ตอนที่ 147 ฉันก็อาจจะสอบผ่านเหมือนกัน

บทที่ 147 ฉันก็อาจจะสอบผ่านเหมือนกัน

ในปีหนึ่ง ๆ มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่พ่อแม่จะพาพวกเขาสามพี่น้องมาเที่ยวสนุกในอำเภอ

ถ่ายรูปครอบครัว ดูหนัง กินข้าว กินขนม

พวกเขาสามารถเที่ยวเล่นได้แบบนี้ตลอดทั้งวันเลย

เจ้าใหญ่ เจ้ารอง และเจ้าสามต่างปิติยินดีอย่างยิ่งและไม่เหนื่อยล้าเลยสักนิดเดียว

การถ่ายรูปหมู่ครอบครัวเป็นธรรมเนียมปฏิบัติตามปกติและที่บ้านตอนนี้ก็มีรูปของพวกเขาอยู่มากมาย ทุกรูปล้วนถูกเก็บสะสมด้วยฝีมือของหลินชิงเหอ

ในบางครั้งเด็กชายทั้งสามก็ขอดูรูปของพวกเขาจากมือเธอ

ทั้งครอบครัวเ

บทที่ 146 ช่วยเหลือเรื่องย้ายบ้าน

เพราะเรื่องนี้ทำให้คนฟังรู้สึกตื่นเต้นมาก สองสามีภรรยาชราจึงคุยกันมากกว่าหนึ่งชั่วโมงก่อนจะเข้านอน

ถ้าเกิดเจ้าใหญ่เข้ามหาวิทยาลัยได้ในอนาคต เขายังต้องการความช่วยเหลือจากปู่ย่าคู่นี้ในเรื่องการแต่งงานอยู่ไหมนะ?

และมันก็ไม่จำเป็นเลย

หากเขาได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยจริง เจ้าใหญ่จะต้องการคู่ครองแบบไหนในอนาคตก็เป็นเรื่องที่เขาต้องเลือกเอง

จากนั้นสองสามีภรรยาชราก็พึมพำใส่อารมณ์ในเรื่องที่ว่าสะใภ้สี่ช่างมีชีวิตที่โชคดีเหลือเกิน

เธอไม่ได้เก็บเงินเลยสักเหมา แต่ลูกชายของเธอกลับมีความสามารถมากเช่นนี้ ในภายภาคหน้าพวกเขาก็ไม่ต้องหาภรรยาให้เขาแล้ว เพราะเด็กชายพวกนั้นคงจะได้ภรรยาด้วยตัวเอง

หลินชิงเหอไม่รู้เลยว่าสองปู่ย่ารู้สึกอย่างไรกันอยู่ ในตอนนี้เธอกำลังพัลวันอยู่กับโจวชิงไป๋

ถึงตอนนี้ทั้งคู่จะเป็นสามีภรรยากันนานแล้ว แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นมากอยู่ดี

เมื่อกิจกรรมจบลง หลินชิงเหอก็รู้สึกสุขกายสบายใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “ฉันควรจะบอกคุณแม่เกี่ยวกับธุรกิจเนื้อหมูไหมคะ?”

แม่สามีของเธอไม่รู้อะไรทั้งนั้น เธอคงปล่อยเรื่องนี้ไปได้หากว่าพวกเขาไม่ได้กินอาหารด้วยกัน แต่ในภายหน้าปู่ย่าคู่นี้จะยังคงมากินอาหารที่บ้าน ถึงตอนนั้นสองสามีภรรยาชราคงเกิดความสงสัยไม่ช้าก็เร็ว

“ไม่จำเป็นหรอก ถ้าแม่ผมถาม คุณก็บอกไปว่าใช้เงินบำนาญของผมสิ” โจวชิงไป๋กอดเธอขณะเอ่ยตอบ

หลินชิงเหอฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันสมเหตุผลดี “ตกลงค่ะ”

ปล่อยให้ปู่ย่าคู่นี้ไม่รู้ต่อไปจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นเกรงว่าพวกเขาจะรับไม่ได้

