาดใจ ผมหักห้ามใจที่อยากสอดส่องความเป็นมาของคนนี้ไม่ได้อีกต่อไปจึงเลื่อนอ่านประวัติชีวิตคร่าว ๆ ในเว็บที่เขียนลงเพื่อพีอาร์ด้วยสายตาที่จริงจัง
ต้องจริงจังเพราะผมยังไม่รู้ประวัติเกี่ยวกับคนที่ผมกำลังจะหมั้นด้วยเลย…
เมื่อสายตาไล่อ่านประวัติก็ทำให้อึ้งไปชั่วขณะเพราะโปร์ไฟล์มันช่างดูดีเกินกว่าที่คิดไว้ เป็นลูกชายคนโตของตระกูลมีน้องสาวหนึ่งคน เรียนจบจากมหาลัยขื่อดังเมื่อสี่ปีก่อน หากนับคราว ๆ ตอนนี้อายุก็น่าจะย่างยี่สิบเจ็ด ห่างกับผมสี่ปี และเมื่อยิ่งอ่านเหมือนจะยิ่งหาข้อเสียไม่ได้สักนิด
“จ่ายค่าพีอาร์หมดไปเท่าไหร่วะ มีแต่เรื่องที่ดูจะเกินจริง”
ผมโยนโทรศัพท์ลงกับเตียงอย่างไม่สนใจราคาที่ซื้อมาว่ามันแพงแค่ไหน เสียงปรกมือดังขึ้นอีกครั้งจากความมืดกลับมาสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง ตัวผมลุกขึ้นเข้าไปห้องน้ำเพื่อชำระความบัดซบที่เกิดขึ้นในชีวิตตัวเองเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ความบรรลัยความชิบหายมันกำลังเข้ามาเยือนผมอย่างเป็นทางการ สายน้ำที่ตกกระทบกับผิวกายของมันไม่ได้ทำให้ใจที่กระวนกระวายหายไปสักนิด ผมเอื้อมแขนหมุนฝักบัวให้สุดแรงพร้อมกับยื่นหน้าใส่น้ำอย่างเก็บกด
“กูอยากมีเมียไม่ได้อยากมีผัวเว้ย!!”
.
.
.
.
.
“กูนี่เตรียมใส่ซองงานมึงแล้วครับคุณเพื่อน”
สถาบันเทิงแนวร้านอาหารดนตรีสดที่ผู้คนต่างขวักไขว่เดินไปมาอย่างครึกครื้น วันนี้เป็นวันศุกร์หรรษาที่กลุ่มเพื่อนของผมได้นัดกันมากินข้าวทุกอาทิตย์ ตามข้อตกลงร่วมกันก่อนที่จะเรียนจบว่าต้องนัดเจอกันอย่างน้อย ๆ วันละอาทิตย์ก็ยังดี
“ใส่กับผีอะดิ กูไม่ตลกด้วยนะไอ้ฟอง”
เพื่อนคนแรกที่ปากหมาสุดในกลุ่มพูดขึ้นอย่างขบขันเมื่อรู้ว่าผมเป็นคนแรกที่จะมีครอบครัว แต่ใครจะรู้ว่าผมไม่ได้หมั้นกับผู้หญิงเพราะผมหมั้นกับผู้ชายต่างหาก!
