บทที่ 13
“ป้าเพ็ญวันนี้ขอโต๊ะใหญ่นะคะ มาห้าคนเด้อ!”
“นั่งด้านในเลยอิหล่า อยากกินหยังจดไว้เลย เดี๋ยวป้าสิจัดให้แซ่บ ๆ คือเก่า!”
เสียงพูดคุยโต้ตอบกลับเป็นภาษาถิ่นระหว่างเพลนกับป้าเจ้าของร้านทำเอาผมยิ้มอย่างชอบใจ ตอนนี้ผมเดินมาหยุดอยู่ร้านอาหารอีสานร้านหนึ่งเป็นร้านขนาดกลางเหมือนร้านอาหารตามสั่งทั่วไปและแน่นอนว่าร้านไม่มีเครื่องปรับอากาศสำหรับนั่งทาน ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวของประเทศไทยคงจะทำให้เหงื่อไหลออกมาไม่น้อย ผมยืนมองร้านตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกตา เพราะตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยมานั่งทานร้านลักษณะนี้มาก่อน ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากลองแต่ด้วยสิ่งแวดล้อมรอบข้างทำให้ผมไม่มีโอกาสได้สัมผัสบรรยากาศร้านแบบนี้ต่างหาก
“คับฟ้านั่งได้ไหม ถ้าไม่สะดวกใจผมจะพาเปลี่ยนร้าน”
ธามเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอบอุ่นอีกแล้ว สีหน้าแววตาที่สื่อให้ผมได้รับรู้ว่าคนตรงหน้าใส่ใจผมไม่น้อย ถึงแม้ว่าชีวิตนี้จะไม่เคยนั่งแต่ยังไงผมก็ต้องทำงานกับทุกคนในทีมอีกนาน ดังนั้นอะไรที่ไม่เคยลองผมจะคิดเสียว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ก็แล้วกัน
“ไม่เลย ผมนั่งได้เราเข้าไปด้านในกันเถอะ”
ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้มให้คนข้างกายไปเมื่อธามได้ยินแบบนั้นแขนข้างหนึ่งจึงพายออกให้ผมเป็นฝ่ายเดินก่อนตัวเอง ผมถึงกับยิ้มขำในความมีมารยาททางสังคมของเพื่อนร่วมงานคนนี้เสียจริง
“คุณคับฟ้ามานั่งตรงนี้เลยค่ะ นั่งข้างเพลนเลย”
เพลนกวักมือเรียกผมให้นั่งข้างเธอซึ่งโต๊ะนั่งของเราคือโต๊ะไม้หินอ่อน มีด้วยกันทั้งหมดสี่ด้านผมกับเพลนนั่งตัวเดียวกัน ถัดไปจะเป็นของดรันและทัตส่วนคนสุดท้ายคือธามที่นั่งตรงข้ามกับผมคนเดียวไม่มีใครร่วมแย่งพื้นที่นั่งด้วย เมื่อผมหย่อนตัวนั่งลง เมนูอาหารถูกยื่นมาตรงหน้าผมจากเพลน ผมไล่สายตามองหาสิ่งที่คิดว่าตัวเองจะกินได้ซึ่งอาหารอีสานแบบนี้ผมเคยกินแต่ส้มตำไทยเท่านั้นแหละ
“คุณคับฟ้ากินน้ำตกไหมคะ น้ำตกเนื้อหรือหมูดีคะ”
ในขณะที่สายตาของผมไล่ดูรายกายอาหารด้วยความตั้งอกตั้งใจ เพลนเอี้ยวตัวมาถามผมพร้อมตั้งท่ารอจดเมนูตามที่ผมบอก สายตาทุกคนบนโต๊ะรวมไปถึงธามที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็มองมาทางผมเหมือนลุ้นว่าผมจะสั่งอะไรเป็นอย่างแรก ความประหม่าจากการถูกมองนั่นมีไม่น้อย ถ้าผมจะบอกว่าไม่เคยสั่งอาหารประเภทนี้มาก่อนก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ กลัวทุกคนจะรีบเปลี่ยนร้านเพราะผมเป็นแน่ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจบอกตามชื่ออาหารที่ผมสะดุดตามมากที่สุดก็แล้วกัน
“เอ่อ ส้มตำไทย น้ำตกหมู ตับหวาน แล้วก็…”
เมื่อไล่บอกเมนูที่พอจะกินได้ในจังหวะนั้นสายตาผมดันไปสะดุดกับภาพบนใบเมนูที่ดูจะแปลกตากว่าเมนูอื่น สิ่งมีชีวิตสีขาว ๆ นั่นมันคืออะไรกัน ผมพึ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกและเมื่อสายตาไล่อ่านชื่อก็ถึงกับตกใจ ที่ผมตกใจก็คือสิ่งนั้นมันสามารถกินได้ด้วยหรือ