แต่ถ้าพวกเขารู้ว่าลูกชายของตนได้เงินบำนาญมา 3,000 หยวน ทั้งคู่คงจะอ้าปากค้างด้วยความตกใจแน่

เงินบำนาญ 3,000 หยวนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่เป็นไปได้อย่างมากก็แค่ครึ่งหนึ่งของมันเท่านั้น

เธอแต่งเรื่องกับโจวชิงไป๋กันตรง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้แต่ละคนพูดคนละอย่าง จากนั้นหลินชิงเหอก็อยากจะสลบไสลไป

“เราทำกันอีกรอบไหมครับ?” โจวชิงไป๋เอ่ยเชิญชวน

หลินชิงเหอผลักเขาออกอย่างขำ ๆ “ใจเย็นน่าคุณ อย่าคิดว่าเป็นเพราะคุณว่างไม่มีอะไรทำในหน้าหนาวแล้วคุณจะมายุ่มย่ามได้ตามใจนะคะ”

ชายคนนี้ช่างมีพลังงานเหลือล้นเกินกว่าจะใช้ไปจริง ๆ

โดยทั่วไปแล้วผู้ชายอายุเท่านี้จะเสื่อมสมรรถภาพด้านนี้ลงไม่ใช่เหรอ?

แต่เขายังคงทำได้ต่อเนื่อง ไม่ลดไม่แผ่วเลยสักนิด

โจวชิงไป๋ยิ้มกริ่มและนอนกอดเธอไว้

วันต่อมาคือวันขึ้นปีใหม่

น้องชายสามตระกูลหลินได้เดินทางมาเยี่ยมในวันนี้ แต่ภรรยาของเขาไม่ได้มาด้วยเพราะหล่อนกำลังตั้งครรภ์

หลินชิงเหอถามเขาเกี่ยวกับผลที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์คราวที่แล้ว จนบัดนี้เธอยังไม่ได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของทางบ้านหลินเลยแม้แต่น้อย

“ตอนนี้พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองมีความสัมพันธ์แบบเกือบจะเป็นศัตรูกันแล้วครับ” น้องชายสามตระกูลหลินตอบด้วยน้ำเสียงจนใจ

คราวที่แล้วหลินชิงเหอยืนกรานว่าจะขอโค้ททหารคืนจากมือของสะใภ้รองบ้านหลิน แต่หลังจากที่พี่ชายรองสวมใส่มันมานานแล้ว หลินชิงเหอจะใช้มันต่อได้อย่างไรล่ะ? เธอไม่ได้ยากจนจนเป็นบ้าสักหน่อย

เธอก็เลยมอบมันให้กับสะใภ้ใหญ่บ้านหลิน และยังเป็นการบ่มเพาะความร้าวฉานระหว่างพวกเขาไปในตัว

สะใภ้ใหญ่บ้านหลินรู้ดีว่าเธอต้องการจะทำอะไร แต่ต่อให้หล่อนรู้ หล่อนจะคืนโค้ทกลับไปให้ครอบครัวสายรองบ้านหลินได้อย่างไร?

หลินชิงเหอเป็นคนให้โค้ทตัวนี้ หากครอบครัวสายรองต้องการมัน พวกเขาก็ต้องไปขออีกตัวหนึ่งมาจากหลินชิงเหอ

แต่ทั้งพี่รองตระกูลหลินและสะใภ้รองตระกูลหลินรู้ดีว่าตอนนี้หลินชิงเหอเปลี่ยนไปแล้ว พวกเขาจะมาหาเพื่อยั่วโทสะเธออีกได้อย่างไร?

โดยเฉพาะสะใภ้รองบ้านหลิน หล่อนถึงกับเสียใจอย่างเป็นที่สุดในเรื่องที่ว่าทำไมหล่อนถึงท้าทายน้องสามีคนนี้และล่อเธอให้มาที่บ้านกันนะ?

แต่พวกเขาต้องทวงคืนเสื้อโค้ทกลับอย่างแน่นอน โดยเฉพาะตั้งแต่ตอนที่มันตกอยู่ในมือของสะใภ้ใหญ่บ้านหลิน

ส่วนสะใภ้ใหญ่บ้านหลินก็ไม่ยอมเหมือนกัน

ทั้งสองครอบครัวเลยทะเลาะกัน แม้แต่พี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองตระกูลหลินก็พลอยผสมโรงไปด้วย โดยสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รองบ้านหลินทะเลาะกันชนิดที่แทบจะฉีกหน้าอีกฝ่าย

ท่านพ่อหลินกับท่านแม่หลินมาห้ามไว้ได้ แต่ก็ห้ามได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

การต่อสู้นี้เองได้สร้างความเกลียดชังระหว่างสองครอบครัวอย่างฝังรากลึกมากขึ้นจนปรากฎเด่นชัด

เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัด แทบไม่ต้องคิดเลยว่าสะใภ้ใหญ่จะยังคืนโค้ททหารอยู่ไหม?

แต่ฝั่งสะใภ้รองก็อยากได้โค้ทคืนมาอย่างหมดทั้งใจ

ดังนั้นบ้านตระกูลหลินในตอนนี้จึงตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดไม่น้อย

หลินชิงเหอรู้สึกพอใจเมื่อได้ยินดังนี้และยิ้มกริ่มออกมา “เมื่อไหร่พวกเธอสองคนจะย้ายออกมาล่ะ? ถ้ายังอยู่รวมกับพวกเขาล่ะก็ พวกเธอได้ประสาทกินจนตายแน่”

“ย้ายออกเหรอ? จะย้ายยังไงล่ะครับ?” น้องชายสามตระกูลหลินอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มขื่น

เขาจะไม่อยากย้ายออกได้อย่างไรล่ะ แต่มันเป็นเรื่องง่ายนักเหรอที่จะย้ายออก? เขาไม่มีอะไรเลย และเขาต้องเขียนขอโฉนดที่ดินที่จะย้าย แม้เขาจะเขียนใบสมัครไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ประกาศผลที่ได้ออกมา

เขาต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการสร้างบ้านให้ตัวเองหนึ่งหลังกัน? พวกเขาขาดแคลนของหลายอย่างเลยนะ!

โดยเฉพาะหม้อหุงหาอาหาร เพราะตอนนี้บ้านตระกูลหลินแบ่งกันใช้หม้อใบเดียวกัน

อย่าว่าแต่ฝั่งตระกูลหลินเลย แม้แต่ฝั่งตระกูลโจวก็ยังใช้หม้อร่วมกันทั้งครอบครรัวไม่ใช่เหรอ?

และมันก็ไม่ได้ดีเท่าหม้อในบ้านของหลินชิงเหอด้วย มีทั้งเตาถ่านและหม้อสองหู มีหม้อสองใบก็กล่าวได้แล้วว่าหรูหรา

เมื่อน้องชายสามตระกูลหลินเตรียมตัวจะกลับไป หลินชิงเหอก็ให้เนื้อสามชั้นหมักกับเขาไป 1 ชิ้น โดยเธอมีทั้งหมด 4 ชิ้น

เธอบอกน้องชายสามตระกูลหลินถึงวิธีการปรุงหมูสามชั้นหมักที่ดีที่สุดก่อนจะส่งเขากลับบ้านโดยไม่ปล่อยให้เขาปฏิเสธ

“ถ้าคน ๆ หนึ่งย้ายบ้านและสร้างบ้านใหม่ ราคาวัสดุในตลาดตอนนี้จะเป็นเท่าไหร่กันคะ?” หลินชิงเหอถามโจวชิงไป๋

“ถ้าเป็นบ้านหลังเล็กก็ประมาณ 100 หยวน” โจวชิงไป๋ตอบ

“แค่หลังเล็กก็พอแล้วค่ะ ย้ายออกก่อนจะดีกว่า มันเป็นเรื่องเลวร้ายที่จะอยู่ต่อกับครอบครัวนั้น” หลินชิงเหอบอก

เธอเห็นนิสัยท่านแม่หลินกับท่านพ่อหลิน เช่นเดียวกับพี่ชายคนโตทั้งสองแล้ว ทุกคนต่างมีนิสัยแบบเดียวกันเป๊ะและส่งต่อมาทางสายเลือดเดียวกัน

ความจริงแล้วเจ้าของร่างเดิมก็ไม่ได้นิสัยดีนัก มีแค่น้องชายสามตระกูลหลินเท่านั้นที่เป็นต้นกล้าพันธุ์ดีของครอบครัวตระกูลหลิน

“ฉันไม่ต้องการเงินบำนาญของคุณหรอกค่ะ ฉันมีเงินเก็บของฉันเองที่พอจะให้เขากู้ยืมได้” หลินชิงเหอบอก

โจวชิงไป๋ย่นคิ้วพลางมองเธอโดยไม่พูดอะไร ซึ่งหลินชิงเหอรู้ในทันทีว่าเขากำลังสลดใจ

หญิงสาวจึงจูบเขาอย่างมีมารยา

“ไอ้หยา พ่อครับ แม่ครับ ยังกลางวันแสก ๆ อยู่เลย พ่อกับแม่ไม่ทำแบบนี้ได้ไหมครับ? ผมยังเด็กอยู่นะ!” เจ้ารองมาเห็นภาพบาดตาพอดีขณะเดินเข้ามาในห้องและเอ่ยขึ้นในทันทีทั้งที่ยังปิดตาและแอบมองผ่านช่องนิ้วตัวเองอยู่

“เจ้าเด็กตัวเหม็น ทำไมไม่รู้จักเคาะประตูล่ะ ลูกต้องเตือนกันก่อนไหม?” หลินชิงเหอเอ่ยไล่เขาด้วยท่าทีกระดากอายนิดหน่อย

“ผมเข้ามาจะถามแม่ว่าอยากกินมันปิ้งไหม แต่ก็ไม่ยักรู้ว่าแม่กำลังเล่นจูบกับพ่ออยู่” เจ้ารองอธิบายขณะวิ่งออกจากห้อง

หลังจากนั้นเจ้าใหญ่กับเจ้าสามก็รู้ว่าพ่อแม่ของพวกเขากำลังซ่อนตัวอยู่ในห้องแล้วเล่นจูบกันอยู่

หลินชิงเหอถึงกับเงียบไป ขณะที่มุมปากของโจวชิงไป๋โค้งขึ้นเล็กน้อย

“ถ้าเขาต้องการย้ายออก บ้านก็คือปัจจัยหนึ่ง นอกนั้นก็มีหม้อที่เป็นของสำคัญที่หาซื้อได้ไม่ง่ายเลย” โจวชิงไป๋บอก

“คุณมีวิธีหามาสักใบไหมคะ? เราจะเก็บใบใหม่ไว้ใช้เองแล้วก็ยกหม้อใบเก่าให้น้องชายของฉันไป” หลินชิงเหอถาม

“ผมจะลองดูในปีหน้านะ” โจวชิงไป๋ตอบ

ในตอนนี้หม้อกำลังขาดตลาด โจวชิงไป๋เลยไม่รู้ว่าเขาจะไปหามาได้ที่ไหน

“ฉันยังมีคูปองอุตสาหกรรมเหลืออยู่เยอะแยะเลยนะคะ ถ้าคุณต้องการใช้เมื่อไหร่ก็บอกฉันได้” หลินชิงเหอพยักหน้า

ในวันที่สองของวันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ โจวชิงไป๋กับหลินชิงเหอก็พาเด็กชายทั้งสามเข้าอำเภอ

ประตูบ้านถูกลงกลอนไว้ พวกเขาเคยบอกเรื่องนี้ตั้งแต่คืนแรกของวันขึ้นปีใหม่ ก่อนนำวัตถุดิบอาหารต่าง ๆ มาให้ ท่านพ่อโจว ท่านแม่โจว โจวเสี่ยวเม่ย และซูต้าหลินจะได้หุงหาอาหารกินกันในบ้านตระกูลโจว

เนื่องจากวันที่สองในเทศกาลปีใหม่เป็นวันที่ลูกเขยและพี่สาวสองคนที่แต่งงานไปแล้วจะมาหาที่บ้าน การมีคนมากมายจะทำให้เกิดการขัดไม้ขัดมือกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีกว่าหากพวกเขาจะไม่ได้มาที่บ้านแล้วไปกินอยู่อย่างสำราญที่บ้านตระกูลโจวแทน

ส่วนครอบครัวของพวกเขาก็เดินทางเข้าอำเภอเพื่อไปเที่ยวเล่นกันเอง

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แม่ร้ายกาจมาก ทิ้งระเบิดไว้ให้สองครอบครัวกัดกันเอง แล้วจะได้ให้น้องชายสามแยกตัวออกมาสวย ๆ ขอให้น้องชายสามได้บ้านใหม่เร็ว ๆ นะคะ

เจ้ารองแสบขึ้นทุกวัน แถมพ่อก็ชอบใจอีก แม่จะจัดการทั้งพ่อทั้งลูกอย่างไรดีน้า ต้องติดตามตอนต่อไปแล้วล่ะค่ะ

ไหหม่า (海馬)

ที่ยวเล่นกันทั้งวัน เมื่อพวกเขากลับบ้าน เจ้าใหญ่กับเจ้ารองยังคงเป็นปกติ มีเพียงเจ้าสามที่ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของพ่อ

ขณะที่ปั่นจักรยานกลับ เจ้าใหญ่ก็ได้นั่งซ้อนท้ายหลินชิงเหอขณะที่เจ้าสามอยู่ในอ้อมกอดของเธอ

ส่วนเจ้ารองนั้นนั่งอยู่ตรงคันบังคับจักรยานตรงด้านหน้า

เมื่อพวกเขากลับถึงบ้าน เจ้าสามก็มีพลังฟื้นคืน

เป็นเพราะหลินชิงเหอรู้สึกอ่อนเพลียหลังจากเที่ยวเล่นมาตลอดทั้งวันนี้ พวกเขาจึงกินอาหารง่าย ๆ ในตอนเย็นก่อนที่ทั้งครอบครัวจะเข้านอนแต่หัวค่ำหลังอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จ

“พี่ชายสี่กับพี่สะใภ้สี่มีธรรมเนียมประจำบ้านเหมือนกันนะเนี่ย” โจวเสี่ยวเม่ยเอ่ยขึ้นมาอย่างมีความรู้สึกร่วม

“งั้นเรา…มาเที่ยวกันบ้าง…ในปีนี้…ไหมครับ?” ซูต้าหลินถาม

“งั้นเราไปพรุ่งนี้เลยได้ไหมคะ?” โจวเสี่ยวเม่ยถามกลับ

“ตกลงครับ” ซูต้าหลินยิ้มกริ่ม

วันต่อมาทั้งคู่จึงพาลูกชายของพวกเขาเข้าไปในอำเภอ ต้องบอกว่าการออกไปเที่ยวข้างนอกทั้งครอบครัวถือเป็นเรื่องสนุกสนานไม่ใช่น้อย

เดิมทีหลินชิงเหอไม่รู้เรื่องนี้จนกระทั่งท่านแม่โจวได้เอ่ยถึง

“เมื่อไหร่คุณพ่อกับคุณแม่จะไปถ่ายรูปกันเหรอคะ?” หลินชิงเหอถามขึ้นมาขณะที่กำลังรับประทานอาหาร

“ทั้งคุณพ่อกับฉันอายุปูนนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องถ่ายรูปหรอก” แม้ท่านแม่โจวจะรู้สึกอยากอยู่ในใจ แต่นางก็ยังอยากประหยัดเงินจึงได้แต่ส่ายหน้า

“ถ่ายสักสองรูปคงไม่ใช้เงินมากนักหรอกค่ะ” หลินชิงเหอบอก

“ก็ยังไม่จำเป็นอยู่ดี” ท่านแม่โจวยังคงยืนกราน

หลินชิงเหอไม่ได้ว่าอะไร แต่พูดกับโจวชิงไป๋สองต่อสอง “ฉันคิดว่าพ่อของคุณอยากถ่ายรูปจริง ๆ นะคะ”

ในวันที่ 30 ธันวาคม เจ้าใหญ่ก็ได้ร้องขอรูปจากเธอ เมื่อท่านพ่อโจวได้เห็นรูปก็วางไม่ลง เขารู้สึกอยากขึ้นมาเมื่อเห็นเธอบอกว่าจะพาไปถ่ายรูปในตอนนี้

ไม่ต้องพูดถึงตอนที่ท่านแม่โจวบอกเขาเลย เขาไม่เอ่ยอะไรทั้งสิ้น

“ถ้างั้นผมจะพาคุณพ่อไปให้ช่างถ่ายรูปให้ถ้ามีเวลาว่างดีไหมครับ?” โจวชิงไป๋ตอบหลังได้ยินดังนี้

“ถ้าคุณอยากจะพาคุณพ่อไป ก็พาคุณแม่ไปด้วยสิคะ ไว้ค่อยคุยกันตอนที่มีรถแทรกเตอร์ผ่านเข้าอำเภอแล้วกันค่ะ” หลินชิงเหอบอก

การที่คนเฒ่าคนแก่อยากถ่ายรูปมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนัก

แต่ต้องบอกก่อนว่าการถ่ายรูปในยุคนี้เป็นเรื่องฟุ้งเฟ้ออย่างยิ่งจริง ๆ

คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้จ่ายเงินไปกับเรื่องนี้ นับว่าพวกเขาใช้ชีวิตดีจนน่าประหลาดใจอย่างมาก

วันเวลาในปฏิทินดำเนินมาจนถึงวันที่เจ็ดของเทศกาลปีใหม่ และวันพรุ่งนี้ที่เป็นวันที่แปด ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเม่ยก็ต้องกลับเข้าอำเภอไปทำงานแล้ว วันนี้ทั้งคู่จึงตื่นนอนกันค่อนข้างเช้า

พวกเขาตัดสินใจกลับไปในวันนี้

ซูเฉิงน้อยที่คุ้นเคยกับการมีพ่อแม่อยู่ด้วยพอรู้ว่าพวกเขากำลังจะจากไปก็เริ่มงอแง เด็กชายกอดซูต้าหลินไว้และไม่ยอมปล่อยมือจากพ่อของเขา เรื่องนี้ทำให้ซูต้าหลินรู้สึกซาบซึ้งใจจนดวงตาของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดง

แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังต้องจากไปอยู่ดี

ซูเฉิงน้อยร้องไห้เสียใจอยู่สองหรือสามวันติด แต่หลังวันที่สามไปแล้วเขาก็มีอาการดีขึ้น

เด็ก ๆ ก็เป็นแบบนี้ รักใครก็รักจนสุดหัวใจ

ตระกูลโจวดูมีชีวิตชีวามากขึ้นยามมีเด็ก ๆ หลายคน ยิ่งกว่านั้นเจ้ารองกับเจ้าสามยังมาเล่นกับเขาบ่อย ๆ ด้วย

แต่อากาศในเดือนมกราคมยังหนาวเย็นมากนัก โดยเฉพาะในปีนี้ที่มีหิมะตกค่อนข้างหนักในเดือนมกราคม

“ผลผลิตในปีนี้ก็น่าจะดีด้วยเหมือนกันนะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยเมื่อเห็นหิมะปกคลุมเต็มลานบ้านยามตื่นนอนแต่เช้าตรู่

หิมะตกเป็นเวลาแบบนี้หมายถึงปีอันอุดมสมบูรณ์ การมีหิมะตกหนักแบบนี้ก็แสดงว่าผลผลิตในปีนี้ต้องดีเยี่ยมอย่างแน่นอน

“ผมจะลองขึ้นภูเขาไปดูกระต่ายนะ” โจวชิงไป๋เอ่ย

“งั้นไปเถอะค่ะ” หลินชิงเหอไม่คัดค้าน ในช่วงฤดูหนาวปีนี้เขาไม่มีอะไรจะทำเลยนอกจากคิดจะมายุ่งวุ่นวายกับเธอ เป็นเรื่องดีแล้วที่ปล่อยให้เขาได้ออกไปปลดปล่อยพลังงานบ้าง

เมื่อรู้ว่าพ่อของพวกเขาจะออกไปล่ากระต่ายบนภูเขา เด็กชายทั้งสามก็อยากตามไปด้วย หลินชิงเหอจึงปล่อยให้พวกเขาออกไป ทันทีที่พวกเขาแต่งตัวอบอุ่นมิดชิดดีแล้ว เธอก็ให้ลูกอมกันคนละ 2 เม็ดและปล่อยให้พวกเขาออกไป

หลินชิงเหอไม่มีอะไรต้องทำ เธอเลยใช้โอกาสนี้เรียนหนังสือและทบทวนบทเรียน

เมื่อท่านแม่โจวพาซูเฉิงน้อยมาเยี่ยม ก็มีแต่หลินชิงเหอกับเฟยอิงเท่านั้นที่อยู่บ้าน

เฟยอิงไม่ได้ตอบสนองอะไรเมื่อมันเห็นท่านแม่โจวอุ้มซูเฉิงน้อยมา แต่ถ้าเป็นคนแปลกหน้าคนอื่น ๆ มายืนอยู่ตรงทางเข้าบ้านมันก็จะเห่าทันที

มันเป็นสุนัขที่ฉลาดมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงเป็นสุนัขปลดประจำการจากกองทัพ

“ชิงไป๋กับเด็ก ๆ ไปไหนแล้วล่ะ?” ท่านแม่โจวถาม

“พวกเขาขึ้นไปบนภูเขาเพื่อล่ากระต่ายกับไก่ฟ้าน่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบ

เมื่อท่านแม่โจวมาเห็นว่าเธอกำลังอ่านหนังสือ นางก็ตกใจไป “สะใภ้สี่ เธอทำอะไรอยู่น่ะ?”

“เรียนหนังสือค่ะ” หลินชิงเหอตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นและทำเครื่องหมายในประเด็นสำคัญของเรื่องที่อ่าน จากนั้นก็เริ่มจดจำข้อความหลังจากได้อ่านแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านแม่โจวได้เห็นเธออ่านหนังสือและทบทวนบทเรียน นางถึงกับอึ้งค้างไป “เธอกำลังท่องจำบทเรียนเหรอ?”

“ค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

“เดี๋ยวนะ ทำไมเธอต้องท่องจำบทเรียนด้วย?” ท่านแม่โจวเอ่ย

“ภาคการศึกษาหน้าในปีนี้เจ้าใหญ่จะขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่สี่แล้วค่ะ ถ้าฉันไม่ท่องจำบทเรียนแล้วฉันจะสอนเขาได้อย่างไรล่ะคะ?” หลินชิงเหอตอบ

เจ้าใหญ่ได้เลื่อนชั้นไปหนึ่งปี ดังนั้นการเรียนของเขาจึงเร็วมาก ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วเขาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่สาม และในภาคการศึกษาที่สองเขาก็จะได้อยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่สี่

และปีนี้ก็คือภาคการศึกษาต่อไปในชั้นประถมศึกษาปีที่สี่

เจ้ารองก็จะเข้าโรงเรียนในปีนี้ เขามีอายุได้ 6 ขวบ และเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งได้แล้ว

นอกจากนี้ เจ้ารองก็ได้เรียนวิชาในระดับประถมศึกษาปีที่หนึ่งเกือบหมดแล้วด้วย

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น เจ้าสามเองก็พลอยได้รับอิทธิพลนี้ไปด้วยและอ่านหนังสือได้บ้างแล้ว

“เธอยังสอนเจ้าใหญ่อยู่อีกเหรอ?” ท่านแม่โจวรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของหลินชิงเหอ

หลินชิงเหอกลั้วหัวเราะ “คุณแม่อย่ามองฉันแบบนั้นสิคะ ฉันไม่ได้เรียนอะไรมามาก แต่ฉันมีพรสวรรค์ในด้านนี้อยู่นะคะ แม้แต่พ่อของเจ้าใหญ่ยังต้องคำนับให้เลย เจ้าใหญ่เองก็บอกว่าโจทย์ที่ฉันให้ไปทำยากกว่าโจทย์ที่คุณครูให้เขาทำอีกค่ะ”

เพียงแต่เธอไม่ปล่อยให้เจ้าใหญ่พูดเรื่องนี้ที่โรงเรียนเท่านั้น

เธอปล่อยให้เขาแก้โจทย์ที่บ้าน ส่วนเรื่องอื่น ๆ ก็ให้ความสำคัญน้อยลงจะดีกว่า ช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้สถานการณ์กำลังตึงเครียดหนัก

ท่านแม่โจวเกิดความกระจ่างใจขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนอย่างที่นางบอกว่าตระกูลโจวไม่เคยผลิตต้นกล้าใฝ่รู้ แต่ทำไมเจ้าใหญ่ถึงเรียนเก่งได้ขนาดนี้? กลายเป็นว่าเขาได้เรื่องนี้มาจากแม่ของเขานั่นเอง

แต่ทางตระกูลหลินก็ไม่ต่างกับตระกูลโจว ในเรื่องที่ว่าบรรพบุรุษของพวกเขาต่างเป็นตาสีตาสาเหมือนกัน

“สะใภ้สี่ ฉันได้ยินปู่ของเจ้าใหญ่พูดว่าเจ้าใหญ่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารอย่างนั้นเหรอ?” ท่านแม่โจวกดเสียงเอ่ย

“เจ้าใหญ่มีความคิดแบบนั้นจริง ๆ ค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

เพียงแต่ว่าเมื่อเจ้าใหญ่โตขึ้น เขาไม่จำเป็นต้องเข้ามหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารหรอก เขาสามารถมุ่งหน้าเข้ามหาวิทยาลัยได้เลย

ตราบใดที่ผลการเรียนของเขาดี ทุกโรงเรียนทั่วประเทศก็เรียงหน้ากันมาให้เขาเลือกอยู่แล้ว

“ถ้างั้นสะใภ้สี่คิดว่าเจ้าใหญ่จะสอบผ่านไหม?” ท่านแม่โจวถาม

“ตอนนี้เขายังเด็กอยู่ค่ะ ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้ตอนที่เขาโตกว่านี้ดีกว่า แต่ถ้าเขายังรักษาการเรียนแบบนี้ได้ เขาก็มีโอกาสสอบผ่านแน่นอนค่ะ” หลินชิงเหอตอบพลางเลิกคิ้ว

เธอต้องให้ความหวังกับคนเฒ่าคนแก่สักหน่อยใช่ไหม?

นักศึกษามหาวิทยาลัยในยุคนี้ต่างมีค่าราวกับหมีแพนด้า การนำเกียรติมาให้กับวงศ์ตระกูลถือว่าไม่ใช่เรื่องโกหก

ท่านแม่โจวได้ยินดังนี้ก็ปลื้มปิติอย่างมาก นางอุทานออกมา “ต้มไข่ให้เจ้าใหญ่กินสิ การเรียนหนังสือมันต้องใช้พลังสมองเยอะเลยนะ”

“ฉันไม่มีเหรอคะ?” หลินชิงเหอถาม

“ทุกคนต่างก็กินกันหมด” ท่านแม่โจวตอบด้วยอาการดีใจ

หลินชิงเหอกลั้วหัวเราะแล้วก็หันไปท่องจำข้อความของตัวเองต่อ ตอนแรกเธอให้ยากระตุ้น(กำลังใจ)กับท่านแม่โจว จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “บางทีในภายภาคหน้าฉันเองก็คงจะสอบผ่านเหมือนกันค่ะ”

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มีแม่ดีก็แบบนี้แหละค่ะ อีกไม่นานเจ้าใหญ่ก็คงจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แน่นอน แล้วแม่ก็จะสอบผ่านด้วย

เฟยอิงค่าตัวแพงจังค่ะ ผู้แปลนึกว่าหายไปแล้ว

ไหหม่า (海馬)

Comment

Options

not work with dark mode
Reset