ตอนที่ 83 ผาเทพวายุ
“มีอะไรงั้นหรือ?” ศิษย์ในหอสมุนไพรถามกลับ
“ท่านพอจะมียาอะไรที่สามารถฟื้นดวงวิญญาณได้หรือไม่?” หลินเซวียนถามอย่างมีความหวัง
“สมุนไพรฟื้นดวงวิญญาณ?” ศิษย์ในหอสมุนไพรมองหลินเซวียนอย่างประหลาดใจ “วัตถุดิบในการทำยาชนิดนี้หายากและมีค่ามาก ข้าเกรงว่ามันยากที่จะได้มาด้วยความสามารถของเจ้า”
หลินเซวียนถอนหายใจ ‘ดูเหมือนยาชนิดนี้จะหายากอย่างแท้จริง’
ศิษย์ในหอสมุนไพรครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ เจ้าลองไปดูในย่านภารกิจสิ ดูเหมือนจะมีภารกิจเกี่ยวกับสมุนไพรที่เจ้าถามหา“
“จริงหรือ?” ที่จริงหลินเซวียนยอมแพ้ไปแล้ว และไม่คิดว่ามันจะกลับมามีความหวัง
เขากล่าวขอบคุณก่อนจะรีบวิ่งไปยังพื้นที่ภารกิจ
ภารกิจที่นี่คล้ายคลึงกับสำนักชั้นนอก แต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับสมุนไพรและยา หลินเซวียนหาภารกิจเกี่ยวกับสมุนไพรฟื้นวิญญาณอยู่นานมาก และก็ไม่พบภารกิจใดที่ว่า
ด้วยความสงสัย เขาจึงถามศิษย์ที่ดูแลที่นี่ และพบว่ามีภารกิจคุ้มกันหอสมุนไพรอยู่ รางวัลก็คือสามารถเลือกสมุนไพรภายในหอสมุนไพรได้ซึ่งรวมถึงสมุนไพรฟื้นวิญญาณด้วย
แต่หลินเซวียนก็ต้องผิดหวัง เพราะมีคนรับภารกิจนั่นไปแล้ว
“เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้ บางทีเจ้าอาจจะมีโอกาสอื่น” ศิษย์ดูแลกล่าว
เมื่อหมดหวังเขาจึงทำได้แค่รอ
หลินเซวียนจากไปและไม่ทันสังเกตเห็นสายตาคู่หนึ่งในหมู่คน
มันคือสายตาของหลิงเจ๋อ เขาไม่คาดคิดว่าหลินเซวียนจะยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งขั้นพลังยังพัฒนา
“เป็นไปได้ยังไง? อาเห่ยอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับแปด เขาไม่มีทางถูกขั้นเปิดชีพจรระดับหกฆ่าได้เด็ดขาด!” ใบหน้าหลิงเจ๋อดำมืด “หรือว่าอาเห่ยจะพลาดท่า?“
“ไม่ได้การ เราต้องกำจัดมัน มิเช่นนั้นจะแย่ไปกว่านี้!” หลิงเจ๋อรู้สึกวิตกขึ้นมา ทันใดนั้นเขานึกถึงจางเฉียนและข้อตกลงระหว่างทั้งสอง
“ด้วยนิสัยของจางเฉียน เขาจะต้องสังหารมันอย่างไม่ลังเลแน่นอน “เราแค่ต้องรออย่างใจเย็น” หลิงเจ๋อพยายามสงบลง
……
ในวันต่อมา หลินเซวียนได้ทำความเข้าในใจวิชาดาบวายุสามวิถี และฝึกฝนก้าวอัสนีกับฝ่ามืออัสนีไปด้วย
ตอนนี้เขาอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับเจ็ด และพลังวิญญาณในตัวก็บริสุทธิ์ อีกทั้งลมปราณภายในก็พลุ้งพล่านราวกับกระแสน้ำไหลเชี่ยว ทุกครั้งที่มันไหล มันจะเต็มไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง
เพียงชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปเกือบสองเดือน วันนัดประลองระหว่างเขาและจางเฉียนก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