“หัดยินดีกับเพื่อนอย่างจริงใจบ้างเถอะพวกมึง”
หนุ่มสายหวานอย่างไอ้เนมที่ทำหน้าตาจริงจังเมื่อเห็นผมถูกล้อเลียนอย่างชอบพอทางสายตา ถึงมันจะพูดอย่างนั้นก็เถอะแววตาของเจ้ารูปประโยคก็ไม่ได้ต่างกันตรงไหนสักนิดเดียว
“มึงก็ไม่ต่างกับไอ้ฟองเลยไอ้เนม กูนี่จริงใจกับมึงสุดแล้วคับฟ้า”
ไอ้หงส์เพื่อนคนสุดท้ายของกลุ่มที่ส่งสายตาสุดแสนจะจริงใจ จริงใจแบบปลอม ๆ ที่ใครมาเห็นก็ต้องบอกว่าของปลอม ผมไล่สายตามองพวกมันนิ่งพลางคิดในใจกับตัวเองว่าผีตัวไหนผลักให้ผมมาคบกับพวกเวรนี่กัน แต่ละคนมีแต่ความจริงใจให้กับผมเต็มไปหมด
“กองความจริงใจพวกมึงไว้ตรงนั้นเถอะครับ คับฟ้าคนนี้เกรงใจ”
สายตาผมตวัดขึ้นมองอย่างหมั่นไส้ในความทีเล่นทีจริงของพวกมันสามตัว แล้วหันหน้าไปทางวงดนตรีที่มีเสียงร้องเป็นตัวดึงดูดให้ผมถึงกับหันมาฟัง สมองถูกปลดปล่อยให้ไหลไปตามเพลงที่บรรเลงด้วยน้ำเสียงของนักร้องสุดแสนจะนุ่นนวล ซึ่งเสียงนั้นสามารถทำให้สมองผมปลอดโปร่งขึ้นมาได้อย่างเหลือเชื่อ สายตาล่องลอยทอดมองไปยังบนเวทีแล้วก็ทำให้นึกถึงอนาคตของตัวเองที่กำลังจะถูกเปลี่ยนไป
ความสุขของการที่ได้มานั่งพบปะกับเพื่อนทุกช่วงเวลาที่ต้อง…
ความสุขของการไม่มีพันธะทางความสัมพันธ์…
ความสุขของการที่ได้อยู่คนเดียวอย่างที่ชอบทำ…
สิ่งที่นึกคิดนั้นราวกับเป็นเพียงเพ้อฝันของผมไปเสียแล้วเพราะทุกอย่างมันกำลังแปรเปลี่ยนไป ในเมื่อชีวิตของผมทั้งชีวิตกำลังจะมีอีกคนเข้ามาร่วมแบ่งเวลาเหล่านั้นที่มันเคยเป็นของผมร้อยเปอร์เซ็นต์ให้ลกน้อยลง จากคนที่ชอบอยู่แบบสันโดษต้องอยู่ร่วมกับอีกคนที่ไม่เคยแม้แต่พูดคุยกัน จากที่เป็นคนไม่วิ่งหาความสัมพันธ์สิ่งนั้นกลับวิ่งมาหาผมโดยที่ผมไม่เคยร้องขอ นี่แค่คิดคนอย่างคับฟ้าคนนี้ก็ปวดหัวเสียแล้ว
“แล้วคนที่บ้านมึงให้แต่งกับใครวะ มึงยังไม่บอกพวกกูเลยนะ”
เสียงของเนมสอดแทรกเข้ามาในโซนประสาททำให้ม่านตาที่เคยปิดถูกเปิดออกโดยที่ผมหันหน้ามาทางเดิมที่มีพวกมันนั่งจ้องอย่างต้องการรู้คำตอบ ผมมองหน้าเพื่อนตัวเองสักพักแล้วเอียงตัวไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาหาเว็บไซต์ที่ผมนอนอ่านเมื่อคืนให้พวกมันมันเห็นเองกับตา เมื่อแขนขวาผมยกชูขึ้นพวกเพื่อนผมถึงกับยกมือปิดปากกันอย่างไม่เชื่อ โดยเฉพาะไอ้ฟองที่กำลังตักข้าวเข้าปากถึงกับทำช้อนตกพื้นจนโต๊ะอื่นหันมามอง
“เชี้ย มึงเอาจริงดิ!”
“มึงไม่ได้ล้อพวกกูเล่นแน่นะไอ้คับฟ้า!”
“มีผัวทั้งทีมึงเล่นเอาผัวรวยเชี้ย ๆ แบบนี้เลยหรอวะ!”
ความเล่นใหญ่ของเพื่อนแต่ละคนที่ตกใจกับสิ่งที่เห็นยังไม่ได้ครึ่งของผมที่มันทั้งอึ้งสักนิด ทั้งตกใจ ทุกอารมรณ์ผสมปนเปกันไปหมด ผมเก็บโทรศัพท์ลงแล้วโน้วตัวไปหยิบน่องไก่ทอดขึ้นมาแทะเพราะเวลานี้ซ้อมไม่ต้องมืออย่างเดียว
“มึงคิดว่ากูดีใจหรอไง ขอโทษนะครับกูไม่ได้รู้สึกแบบนั้น”
ผมพูดออกไปทั้ง ๆ ที่เนื้อไก่เต็มปาก ความโมโหและอัดอั้นตันใจเมื่อไม่ได้ระบายมาทั้งคืนเพราะที่บ้านทุกคนต่างเสียงเดียวกันหมดว่าอยากให้งานดำเนินต่อไป ไม่มีใครที่จะอยู่ข้างผมสักคน
“กูไม่ได้อย่างแต่งพวกมึงเก็ตกูป่ะ กูไม่ได้ชอบผู้ชาย!”
มือข้างขวาที่จับน่องไก่ส่วนฟันก็ทำหน้าที่ฉีกเนื้ออย่างเอล็ดอร่อยโดยที่มีไอ้เนม ไอ้ฟองและไอ้หงส์ นั่งดูผมกินอย่างไม่ว่างตา ไก่ชิ้นที่หนึ่งผ่านไปชิ้นที่สอง สาม และสี่เพราะสิ่งตรงหน้าไม่สามารถคหยุดปากของตัวเองไได้
“อ เอ่อ ถ้าว่าที่ผัวมึงเห็นคงไม่อยากแต่งกับมึงแล้วล่ะว่ะ”
ไอ้เนมมองผมด้วยสายตาเอือมระอากับฟฤติกรรมการกินไก่ที่มันยังไม่มีคำว่าชินในสายตา ถึงแม้ผมจะทำตัวแบบนี้ตั้งแต่ประถมก็ตาม พวกมันยังไม่ชินกับผมอีกหรือไง
“ดี ไม่อยากแต่งกับกูยิ่งดี เพราะกูก็ไม่ได้อยากแต่งเหมือนกัน”
ผมตอบกลับไอ้เนมแล้วเอื้อมมือไปจับน่องไก่ขึ้นมาแทะกินอย่างดับอารมณ์ที่หงุดหงิดในใจ บางคนอาจจะมีของกินที่ดับอารมณ์ของตัวเองได้ ผมก็เช่นกันนั่นก็คือ ไก่ทอด…
“อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ กูเคยเห็นเขาด้วย”
ไอ้หงส์ที่นั่งจิบเบียร์ด้วยท่าทีที่ไม่ทุกข์ไม่ร้อน พูดขึ้นจนทำให้พวกที่เหลือหันไปหามันอย่างสนใจในหัวข้อที่มันกำลังจะพูด แต่ไม่ใช่กับผม เพราะไก่ทอดยังคงเป็นสิ่งที่ผมสนใจที่สุด
“กูเคยเจอตอนตอนงานกับพ่อ งานเปิดตัวร้านอาหารของเขา ข่าววงในบอกกูว่า…”
มันหยุดอยู่แค่นั้นแล้วหันไปจิ้มลูกชิ้นทอดเข้าปากอย่างไม่รีบร้อน หูทั้งสองข้างของผมกระดิกคอยรับฟังโดยที่ตาก็ยังจับจ้องไปที่น่องไก่อยู่ในมือไม่ห่าง
“ว่าอะไรละครับ เร็วๆ!”
น้ำเสียงที่คาดคั้นบวกกับนิสัยของการอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านอย่างไอ้เนมไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ที่รู้จักกันมา มันอยากรู้มากกว่าผมที่จะกลายเป็นซ้อใหญ่เสียอีก
“วงในเขาบอกว่าเช้าชู้ตัวพ่อ”
“ก็ไม่แปลกหล่อ รวยขนาดนั้น ปรกติป่ะวะ”
“วงในเม้ากันอีกว่า ดาราตัวแม่ในวงการก็โดนฟาดเรียบมาหมดแล้วมึง”
ช่างเป็นพีอาร์ที่ไม่เคยได้รับรู้จากในเน็ตจริง ๆ ด้วย ผมก็คิดอยู่ว่าคนอะไรจะมีแต่เรื่องดีขนาดนั้น ผมว่าที่ไอ้หงษ์เล่ามาคือเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสืบ ถ้าฟังจากพฤติกรรมแล้วผมไม่ควรที่ไปข้องเกี่ยวด้วยเลย
ย้ำ !
ไม่ควรไปทำความรู้จักด้วยซ้ำไป…
“ฟังดูแล้ว ไอ้คับฟ้าของเราจะรอดไหมวะ”
ไอ้ฟองที่นั่งฟังนิ่งในสุดท้ายก็ปากเปิดพูดออกมา สีหน้าของไอ้เนมกับไอ้หงส์ก็มองมาที่ผมอย่างสงสาร ผมที่ฟันเหวี่ยงกับน่องไก่อย่างมีความสุขพร้อมกับเบ้ปากอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าคนนั้นจะนิสัยยังมาก่อนแต่สุดท้ายผมก็ต้องโดนจับหมั้นอยู่ดี
ใครจะกล้าขัดอาม่าผู้เป็นใหญ่ของบ้านได้กันล่ะครับ….