“แล้วก็อะไรอีกดีคะ บอกเพลนมาเลยค่ะ”
เพลนที่รอจดเมนูนั่นเอ่ยพูดขึ้นเพราะเห็นผมหยุดไปกลางคัน ด้วยความสงสัยผมจึงยกใบเมนูขึ้นแล้วใช้นิ้วจิ้มไปที่รูปเจ้าสิ่งนั้นด้วยความอยากรู้และอยากลอง เมื่อทุกคนเห็นผมชี้เมนูก็ถึงกับยกยิ้มกันใหญ่จนผมคิดไปว่าอาหารจานนี้คนไม่นิยมกินกันหรอกหรือ
“เขาเรียกว่ายำไข่มดแดงครับคุณคับฟ้า เป็นอาหารอันโอชะโอชาของภาคอีสาน กว่าจะได้กินต้องตามช่วงฤดูเท่านั้นแถมกิโลนึงเกือบพันเลยนะครับ”
หน้าตาผมตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินราคาของเจ้าไข่สีขาวนี้และก็เป็นอีกหนึ่งความรู้ใหม่ที่ทำให้รู้ว่าไข่ของมดแดงมันก็ไม่ไช่ราคาถูก ๆ เหมือนกัน ได้ยินอย่างนี้ผมคงต้องลองเสียแล้ว
“งั้นผมลองอันนี้แล้วกันครับ ดูแปลกตาดี”
“จัดไปค่ะ แล้วคนอื่น ๆ เอาอะไรบอกมาเลย เดี๋ยวเพลนจดให้เอง”
เมื่อการสั่งอาหารของผมเสร็จสิ้นพอดีกับจังหวะที่ตัวของธามลุกขึ้นยืน ใบหน้าของคนตรงหน้ายกมือทำสัญญาลักษณ์บอกเป็นกลาย ๆ ว่าเดี๋ยวมา ผมก็ได้แต่พยักหน้าตอบกลับ สายตาผมทอดมองแผ่นหลังของธามหายออกไปจากตัวร้านผมจึงหันมาให้ความสนใจกับเสียงพูดคุยถกเถียงกันเรื่องอาหารระหว่างสามคนบนโต๊ะหินอ่อนนี้แทน
“อ่อมเนื้อเปื่อยด้วยนะให้คุณคับฟ้าชิม เมนูเด็ดของร้านเลยครับผมรับประกันได้”
ทัตถึงกับยกนิ้วโป้งขึ้นมาให้ผมทั้งสองข้างถ้ายกขนาดนี้คงจะเป็นจริงอย่างที่ทัตบอกแล้วล่ะ ผมยิ้มและขำออกมาเล็กน้อยเหมือนเห็นพี่น้องสามคนกำลังชุลมุนแย่งสั่งอาหารกันเสียอย่างนั้น นี่ขนาดวันแรกของการทำงานผมก็เริ่มสังเกตเห็นพฤติกรรมของแต่ละคนได้ค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะเพลนที่ดูท่าทางจะเด็กสุดในทีมและเหมือนจะเป็นน้องสาวสุดที่รักของบรรดาพี่ใหญ่ในทีมอีกต่างหาก
“ป้าเพ็ญเสร็จแล้วเด้อ! ฟ่าว ๆ แหน่ล่ะ หมู่เพลนหิวข้าวแล้วจ้า ขอแซ่บ ๆ เด้อ!”
“จัดไปอิหล่า! จ๊วดดด!”
สากใหญ่ยาวของป้าร้านส้มตำยกขึ้นชู้แล้วพูดภาษาถิ่นตอบกลับมาทำเอาผมหลุดขำพรืดด้วยความเอ็นดูในความเอ็นเตอร์เทรนของป้า และในระหว่างที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับสภาพแวดล้อมใหม่ที่ไม่คุ้นตาเสียงโทรศัพท์ก็สั่นขึ้นบนโต๊ะหินอ่อน สายตาผมเล่ห์มองว่าใครกันที่โทรมาเพราะปรกติถ้าเป็นเพื่อนผมพวกมันจะแชทมาเสียมากกว่า เมื่อสายตามองจดจ้องไปที่ชื่อของสายเรียกเข้า ก็ถึงกับจับโทรศัพท์ตัวเองคว่ำลงกับโต๊ะอย่างไม่สนใจจะกดรับ เพราะถ้ารับคนปลายสายมันจะต้องก่อกวนให้ผมไม่มากก็น้อย
“มาแล้วครับผม น้ำอัดลมเย็น ๆ ชื่นใจเหมาะแก่การคลายร้อนได้ดี”
ร่างของชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มเป็นอาวุธเดินถือแก้วน้ำตรงมาที่โต๊ะเต็มไม้เต็มมือจนเกือบจะหกราดไปกับพื้น น้ำอัดลมหลากสีถูกแจกจ่ายให้กับทุกคน แต่มีอยู่แก้วหนึ่งที่ดูจะแปลกตาไปจากทุกแก้ว ธามวางแก้วนั้นไว้ตรงหน้าผมและส่งยิ้มมาให้เหมือนทุกครั้ง ผมมองแก้วน้ำปั่นสลับกับร่างสูงตรงหน้าที่ดูจะเทคแคร์จนผมรู้สึกเกรงใจ
“น้ำแตงโมปั่นเผื่อคับฟ้าจะชอบ”
“แอ่กๆๆ!”