ในเช้าวันนี้เขาตื่นตามเวลาปกติเพื่อฝึกฝนวิชาคงกระพัน จากนั้นครึ่งชั่วยามเขาได้มุ่งไปยังหน้าผาเทพวายุ
ผาเทพวายุนั้นเป็นสถานที่ที่อันตราย และตั้งอยู่ด้านหลังภูเขา ด้านใต้ที่นั่นจะเป็นเหวลึกและเต็มไปด้วยลมพายุที่หนาวเหน็บ ถึงแม้สภาพอากาศจะเลวร้าย มันก็เป็นสถานที่ที่ดีในการฝึกฝนดาบ โดยเฉพาะกับวิชาดาบวายุสามวิถี
ในเวลานี้ท้องฟ้าสดใส ภูเขาร่มเย็น และหลินเซวียนเดินเพียงคนเดียวบนเส้นทางที่เงียบสงบ
ยิ่งเข้าใกล้หน้าผามากเท่าไหร่ อุณภูมิยิ่งลดต่ำลงเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นสายลมอันแข็งแกร่งได้พัดมาราวกับใบมีด
หลินเซวียนรีบเดินพลังคงกระพันทันที เพื่อให้ร่างกายสามารถทนรับแรงลมเหล่านี้ เมื่อมาถึงยังหน้าผา เขาก็ชักดาบเพลิงโลหิตออกมาและเริ่มฝึกวายุสามวิถี
การฟาดดาบที่ว่องไวราวกับสายลมค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในมือของเขา บางครั้งก็ดูคล่องแคล่ว บางครั้งก็ดูแปลกประหลาด บางครั้งก็ดูเหมือนดาบจะลอยไปกลางอากาศ เมื่อมองแล้วมันดูยากที่จะเข้าใจ
อันที่เขาเริ่มจะเชี่ยวชาญวิชาดาบนี้แล้ว เหตุผลที่มายังหน้าผาเทพวายุทุกวันนั้น เพราะหลินเซวียนต้องการสัมผัสความร้ายกาจของลม
ดังนั้นหากอยากจะสำเร็จวิชาที่เกี่ยวลมพายุ เขาก็อยากจะสัมผัสถึงพลังมันก่อน
หลินเซวียนจมอยู่ในวิชาดาบนี้อย่างสมบูรณ์โดยไม่สนใจสิ่งใด เขาฟันดาบของตนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างกระแสลม และต่อสู้กับลมรอบ ๆ ก่อนจะตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลง
ท้องฟ้าค่อย ๆ สว่างและดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นในทิศตะวันออก
แสงแดดสาดส่องผ่านก้อนเมฆ ทะลุผ่านชั้นของอุปสรรคต่าง ๆ และส่องไปบนผาเทพวายุราวกับดาบคมที่ทะลุทะลวงทุกสิ่ง
จากนั้นแสงแดดได้ส่องลงมาบนใบหน้าของเขาและนำความอบอุ่นมาให้ หลินเซวียนได้สติกลับมา เมื่อหันไปมองแสงแดดกระทบกับบุปผานับหมื่นพันรอบด้าน มันทำให้เขารู้สึกบางอย่างในใจ
“ไม่ใช่แค่สัมผัสของลมเท่านั้น แต่ยังมีสัมผัสของดาบอยู่ด้วย เรามัวแต่ไล่ตามสัมผัสของลมจนไม่สนใจสัมผัสของดาบ สิ่งนี้ทำให้เราไม่สามารถบรรลุมันได้อย่างแท้จริง”
หลินเซวียนตระหนักได้ว่าเขามีจี้ดาบลึกลับอยู่ในตัว ข้อได้เปรียบดีที่สุดของเขาคือสามารถเข้าใจในวิชาดาบและเจตนารมณ์แห่งดาบได้มากกว่าผู้อื่น
ดูเหมือนมันจะได้ยินความคิดของหลินเซวียน จี้ดาบลึกลับในตัวของเขาได้สั่นอย่างรุนแรง เสียงของมันทำให้วิญญาณหลินเซวียนกระตุก และความเข้าใจของเจตนารมณ์แห่งดาบก็ดูจะพัฒนาขึ้นในความคิดของเขา
“ฮ่าฮ่า ศิษย์น้องหลิน เจ้าก็อยู่ที่นี่เช่นกัน!” เสียงหัวเราะอันไพเราะดังขึ้นมาจากด้านหลังหลินเซวียน
