ตอนที่ 28 สี่ขั้นพลังของวรยุทธ์
ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเทียนจื่อ ชายคนที่หลินเซวียนข่มขู่ในเมืองเล่อหยางวันนั้น
เทียนจื่อนอนกองอยู่กับพื้นขณะมองหลินเซวียนอย่างสับสน ทันใดนั้นเงาของชายชุดดำที่เคยเจอก็พลันปรากฏขึ้นมาหัวของเขา เมื่อนึกได้เช่นนี้ ร่างของเขาถึงกับสั่นเทา
หลินเซวียนมองไปอย่างเย็นเยือกก่อนจะหันหลังเดินไป
เสียงสตรีตะคอกได้ดังขึ้นมาจากด้านหลัง “เทียนจื่อ เจ้าช่างไร้ประโยชน์นัก เจ้าทำให้งานของพี่ชายข้าพังยุ่งเหยิงไม่พอ ตอนนี้คนที่มารังแกข้าเจ้ายังปล่อยไปได้อีก เจ้าช่างเป็นขยะอย่างแท้จริง!“
หลินเซวียนไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย เขาเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องที่มีคำว่า ‘เก้าสิบห้า‘ เขียนอยู่
เมื่อไขกุญแจกลอน หลินเซวียนได้ผลักประตูเข้าไปในนั้น
มันดูธรรมดาอย่างมาก นอกจากเตียงหินและโต๊ะหิน มันมีผู้พิทักษ์ไม้ไผ่คนหนึ่งยืนอยู่ นอกจากนั้นก็เป็นพื้นที่ว่างเปล่าสำหรับฝึกวิชา
หลินเซวียนเดินไปตรงหน้าผู้พิทักษ์ไม้ไผ่ จากนั้นได้นำเศษหินวิญญาณออกและใส่เข้าไป ทันใดนั้นประกายแสงสีแดงจากดวงตาของผู้พิทักษ์ไม้ไผ่ได้สว่างขึ้นราวกับมีชีวิต
ความแข็งแกร่งของผู้พิทักษ์ไม้ไผ่นั้นทัดเทียมได้กับผู้ใชพลังวิญญาณระดับห้าหรือหก หินวิญญาณหนึ่งก้อน จะเท่ากับขั้นเปิดชีพจรระดับห้า หินวิญญาณสองก้อนจะเท่ากับขั้นเปิดชีพจรระดับหก แต่ละก้อนจะอยู่ได้นานครึ่งชั่วยาม
ในตอนแรกหลินเซวียนคิดจะฝึกฝนวิชาก้าวเท้าเงาก่อน หลังจากผ่านไปสองลมหายใจผู้พิทักษ์ไม้ไผ่ตื่นขึ้น ดาบไม้ไผ่ในมือได้พุ่งแทงมายังหลินเซวียนทันที
ร่างของหลินเซวียนสั่นเล็กน้อยก่อนจะหลบการโจมตีของผู้พิทักษ์ไม้ไผ่
วิชาก้าวเท้าเงานั้นมีเคล็ดลับอยู่สองอย่าง หนึ่งคือความเร็ว และสองคือเกาะติดศัตรูได้เหมือนกับเงา หลินเซวียนอยู่รอบตัวผู้พิทักษ์ไม้ไผ่ขณะหลบหลีกไปมา เขาขยับร่างกายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันจึงไม่สูญเสียพลังมากนัก
การก้าวเท้านี้ ต้องการการควบคุมอย่างแม่นยำของผู้ใช้ มิเช่นนั้นหากเข้าใกล้ศัตรูในระยะประชิด ผู้ใช้อาจจะพินาศได้หากประมาท
ในกรณีนี้ หลินเซวียนจึงใช้มันฝึกฝนกับผู้ทักษ์ไม้ไผ่ ระหว่างนั้นเขาได้ฝึกวิชากายหยกทองคำไปด้วย เมื่อพลังวิญญาณในตัวหมด เขาก็หันไปบ่มเพาะพลังวิชาคงกระพันต่อ
เวลาผ่านไปสามวันอย่างรวดเร็ว
ประตูเหล็กหนักหลายชั่งค่อย ๆ ถูกเปิดออก จากนั้นร่างของคนผู้หนึ่งได้เดินออกมา ร่างนั้นคือหลินเซวียน
หลังจากผ่านไปสามวัน เขาได้ฝึกฝนวิชาก้าวเท้าเงาและกายหยกทองคำจนถึงขั้นพื้นฐาน ตอนนี้เขาต้องการต่อสู้ของจริงเพื่อพัฒนาฝีมือ
ระดับขั้นของวรยุทธ์นั้นสามารถแบ่งได้เป็นสี่ขั้น ขั้นพื้นฐาน ขั้นกลาง ขั้นสูง และขั้นเชี่ยวชาญ พลังของแต่ละขั้นจะแตกต่างกันไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่น หากบรรลุขั้นกลางก็สามารถเอาชนะขั้นพื้นฐานได้ และขั้นสูงก็สามารถเอาชนะขั้นกลางได้
ว่ากันว่ามีอีกขั้นหนึ่งอยู่เหนือกว่าขั้นเชี่ยวญ มันเรียกว่าขั้นแก่นแท้แห่งวรยุทธ์
‘หนทางที่จะเชี่ยวชาญได้นั้นยังอีกยาวไกล ตอนนี้เราต้องการสมนุไพรช่วยบ่มเพาะพลัง และที่สำคัญที่สุดเรายังขาดดาบสักเล่ม!’ หลินเซวียนลูบหน้าผาก จากนั้นเขาได้เตรียมตัวออกเดินทางสู่เมืองเล่อหยางอีกครั้ง
ด้านนอกประตูในบริเวณกระท่อมของหลินเซวียน
มีร่างอันงดงามนั่งอยู่คนหนึ่งบนเก้ากี้หิน นางมีเรียวขาที่งดงาม ใบหน้าที่โค้งได้รูป ดวงตาที่กลมโตคู่นั้นของนางกำลังมองไปมาที่ประตูอยู่ครั้งคราว
เมื่อหลินเซวียนเดินเข้าไปใกล้ ๆ เขาได้แอบกระซิบ
“เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่?” ทันทีที่หลินเซวียนเข้ามา ถังอวี้ที่กำลังนั่งเท้าคางอยู่ได้สะดุ้ง
“นี่ เจ้าคิดถึงข้าล่ะสิ?” หลินเซวียนเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
“ข้าจะฆ่าเจ้า!” ถังอวี้ตกใจเมื่อได้ยินก่อนจะหันไปมองพร้อมเอ่ยด้วยเสียงโกรธ “มากับข้า ข้าจะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง”
หลินเซวียนมองไปยังเรียวขาของนางพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นเขาได้ชะงัก “เจ้าบรรลุพลังแล้วงั้นหรือ?”
“ทำไม?” ถังอวี้กล่าวต่อ “เจ้าจะไปหรือไม่?”
“ไปที่ไหน?”
“เมืองเล่อหยาง! บ้านนอกอย่างเจ้าคงไม่เคยไปที่นั่น!” ขณะกล่าวถังอวี้ได้เดินออกไปยังถนน
หลินเซวียน “…”
“ไปก็ได้ แต่มาคุยกันก่อน” หลินเซวียนเผยรอยยิ้มอบอุ่นราวกับแสงแดดยามเช้า
ถังอวี้เพิ่งเคยเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นของหลินเซวียนเป็นครั้งแรก นางแอบหน้าแดงเล็กน้อย “เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร?”
หลินเซวียนไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีเขินอายของนาง เขายื่นหน้าไปใกล้พร้อมกล่าวเบา ๆ “นี่ ข้าขอยืมหินวิญญาณสักหน่อยสิ“
“เจ้า! ไปลงนรกซะ!” ถังอวี้คิดว่าหลินเซวียนจะพูดอะไรสำคัญ แต่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นการยืมเงิน นางจิกปากเล็กน้อยก่อนจะยกกำปั้นขึ้นทุบเขา
หลินเซวียนหัวเราะก่อนจะกำหมัดแน่น “ไปกันเถอะ แม่นางถัง“
……
เมืองเล่อหยางนั้นเต็มไปด้วยผู้คน แต่ครั้งนี้หลินเซวียนไม่ได้สวมผ้าคลุมปกปิดตนเองอีก เขาเข้ามาในเมืองในฐานศิษย์ของสำนักซวนเทียน
แต่เดิมหลินเซวียนคิดว่าจะใช้บัตรกำนัลสีทองม่วงในตลาดเทียนเซียง แต่ถังอวี้กลับไม่ต้องการไปยังตลาดเทียนเซียง นางพาหลินเซวียนไปยังหอเหวินเปาแทน
หลังจากจ่ายค่าเข้าแล้ว พวกเขาจึงเดินเคียงข้างกันเข้าไป
ภายในนั้น มีคานแกะสลักและสิ่งก่อสร้างทาสีหรูหราเต็มไปหมด หลินเซวียนมองไปรอบด้านอย่างตื่นตาตื่นใจ
“ข้าให้เจ้ายืมหินวิญญาณหนึ่งพันก้อน อย่าลืมเอามาคืนด้วยล่ะ!” ถังอวี้มอบตั๋ววิญญาณให้หลินเซวียน จากนั้นนางได้วิ่งเข้าไปอย่างมีความสุข
หลินเซวียนมองตั๋ววิญญาณก่อนจะเก็บไว้ในแขนเสื้อและเดินไปยังย่านอาวุธ
อาวุธทุกชนิดแสดงอยู่บนโครงไม้ ซึ่งหลายสิ่งหลินเซวียนไม้เคยเห็นมาก่อน เขาหยิบดาบยาวขึ้นมาเล่มหนึ่งและโบกสะบัด ทันใดนั้นเสียงตัดอากาศได้ดังขึ้นอย่างเสนาะหู
ดวงตาหลินเซวียนเปล่งประกายทันที มันเหมาะสมกับหอเหวินเปาอย่างมาก ดาบดีย่อมเป็นดาบที่ทรงพลัง เขาเกิดในคฤหาสน์จอมดาบและโตขึ้นมากับดาบ ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับมัน
“เฮอะ เจ้ายังเด็กเกินไป แค่ดาบธรรมดาก็ทำเป็นมีความสุขไปได้!” เสียงของเซียนสุราดังขึ้นในจิตใต้สำนึกของหลินเซวียน
“ธรรมดา? เหตุใดท่านไม่ช่วยข้าหาหน่อยล่ะ!” หลินเซวียนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“เฮ้ย เฮ้ย คนหนุ่มก็ต้องหัดพึ่งพาตนเองเสียบ้าง อย่าคิดว่าอะไรจะหล่นมาจากฟ้าง่าย ๆ !” เซียนสุรากล่าวอย่างเคร่งขรึม “หากเจ้าต้องการของดี ๆ ข้าก็พอจะแนะนำสถานที่ให้เจ้าได้”
“ท่านนะหรือ?” หลินเซวียนกล่าวอย่างไม่เชื่อ “ท่านรู้จักถ้ำที่มีสมบัติโบราณหรือไง?”
“นี่ เจ้ายังจำหลุมพิสดารที่เจ้าของร้านหินนั้นกล่าวได้หรือเปล่า?” เซียนสุราเตือนความจำ
หลินเซวียนผงะก่อนจะตะโกนในใจ “หลุมพิสดาร!? มันคือหลุมมรณะ ข้าไม่อยากจะเอาชีวิตไปทิ้งหรอกนะ!”
“คนหนุ่มแบบไหนกันที่ไม่มีจิตวิญญาณแห่งการผจญภัยเสียเลย ไม่ต้องห่วง ข้าอยู่ที่นี่ เจ้าไม่เป็นอะไรแน่!” เซียนสุราเอ่ยปากอย่างมั่นใจ
หลินเซวียนจึงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ‘หลุมพิสดารนั้นค่อนข้างลึกลับ อีกทั้งยังมีหินจากส่วนลึกของภูเขาไท่หังตกลงไป บางทีเราอาจจะเจอของล้ำค่าก็เป็นได้’
เซวียนสุราเกลี้ยกล่อมต่อ “เราอยู่แค่รอบนอก แต่ไม่เคยลงไปลึก ในช่วงสองวันที่ผ่านมาข้าได้คำนวณอย่างดี มันเป็นโอกาสของเจ้าแล้ว!”
“โอกาสที่ท่านจะได้หินแบบนั้นเพิ่มอีกนะสิ” หลินเซวียนทำลายความคิดของเซียนสุราอย่างไม่ใยดี
“นี่ นี่…” เซียนสุรากล่าวพร้อมรอยยิ้มแห้ง “หากเจ้าสามารถหาของล้ำค่าได้ เจ้าจะต้องร่ำรวยแน่ ๆ !”
ในความเป็นจริง หลินเซวียนเองก็ยังไม่ทราบอะไรมากนัก แค่หินก้อนเดียวยังมีรากไม้วิญญาณพันปี ใครจะทราบว่ามันอาจมีสิ่งอื่นอีก?
ยิ่งกว่านั้น ถึงแม้ดาบในมือของเขาตอนนี้จะเปล่งประกายแวววาว เขาก็ทราบว่ามันไม่สามารถรองรับพลังจากการใช้วิชาดาบอัสนีได้อย่างเต็มที่ เขาต้องการดาบที่ทำมาจากวัสดุพิเศษ และสามารถทนต่อพลังของวิชาดาบอัสนีได้