เพลนเกิดอาการสำลักน้ำขึ้นมาทำให้ผมใช้จังหวะนี้หันไปหยิบทิชชู่ให้เพื่อที่จะหลบสายตาคู่นั้น สายตาที่มีรอยยิ้มละมุนแถมอบอุ่นอีกต่างหาก ก่อนที่ความคิดบ้าบอของตัวเองจะเตลิดไปไกลบรรดาเมนูอาหารมากมายที่ได้สั่งไปเมื่อสักครู่ถูกพนักงานยกมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ
“และนี่คือไข่มดแดงอาหารชั้นเลิศของทางภาคอีสานบ้านเฮา! เชิญคุณคับฟ้าลองชิมเลยครับ”
ดรันเลื่อนจานที่เรียกว่าไข่มดแดงมาตรงหน้าผม ลักษณะหน้าตาดูท่าทางเหมือนจะไม่น่ากินเอาเสียเลย ผมทำใจอยู่สักพักก่อนคว้าช้อนเอื้อมไปตักขึ้นมาเข้าปากโดยมีสายตาสามคู่มองมาที่ผมด้วยสีหน้าแอบลุ้น ลุ้นว่าผมจะกลืนหรือจะคายทิ้ง
เม็ดของไข่มดแดงเมื่อถูกฟันกัดลงมาทำให้ความรู้สึกเหมือนมีเม็ดเล็ก ๆ แตกในปากของตัวเอง ส่วนเรื่องรสชาติที่ดูจะแปลกประหลาดแต่พอเคี้ยวนาน ๆ ไปกลับอร่อยอย่างคาดไม่ถึง
“เป็นยังไงบ้างคะคุณคับฟ้า”
เพลนเอี้ยวหน้าถามผมด้วยน้ำเสียงลุ้นไม่น้อย ผมมองหน้าทุกคนพร้อมกับเคี้ยวสิ่งที่อยู่ในปากกลืนลงท้อง ผมเลือกที่จะไม่ตอบคำถามแล้วคว้าช้อนขึ้นไปตักเจ้าสิ่งนั้นเข้าปากอีกครั้งทำเอาทุกคนหัวเราะกันใหญ่เมื่อเห็นว่าผมเริ่มติดใจกับเมนูนี้เข้าให้แล้ว
“เป็นยังไงครับผมบอกแล้ว เมนูนี้เด็ดสุดของร้าน”
“อร่อยมากครับ เด็ดสมชื่อจริง ๆ”
หลังจากที่ลุ้นกันจนตัวโก่งทุกคนจึงก้มหน้าก้มตาจัดการกับข้าวหลายสิบอย่างกันด้วยความหิวโหย แต่มีหนึ่งคนที่ค่อยฉีกไก่มาวางไว้บนจานของผมไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ฉีกให้ผมจนจะเต็มจานไปหมดผมจึงต้องช้อนตาขึ้นมองธามแล้วยกมือขึ้นให้สัญญาณว่าพอ
“ธามกินเถอะผมทำเองได้ ธามกินเลย”
ด้วยความเกรงใจและรู้สึกไม่ค่อยชินกับสายตาของทุกคนบนโต๊ะที่มองมา เรื่องที่ผมมีความสัมพันธ์กับเจ้าของบริษัทนี้ยังไงเสียทุกคนต้องรับรู้และถ้าหากธามยังทำเหมือเอาใจใส่ผมแบบนี้ คนที่ถูกมองว่าไม่ดีมันจะเป็นธามเสียมากกว่า ถึงตรงนี้จะมีแต่เพื่อนร่วมทีมของผมก็เถอะมันก็ไม่สมควร
“แอ่กๆ!…ท…ท่านประธาน…ท่านประธานสวัสดีครับ!”
เหมือนฟ้าจงใจกลั่นแกล้งให้ช่วงเวลาในชีวิตของผมไม่พบเจอความสงบสุขเลยหรือ เมื่อร่างสูงในชุดสูทเต็มยศกำลังเดินเข้ามาภายในตัวร้านโดยมีลูกน้องประกบหลังเดินตามมาอีกสองคน ผู้คนที่นั่งอยู่ด้านในถึงกับเหลียวหลังหันมองกับออร่าของชายรูปหล่อที่ชื่อขุนศึก ส่วนเพื่อนร่วมงานของผมโดยเฉพาะดรันกับทัตที่กำลังซดน้ำแกงถึงกับสำลักและรีบลุกขึ้นยกมือไหว้ทักทายเมื่อเห็นประธานตัวจริงเสียงจริงมาอยู่ที่นี่
“ส…สวัสดีค่ะท่านประธาน”
สายตาของขุนศึกไม่ได้สนใจคำทักทายของลูกน้องแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนตรงหน้าคือผมต่างหาก ร่างสูงยืนตัวตรงสง่าสีหน้าไสบอารมณ์ราวกับพยายามเก็บงำความโกรธอยู่ในใจ หางตาเฉียมคมตวัดมองไปที่เพื่อนร่วมงานของผมอย่างเสียมารยาท สีหน้าท่าทางของท่านประธานบริษัทตอนนี้หงุดหงิดไม่น้อย
“ทำไมไม่รับสาย”
ทั้งโต๊ะตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่ได้คายไม่ออก สายตาของขุนศึกยังคงจ้องมองไปที่ธามอย่างไม่ละสายตามีแต่รูปประโยคคำถามเท่านั้นที่จงใจเอ่ยถามผมท่ามกลางบรรดาพนักงานตัวเอง สีหน้าทุกคนในที่นี่บ่งบอกได้เลยว่าคงจะนั่งกินต่อไม่ลงเป็นแน่ถ้าหาเจ้านายของตัวเองยังยืนหน้าเข้มอยู่แบบนี้
“กินข้าวอยู่เลยไม่ได้รับ”
ผมถอนหายใจดังเฮือกแล้วตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจเพราะยังไงทุกประโยคที่ผมพูดก็คือข้อแก้ตัวดี ๆ นี่เอง ข้อแก้ตัวที่ว่าผมไม่อยากไปตามคำนัดของขุนศึก…
“โทรมาตั้งหลายสายมันก็ต้องรับกันบ้างสิ!”
เสียงเข้มไต่ระดับขึ้นไปเล็กน้อยพอให้ผมรับรู้ได้ว่าตอนนี้มันโมโหในสิ่งที่ผมทำและกำลังพยายามเก็บอาการไม่ให้ระเบิดออกมาต่อหน้าพนักงานในบริษัทของตัวเอง และแน่นอนว่ามันจะโมโหแค่ไหนผมก็ไม่ได้เกรงกลัวคนอย่างขุนศึกอยู่แล้ว
“ท่านประธานมาถึงที่นี่ นั่งกินข้าวกับพวกเราไหมครับ พวกเรายังกินได้ไม่ถึงสามคำเลยครับ”
เสียงธามเอ่ยเชื้อเชิญเจ้านายตัวเองอย่างอาจหาญพร้อมกับรอยยิ้มประจำตัวทำเอาคนอื่นต้องถึงกับยกมือปาดเหงื่อที่ไหลย้อยบนใบหน้า ผมนั่งชิมกับข้าวต่อโดยไม่สนใจว่าใครจะยืนหรือใครจะนั่งเพราะตอนนี้ผมเริ่มจะติดใจกับรสชาติของอาหารร้านนี้เข้าให้แล้วโดยเฉพาะยำไข่มดแดง
“เอาสิ ถ้าพวกคุณไม่ว่าอะไร มื้อนี้ผมจะนั่งกินด้วยได้หรือเปล่า”
ประโยคของขุนศึกทำให้มือที่กำลังช้อนเส้นมะละกอถึงกับชะงักผมไม่ได้หูฟาดไปใช่ไหมที่ผมได้ยินว่ามันจะนั่งกินข้าวมื้อเที่ยงกับพวกผม
“อ…อ้อ! ไม่ว่าอะไรเลยครับท่านประธาน พวกเรายินดีมาก ๆ เลยครับผม”
“ช…ใช่ ๆ ใช่ค่ะเพลนยินดีมากเลยค่ะที่มื้อนี้ท่านประธานจะมารับประมานอาหารด้วย”
ท่าทางของทุกคนดูจะตื่นตระหนกกันไปหมด ดรันถึงกับใช้มือตัวเองปัดเศษฝุ่นตรงม้าหินอ่อนตัวเดียวกันกับธามออกให้ เมื่อดรันปัดกวาดเสร็จเรียบร้อยจึงผายมือเชิญให้ร่างสูงหย่อนตัวนั่งลงทันที สายตาคู่คมคายนั้นเล่นจ้องมองผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอยู่ตรงข้ามโดยไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ ส่วนคนที่เหลือก็กลับมานั่งลงที่ของตัวเองเว้นแต่ศิลป์และชายชุดดำอีกหนึ่งคนที่ยืนคอยสังเกตการณ์อยู่ทางด้านหลังโดยไม่สนใจลูกค้าที่มองอยู่ว่าจะกลัวหรือเกรงอะไรแม้แต่น้อย
“น…น้องคะพี่ขอชุดจานอีกชุดนึงค่ะ”
เพลนจากปรกติที่เฮฮาพูดจาฉะฉานแต่ตอนนี้กลับเงียบเสงี่ยมเจียมตัวอย่างกับคนละคน ทุกอย่างบนโต๊ะผิดปรกติไป ทุกคนในที่นี่ตัวเกร็งและไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองขุนศึกกันสักคนยกเว้นแต่ธาม ที่ยังทำหน้าตาปรกติแถมช้อนสายตามองผมด้วยรอยยิ้มอีกต่างหาก
ยิ้มให้ผมต่อหน้าขุนศึกแบบนี้ไม่กลัวจะโดนหางเลขไปด้วยหรือไงกัน…
ชุดจานถูกพนักงานเด็กหนุ่มน้อยมาเสิร์ฟให้โดยมีสายตาของขุนศึกมองด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยจะโอเคเท่าไหร่นัก ผมที่เป็นคนปรับตัวง่ายเปลี่ยนไปตามสถานการณ์แวดล้อมได้เร็ว แต่กลับคนตรงหน้ามันท่าทางจะยากผมที่นั่งมองร่างสูงใส่สูทเนื้อผ้าชั้นดีสักพักก็ไม่มีกาขยับเขยื่อนตัวสักนิดเกียว ถ้าปล่อยไว้แบบนี้มีหวังกับข้าวที่สั่งมาสองทุ่มก็คงกินไม่หมดแน่
“ดรันบอกเมนูนี่อร่อย กินสิ”
ผมเลื่อนเมนูไข่มดแดงไปตรงหน้าขุนศึกซึ่งในใจอยากจะแก้เผ็ดให้คนตรงหน้ากินเพราะความหมั่นไส้ที่มีอยู่ในก้นลึกสุดของใจ สายตาคมเข้มหลุบต่ำมองลงด้วยความไม่ไว้ใจแถมนั่งกอดอกยืดตัวตรงเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าตนเองนั้นจะไม่มีทางกินมันเด็ดขาด
“ธามกินด้วยสิครับ ผมว่าอร่อยไม่เบาเลย”
เมื่อเห็นท่าทีของขุนศึกจะดูหมิ่นดูแคลนอาหารจานโปรดของผมนั่นก็ไม่ได้แคร์อะไร เลยหันไปพูดกับธามที่นั่งก้มลงกินข้าวอย่างเงียบ ๆ เหมือนคนอื่นที่กำลังทำอยู่แต่ในจังหวะที่ธามกำลังจะตักไข่สีขาวกินแขนของขุนศึกก็เอื้อมมือมาตักเข้าปากอย่างว่องไวโดยมีสายตาของทุกคนรวมถึงผมที่มองดูอาการของร่างสูงตรงหน้าว่าจะทิ้งหรือจะคาย
“ก็อร่อยดี”
สามคำที่หลุดออกมาจากปากของขุนศึกทำให้ดรัน เพลนและทัตถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อทุกอย่างกลับเข้ามาเป็นปรกติแต่ความตึงเครียดก็ยังไม่ห่างหายออกไป ไหนจะสายตานับสิบของบรรดาลูกค้าก็ชะเง้อมองมาที่โต๊ะของพวกผมอย่างโจ่งแจ้ง ในขณะที่หัวกำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยด้วยความที่อยากจะชิมน้ำแกงอ่อมจึงใช้ช้อนเอื้อมไปตักแต่ในจังหวะเลื่อนเข้ามาที่ปากมือผมกลับสั่นจนน้ำแกงนั้นหกเลอะใส่ตัวผมทั้งเต็มไปหมด
“เลอะหมดเลย”
เมื่อน้ำแกงสีเข้มเลอะใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวเป็นวงกลมใหญ่ด้วยความสะเพร่าของตัวเองล้วน ๆ ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อจะหยิบทิชชู่แต่ทันใดนั้นเองสิ่งที่ผมต้องการก็ถูกยื่นมาตรงหน้าเสียแล้ว แต่ประเด็นคือทิชชู่มันดันมีสองแผ่นให้ผมเลือก ระหว่างทิชชู่ของขุนศึกกับทิชชู่ของธาม สายตาของเพื่อนร่วมงานของผมที่เหลือได้แต่กลืนน้ำลายลงคอกันอึกใหญ่
สถานการณ์น่าอึดอัดชะมัด…
“ขอบใจนะ”
มือผมตัดสินใจเอื้อมไปรับทิชชู่จากธามโดยปล่อยให้ทิชชู่ที่อยู่ในมือของขุนศึกค้างไว้กลางอากาศและเมื่อผมเลือกจะไม่รับสิ่งนั้น สีหน้าใบหน้าคมคายเริ่มฉายแววไม่พอใจออกมา แถมยังแผ่รังสีความน่ากลัวออกมาบนโต๊ะอาหารอีกครั้ง จนทำให้บรรยากาศกลับมาตรึงเครียดทวีคูณขึ้นหลายเท่า ผมช้อนสายตาขึ้นมองขุนศึกอย่างไม่สบอารมณ์ ตัวมันเองเลือกที่จะมาเองแล้วทำไมยังจะต้องมาทำบรรยากาศดี ๆ ของทุกคนพังไม่เป็นท่าอีก
กับแค่ทิชชู่แผ่นเดียวมันก็ทำให้เป็นเรื่องได้อีกหรือไงกัน…
.
.
.
.
.
ขณะนี้เป็นเวลาสิบแปดนาฬิกาห้าสิบนาทีรถคันหรูคันเดิมที่ขับไปยังบริษัทได้ขับเข้ามาในหมู่บ้านหลังโตหรูหราแต่ความเงียบภายในรถยังคงดำเนินมาตั้งแต่รถยังไม่เคลื่อนตัวออกจากบริษัท ความอึดอัดสะสมจนทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบใจนักเพราะคนที่นั่งไขว่ห้างอยู่เบาะด้านข้างสามารถแสดงออกด้วยท่าทางให้ผทรับรู้ได้ว่าตัวผมเองได้ทำบางอย่างผิดไป
“จะแอบบมองอีกนานไหม มีอะไรก็พูดมา”
ผมตัดสินใจเอ่ยถามออกไปเพื่อที่เราทั้งคู่จะได้ไม่ต้องมาเล่นประสาททางสายตากันอยู่แบบนี้ ขุนศึกหลังจากเงียบมานานก็แค้นขำขึ้นมันยิ้มเยาะมาให้ผมด้วยสีหน้าที่ยังคงโมโห โกรธเหมือนผมทำอะไรผิดมาก
“เทนัดกูแต่กลับไปเดินกระหนุงกระหนิงกับไอ้พนักงานหน้าจืดนั่น! คิดว่ากูไม่รู้หรือไง!”
เสียงตะคอกของเจ้าตัวหันหน้ามาทางผมเมื่อความอดทนได้ขาดสะบั้นลง หัวคิ้วของผมขมวดเข้าหากันเมื่อสิ่งที่ขุนศึกพูดผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าผมไปเดินกระหนุงกระนิงตามคำกล่าวอ้างของมันตั้งแต่เมื่อไหร่
“พูดอะไรของมึง อย่าโมโมแล้วพาลมาลงที่กูนะ!”
“ก็มึงเป็นตัวต้นเหตุ กูลงที่มึงมันก็ถูกต้องแล้ว!”
ต้นแขนผมถูกกระชากให้ปะทะกับแผงอกกว้างอย่างแรงซึ่งครั้งนี้มันเจ็บกว่าครั้งไหน ๆ ผมไม่รู้ว่าขุนศึกมันไปเห็นอะไรมาถึงได้โกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้าขนาดนี้ แรงบีบตรงไหล่กับเล็บจิกลงมาอีกนั้นเกือบทำเอาน้ำตาผมไหลอย่างห้ามไม่อยู่ ตอนนี้ถึงจะมีศิลป์นั่งอยู่ด้วยคงจะช่วยอะไรผมไม่ได้
“มันเจ็บนะขุนศึก! มันเจ็บ!”
“เจ็บสิยิ่งดี! มึงจะได้สำเนียกตัวเองไว้ว่ามึงมีผัวแล้ว ! มึงหมั้นกับกูแล้ว! ได้ยินไหมคับฟ้าว่ามึงหมั้นกับกูแล้ว!”
สีหน้าโกรธเคืองสุดขีดและแน่นอนว่าผมไม่เคยเห็นมาก่อน เสียงตะเบ็งดังจนผมสะดุ้งตัวโหยง ก่อนที่เครื่องมือสื่อสารจะถูกเปิดหน้าจอขึ้นแสงไฟจากหน้าจอนั้นทำให้ผมต้องหลี่ตาลงเพื่อปรับสภาพของแสงให้เข้ากับม่านตา และเมื่อลืมตาขึ้นมาก็ถึงกับคิ้วขมวดด้วยอาการมึนงง เพราะภาพที่ผมเห็นคือรูปถ่ายของผมระหว่างเดินไปยังลิฟต์เพื่อจะลงไปทานข้าวเที่ยง เมื่อสายตาเพ่งมองอย่างจริงจังจากความสงสัยตอนแรกกลับกลายเป็นความโกรธเข้ามาแทนที่ โกรธที่ชีวิตของผมต้องมาโดนแอบถ่ายจากใครสายรายงานของคนตรงหน้า!
“มึงให้คนตามกูทำไม! แล้วใครอนุญาตให้มึงถ่ายรูปกูไม่ทราบ!”
คราวนี้กลับเป็นผมเองที่ตะโกนใส่หน้ามันแทนถึงแม้เรี่ยวแรงไม่ได้มากพอแต่ใจผมมันสู้ไม่ยอมเหมือนกัน ในเมื่อผมกำลังถูกละเมิดสิทธิของตัวเอง การที่ผมโดยแอบถ่ายรูปถึงแม้จะส่งให้ขุนศึกก็ตามที แต่มันก็เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผมและตอนนี้มันกำลังค่อย ๆ หายไปเพราะฝีมือของไอ้หมาบ้าตรงหน้า
“ไม่มีใครอนุญาตกูก็จะทำ และกูจะทำต่อไปในฐานะผัวของมึงด้วย!”
“มึงมันบ้าไปแล้วหรือไงขุนศึก! ก่อนจะคลั่งแล้วทำร้ายกูช่วยถามกูสักนิดก็ยังดีไม่ใช่พาลแล้วทำร้ายร่างกายกูแบบนี้!”
“หึ ทำไม? ตัวกูมันไม่ถึงใจมึงหรือไงถึงกับต้องเข้าหาผู้ชายในทีมตัวเอง! เข้างานวันแรกก็ดันแอบเล่นชู้กันในทีมซะแล้ว เนื้อหอมดีจังเลยเมียกูคนนี้!”
ประโยดเสียดสีกดคนอื่นให้ต่ำแล้วพยองตัวเองว่าดีเลิศกว่าใครแบบมัน นิสัยที่แก้ยากจนเป็นสันดานแบบนี้แล้วจะให้ผมมองว่ามันเป็นคนดีได้ยังไง! แค่รูปภาพมุมกล้องแค่ภาพเดียวมันไม่ถามผมสักคำด้วยซ้ำกลับใช้วิธีพูดด่าทอผมแบบนี้มันเกินไปหรือเปล่า!
ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาไหลลงมาโดยไม่มีเสียงสะอื้นร่ำไห้แม้แต่น้อย ความเงียบเข้ามาปกคลุมรวมไปถึงล้อรถที่หยุดนิ่งสนิทเป็นสิ่งที่รับรู้ได้ทันทีว่าศิลป์ได้ขับมาถึงหน้าบ้านเป็นที่เรียบร้อย ประตูฝั่งคนขับได้เปิดออกโดยศิลป์เพื่อให้ความส่วนตัวแก่พวกผมสองคน
“กฎข้อแรก มึงกับกูจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของกันและกัน”
ซึ่งตอนนี้มันกำลังทำอยู่ มันกำลังเข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของผมโดยที่ผมไม่ได้ร้องขอให้มันเข้ามา นัยน์ตาสั่นไหวของขุนศึกเริ่มเกรี้ยวกราดขึ้นเมื่อประโยคเดิมที่มันเคยพูดได้หวนกลับมาให้ได้ฟังอีกรอบ ความเจ็บปวดที่ต้นแขนเป็นเครื่องตอกย้ำความโกรธของขุนศึกมีต่อผม ทุกอณูความเจ็บปวดที่ผมรู้สึกผมไม่สมควรที่จะได้รับมันด้วยซ้ำ
“กฎข้อสอง มึงกับกูไม่มีพันธะระหว่างกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง เว้นแต่อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ดังนั้น กูกับมึง จะไปคบใครก็ได้ แต่ห้ามให้ถึงหูของคนที่บ้าน”
และข้อนี้ผมไม่เคยคิดที่จะทำด้วยซ้ำแต่ตอนนี้กลับเป็นมันที่กำลังจะยัดเยียดให้ผม ไม่เกินไปหน่อยหรอ ไม่เกินไปหน่อยหรือไง ตัวมันควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้ากันแต่ละวันแต่ผมก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งย่ามชีวิตของมันสักนิดเดียว
“กฎข้อสุดท้าย…อย่ารักกู”
พูดถึงข้อนี้เราทั้งคู่ต่างตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองไปชั่วขณะ หัวใจเริ่มสั่นเทาเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ น้ำตาเริ่มรินไหลลงมาเงียบ ๆ ผมได้แต่ภาวนาขอให้น้ำตาของผมที่มันไหลเพราะความเจ็บปวดโดยการทำร้ายร่างกาย ขออย่าให้มันไหลเพราะเหตุผลอื่นเลย…
“กฎทั้งหมดมึงเป็นคนตั้งขึ้นมา กูทำตามกฎทุกอย่างแต่ตอนนี้กลับเป็นมึงเองที่กำลังแหกกฎ ถ้าหากกูจะคุยกับธามอย่างที่มึงคิดจริง ๆ กูก็มีสิทธิ์ไม่ใช่หรอ”
“…”
“ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเรามันไม่ได้มีตั้งแต่แรก จะมาตราหน้าว่ากูเล่นชู้ คงไม่ได้หรอกมั้งขุนศึก…”
สิ้นประโยคของผมความเกรี้ยวกราดนัยน์ตาดุร้ายคู่นี้ฉายแววเหมือนจะระเบิดออกมาอีกไม่ช้า แรงบีบที่ต้นแขนมันเจ็บจนผมไม่สามารถรู้สึกเจ็บไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว สายตาผมจดจ้องไปที่ร่างสูงตรงหน้าโดยไม่หลบหนีแต่อย่างใด รอยยิ้มมุมปากของขุนศึกยกยิ้มขึ้นกับสิ่งที่ได้ยินก่อนที่มือของมันจะคว้าโทรศัพท์ตัวเองกดต่อสายโดยที่ไม่ปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระ
‘แพรมคืนนี้ผมจะแวะไปหา อาบน้ำรอผมเลยนะครับ คิดถึงอยากกอดไม่ไหวแล้ว…’
เสียงทุ้มนุ่มระรื่นหูมากกว่าตอนคุยกับผมหลายเท่าหัวใจเจ้ากรรมดวงนี้ดันรู้สึกโหวงเหวงในใจเมื่อได้ยินประโยคของขุนศึกต่อสายคุยกับหญิงอื่นต่อหน้าต่อตาผม แววตาสะใจส่งมาให้ผมเหมือนกับสิ่งที่มันกำลังทำอยู่นั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ไม่เลยน้ำใสไหลออกมาจากหางตาของผมแทน
ผมร้องไห้ทำไมเพราะอะไรกัน…
“ศิลป์เอากุญแจรถอีกคันมาให้ฉัน”
ตัวผมถูกผลักออกอย่างแรงก่อนที่มันจะหันตัวเดินออกไปนอกรถโดยมีศิลป์ยืนเปิดประตูรออยู่ด้านนอกไว้นานแล้ว ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งจากเบาะสีน้ำตาลคันหรูแล้วค่อย ๆ ขยับพาตัวเองออกมาจากรถ ในจังหวะนั้นแผ่นหลังกว้างของขุนศึกก็เดินตรงไปยังโรงรถโดยไม่หันหลังกลับมามองผมสักนิดว่าผมจะมีอาการปวดบริเวณต้นแขนอย่างหนักหน่วงแค่ไหน
ไม่นานเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้นก่อนที่ตัวรถคู่ใจของมันจะเหยียบคันเร่งขับผ่านผมไปไม่แม้แต่เหลียวมอง ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่พลาดท่าเสียไปให้กับความรู้สึกชั่ววูบ เมื่อตั้งสติได้จึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านแต่ดันมีเสียงของศิลป์พูดขึ้นรั้งตัวผมไว้ ทำให้สองเท้าที่กำลังหมุนเข้าตัวบ้านถึงกับชะงักไป
“เอ่อ ขอประทานโทษนะครับคุณคับฟ้า แต่สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ผมไม่ได้มีเจตนาอะไรแอบแฝงนะครับ”
ผมยกมือสองข้างขึ้นนวดต้นแขนตัวเองไปพลาง ๆ ในขณะนั้นก็ยืนรอฟังในสิ่งที่ศิลป์จะพูดเพราะน้อยครั้งนักที่ผู้ชายอย่างศิลป์จะยอมปริปากพูดอะไรออกมา
“ครับ?”
“ช่วงเช้าของวันนี้ท่านประธานไม่ได้เข้าประชุมตามตารางครับ ท่านประธานใช้เวลาช่วงนั้นทั้งหมดเข้าครัวร้านอาหารสาขาใกล้บริษัทด้วยตัวเองเพื่อจัดเตรียมมื้อเที่ยงให้กับคุณคับฟ้าโดยเฉพาะครับ”
ผมตกใจกับสิ่งที่ศิลป์บอกกล่าวผมไม่น้อยนี่หรือคือเหตุผลที่ทำให้มันโกรธผมมากขนาดนี้ ต้องเป็นผมใช่ไหมที่รู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากแต่ขุนศึกเลือกพูดคุยกับผมโดยไม่ใช้กำลังผมคงจะรู้สึกดีกว่าที่เป็นอยู่ ผมพยักหน้าเป็นอันรับรู้แล้วหันหลังเดินเข้าบ้านพร้อมกับหัวใจที่เบาหวิวและหน่วงไปในเวลาเดียวกัน
ทำอาหารให้ผมหรอ?…
ลงทุนทำให้ผมขนาดนั้นเชียว?…
แต่สิ่งที่ศิลป์บอกมามันจะไปมีความหมายอะไรในเมื่อเจ้าตัวยังเลือกที่จไปเริงร่ากับหญิงคนอื่นโดยที่ไม่สนใจความรู้สึกผมสักนิดว่าความรู้สึกของผมตอนนี้มันเป็นยังไง ถ้าหากแผ่นหลังกว้างนั้นหันกลับมามองผมสักนิดมันคงจะได้รับรู้ถึงความแปรเปลี่ยนไปนัยน์แววตาผม
แววตาที่กำลังน้อยใจในการกระทำของมันมีไม่น้อยเลย…