ทันใดนั้นด้านหลังเขาก็มีเสียงระเบิดของอากาศดังขึ้น และตามมาด้วยลมกรรโชกที่รุนแรง
หลินเซวียนหัวเราะก่อนจะแทงดาบไปด้านหลัง ซึ่งมันคือวิชาดาบวายุสามวิถี ประกายแสงของดาบทั้งสองผลัดกันรุกรับไปเรื่อย ๆ ทำให้เกิดเสียงการปะทะกันอย่างดุเดือด การโจมตีแต่ละครั้งจะแฝงด้วยใบมีดลม และมันขูดลงบนโขดหินที่อยู่ใกล้เคียงเป็นรอยแตกอันน่ากลัว
“ศิษย์น้องหลิน ไม่เจอกันไม่กี่วัน วิชดาบของเจ้าพัฒนาขึ้นอีกแล้ว!” เสียงของหลัวซิงชานดังมาจากด้านหลังวายุสามวิถี “อีกหน่อยเกรงว่าข้าจะสู้เจ้าไม่ได้แล้ว”
“พี่หลัวอย่าล้อเล่นสิ” หลินเซวียนถือดาบไขว้ลงด้านหลังขณะยืนตระหง่านราวกับต้นสน
เมื่อมองไปยังชายที่สงบตรงหน้า หลัวซิงชานจึงนึกขึ้น แม้วิชาดาบของเขาจะบรรลุไปสูงกว่าหลินเซวียน และเพลงดาบยังรวดเร็วกว่า แต่ในแง่ทักษะการใช้ดาบของหลินเซวียนนั้นกลับดีกว่าเขามาก ด้วยความประหลาดใจนี้จึงทำให้เขารู้สึกไร้พลังทันที
“มีข่าวลือว่าเจ้ากับจางเฉียนจะสู้กันที่ลานประลองเป็นตายงั้นหรือ?” หลัวซิงชานกล่าวพลางขมวดคิ้ว
หลินเซวียนแตะจมูกพร้อมกล่าว “ศิษย์พี่ทราบแล้วหรือ?”
“ไม่เพียงแค่ข้า แต่ดูเหมือนศิษย์ชั้นในทั้งหมดจะทราบกันหมดแล้ว” หลัวซิงชานกล่าว “คนธรรมดาไม่สามารถใช้ลานประลองนั้นได้ตามใจ พวกเขาต้องราย งานไปยังสำนักและได้รับการยินยอมจากสำนักก่อนเท่านั้น”
“เป็นเช่นนี้เอง” หลินเซวียนกล่าว “แล้วสำนักจะเข้ามายุ่งหรือเปล่า?”
“ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะสำนักชั้นในไม่ได้มีการประลองแบบนี้มานานแล้ว” หลัวซิงชานกล่าว “แต่มีอย่างหนึ่งที่ข้าอยากจะเตือนเจ้า อาจารย์ของจางเฉียนเองก็เป็นหนึ่งในศิษย์สายตรงสิบอันดับแรกเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นยังกล่าวได้ว่าผู้อาวุโสบางคนยังโปรดปรานเขาด้วย”
หลินเซวียนขมวดคิ้ว เขาไม่คาดคิดว่าเบื้องหลังของจางเฉียนจะซับซ้อน
หลังจากค่อย ๆ หายใจ หลินเซวียนก็เผยดวงตาที่แหลมคมประดุจคมดาบ
“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่อาจหยุดข้าได้!” เวลานี้ หลินเซวียนได้หันหลังให้แสงตะวัน ร่างของเขาราวกับดาบชั้นยอดที่ปักอยู่บนภูเขาและไม่มีใครมาสั่นคลอนได้
ถึงแม้จะเป็นแค่ชั่วครู่ หลัวซิงชานก็รู้สึกถึงบางอย่างจนใบหน้าของเขาเปลี่ยนไป เวลานั้น เขารู้สึกว่าหลินเซวียนเป็นเหมือนเทพเจ้าแห่งโลกนี้ มันทำให้เขาถึงกับตัวสั่นเล็กน้อย
“เจตนารมณ์แห่งดาบ เจตนารมณ์แห่งดาบของจริง!” หลัวซิงชานตกตะลึงขณะนึกในใจ
“เฮอะ เจ้ากล้าพูดมันออกมาได้อย่างไม่เกรงกลัวอะไรเลยนะ? ขอข้าดูหน่อยว่าเจ้าจะทำอะไรได้!” ทันใดนั้น ดาบขนาดใหญ่ได้ระเบิดมาทางหลินเซวียนด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง