ช่วงบ่ายที่เหลือ หลี่ไหวเล่นสนุกอยู่ในที่พักของพ่อแม่ ไม่ลืมที่จะแบกหีบหนังสือใบเล็กใบนั้นมาด้วย เขาควักเขาหุ่นไม้หลากสีสันออกมาด้วยท่าทางลึกลับ บอกว่านี่คือสมบัติที่เขาเก็บรักษามาไว้นานแล้ว จากนั้นก็จงใจทำสีหน้าเจ็บปวดส่งมอบมันให้พี่สาว หลี่หลิ่วยอมไม่กล้ารับไว้ แค่เอามาถือเล่นในมือครู่หนึ่งแล้วส่งคืนให้หลี่ไหว หลี่ไหวถามนางว่าไม่ต้องการจริงๆ หรือ หลี่หลิ่วพยักหน้า หลี่ไหวหงุดหงิดเล็กน้อย บอกว่านางผมยาวความรู้สั้น ไม่รู้จักของดี
เด็กสาวลูบศีรษะของน้องชาย
หลินโส่วอีหน้าไม่หนาพอให้ดึงดันอยู่ต่อ จึงไปอ่านหนังสือที่หอหนังสือ เพียงแต่ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรก็ไม่เข้าหัว จึงวางหนังสือลงแล้วมายืนอยู่ตรงหน้าต่างอย่างอ้างว้าง สายตามองจ้องรอให้ดวงตะวันตกดิน
ใกล้ยามสนธยา หลี่ไหวพลันเอ่ยว่าต้องการคุยอะไรบางอย่างกับบิดา สตรีแต่งงานแล้วถามว่ามีเรื่องอะไรถึงพูดคุยต่อหน้านางไม่ได้ คงไม่ใช่ว่าเขาหาพี่เขยให้กับหลี่หลิ่วแล้วเลยถือโอกาสหาแม่เลี้ยงให้กับตัวเองไปด้วยกันเลยหรอกนะ? หลี่ไหวพูดยิ้มๆ ว่าบิดาของเขาหล่นลงไปในหลุม ชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางปีนขึ้นมาได้อีกแล้ว สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะพลางยกมือทำท่าจะตี มองเงาร่างของหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ที่พากันเดินไปทางประตู เมื่อในห้องไม่มีผู้ชายอยู่แล้ว สตรีแต่งงานแล้วถึงได้ถอนหายใจ หลั่งน้ำตาเงียบๆ แม้ว่าเด็กสาวจะเป็นคนอ่อนโยนอ่อนหวาน แต่กลับไม่มีนิสัยอ่อนไหวเป็นทุกข์ง่าย ทว่าพอเห็นมารดาของตนเป็นเช่นนี้ หลี่หลิ่วก็อดเสียใจไม่ได้
พวกนางต่างก็ไม่โง่ หากไม่ได้รับความยากลำบากที่แท้จริงมาก่อน หลี่ไหวก็ไม่มีเติบโตขึ้นภายในค่ำคืนเดียวเช่นนี้ เพียงแค่เด็กชายที่รู้ความแล้วไม่อยากพูดเรื่องที่ทำให้ไม่มีความสุขก็เท่านั้น
หลี่ไหวพาชายฉกรรจ์เดินออกมานอกประตู ห่างจากนอกประตูไปไม่ไกลมีทะเลสาบขนาดเล็กอยู่แห่งหนึ่ง คนทั้งสองเดินเลียบทะเลสาบอย่างเชื่องช้า หลี่ไหวเอ่ยถาม “ท่านพ่อ ภูเขาตงหัวลูกนี้ใหญ่เท่าพวกภูเขาที่บ้านเกิดที่ท่านเคยไปเยือนได้หรือไม่?”
ชายฉกรรจ์ตอบยิ้มๆ “ใหญ่กว่าภูเขาบางลูก แต่ก็เล็กกว่าบางลูก”
คำตอบจืดชืดน่าเบื่อหน่ายพอๆ กับตัวของชายฉกรรจ์เอง
หลี่ไหวกลอกตามองบน นั่งยองอยู่ข้างทะเลสาบ หยิบหินก้อนหนึ่งโยนไปในน้ำ “ท่านพ่อ แค่ที่ท่านดีต่อท่านแม่ของข้าก็ดีมากแล้ว”
ชายฉกรรจ์พูดไม่เก่ง จึงไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไร
หลี่ไหวพลันลดเสียงลงต่ำ “แล้วท่านพ่อก็ดีกับข้ามาก เรื่องในอดีต ข้าขอโทษนะ”
ชายฉกรรจ์นั่งยองลง เอ่ยเสียงเบา “มีลูกที่ไหนพูดขอโทษพ่อบ้างเล่า ไม่จำเป็นหรอก”
แล้วไม่นานชายฉกรรจ์ก็พูดด้วยสีหน้าขมขื่น “เจ้าพูดแบบนี้ พ่อใจไม่ดีเลย”
หลี่ไหวยิ้มกว้าง หันหน้ากลับไปมองบุรุษที่เคยทำให้ตนถูกเพื่อนในโรงเรียนดูถูกผู้นี้แล้วเอ่ยเบาๆ “ท่านพ่อ ข้าขี้ขลาด นิสัยนี้เหมือนท่านหรือเหมือนท่านแม่ล่ะ ตามหลักแล้วท่านยังกล้าขึ้นเขาไปคนเดียว แต่ข้าไม่กล้า เมื่อก่อนตอนอยู่กับเฉินผิงอันก็ไม่รู้สึกอะไร อยู่ในบ้านมาจนชินแล้วจึงรู้สึกว่าการที่คนอื่นดีต่อข้าก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกหลักฟ้าดินแล้วหรอกหรือ? ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่ข้าคิดเลย ข้างนอกมีคนชั่วร้ายอยู่มากมาย แม้ว่าเฉินผิงอันจะไม่ชอบพูด นิสัยพอๆ กับท่านพ่อ หากดีกับใครก็แทบจะเอาของทั้งหมดที่มีอยู่ในกายมอบให้คนๆ นั้น ปากเขาไม่เคยพูดอะไร เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน…”
หลี่ไหวกล่าวมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย “เพียงครั้งเดียวที่เฉินผิงอันดีกับตัวเองมากหน่อย ก็คือครั้งที่รับปากว่าจะเข้ามาในสถานศึกษาพร้อมกับพวกเรา เขาสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ เปลี่ยนมาสวมรองเท้าคู่ใหม่ไม่ใช่รองเท้าแตะ น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วเขาไม่ได้เผยตัว แอบจากไปเงียบๆ ข้าคิดถึงเขายิ่งนัก”
ชายฉกรรจ์ยื่นมือหนาใหญ่ออกมาวางเบาๆ บนศีรษะของเด็กชาย “โตแล้วนะ”
หลี่ไหวปัดมือของชายฉกรรจ์ทิ้ง กล่าวเสียงขุ่น “เปล่าสักหน่อย ตอนออกจากบ้านอายุเจ็ดขวบ นี่ยังไม่ทันปีใหม่เลย ดังนั้นข้าก็ยังเจ็ดขวบเหมือนเดิม”
ชายฉกรรจ์วางสองมือทับซ้อนกันไว้ตรงหน้าท้อง นั่งยองมองน้ำในทะเลสาบแล้วเริ่มเหม่อลอย สุดท้ายกล่าวอย่างละอายใจว่า “ชั่วชีวิตนี้พ่อไม่มีความสามารถอะไร ไม่อาจทำให้พวกเจ้าสามคนมีชีวิตที่สุขสบายได้แม้แค่ครึ่งวัน แถมยังทำให้เจ้าถูกคนดูหมิ่น เรียนหนังสือไม่มีความสุข ในใจของพ่อ…”
หลี่ไหวโบกมือตัดบทคำพูดของชายฉกรรจ์ พูดเหมือนคนแก่ “ข้าไม่ได้ตำหนิท่านหรอกนะ แต่ท่านอายุปูนนี้แล้วยังพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้อีก”
เด็กชายเงียบไปครู่หนึ่งก็ทำไหล่ลู่คอตก “ท่านพ่อ อันที่จริงตอนที่เห็นท่าทางของท่านตอนอยู่ต่อหน้าอาจารย์ ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”
คำพูดที่มาจากใจจริงของบุตรชาย ทำให้ชายผู้เงียบขรึมขยี้ซีกแก้มของตัวเองอย่างแรง มักจะรู้สึกว่าตัวเองผิดต่อเด็กชายที่รู้ประสาผู้นี้จริงๆ
สุดท้ายหลี่ไหวลุกขึ้นยืน เอ่ยยิ้มๆ “ท่านพ่อ สองวันนี้พาท่านแม่กับพี่สาวไปเดินเที่ยวเมืองหลวงของต้าสุยให้สนุกเถอะ ต่อให้เป็นของดีที่ซื้อไม่ไหว ได้มองก็ยังดี วันหน้ารอข้าเรียนหนังสือจนได้ดิบได้ดีแล้ว จะซื้อให้พวกท่านเอง! ไปเถอะๆ ท่านแม่ขี้กลัว ไม่มีพวกเราอยู่ข้างกายต้องเป็นกังวลอีกแน่”
หลี่ไหวกล่าวอย่างจริงจังมาก “ท่านพ่อ วันหน้าท่านต้องดีกับท่านแม่ให้มากๆ นางก็นิสัยอย่างนั้นเอง พูดจาไม่น่าฟัง แต่ท่านเป็นผู้ชายก็ควรจะใจกว้างกับนางให้มากหน่อย ว่าไหม?”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับอย่างแรง ลุกขึ้นยืนแต่กลับบอกว่าเขาขออยู่ดูทัศนียภาพคนเดียวสักครู่
หลี่ไหววิ่งเหยาะๆ กลับไป เด็กชายกระโดดโลดเต้น ไร้ทุกข์ไร้กังวล แถมยังฝึกท่าหมัดมั่วซั่วไปด้วย
ชายฉกรรจ์พลันตะโกนเรียกบุตรชายของตน
หลี่ไหวที่วิ่งไปไกลแล้วหันกลับมาถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านพ่อ มีอะไร? อยากเข้าห้องน้ำหรือ?”
ชายฉกรรจ์ชูนิ้วโป้งให้เขา “เก่งมาก!”
“ยังต้องให้ท่านบอกหรือไง?!”
เด็กชายค้อนขวักใส่บิดาแล้ววิ่งกลับไป
……
เห็นหลี่ไหวจากไปแล้ว ชายฉกรรจ์จึงสะบัดข้อมือ กวาดตามองไปรอบด้านแล้วเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เจ้าคนแซ่ชุย ออกมา!”
เด็กหนุ่มชุดขาวเรือนกายสะโอดสะองเดินออกมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ช้าๆ พลางยิ้มขออภัย “นายท่านใหญ่หลี่เอ้อร์มาแล้วหรือ ยินดีที่ได้พบๆ บอกให้รู้ไว้ก่อนว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่ราชครูต้าหลีอะไรแล้ว แต่เป็นชุยตงซานแล้ว นับว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักกับหลี่ไหวบุตรชายของเจ้าครึ่งตัว เจ้าห้ามซ้อมคนอื่นมั่วซั่วเด็ดขาด”
ชายฉกรรจ์ที่ชื่อว่าหลี่เอ้อร์สีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าเล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น! หนึ่ง ทุกรายละเอียดทุกขั้นตอน ห้ามตัดทอนหรือใส่เสริมเติมแต่งเด็ดขาด สอง ข้าไม่รับรองว่าจะไม่ซ้อมเจ้าจนตาย”
เด็กหนุ่มชุยฉานหรือเรียกอีกชื่อว่าชุยตงซานมองประเมินชายฉกรรจ์อย่างละเอียด มองผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ต่อสู้กับซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นโดยอีกฝ่ายเกือบตายทั้งเป็น อารมณ์ของเด็กหนุ่มซับซ้อนอย่างถึงที่สุด นอกจากนี้ยังปลงอนิจจังเล็กน้อย จึงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าได้เล่าให้ฟังเถอะ”
ศึกสุดยอดขอบเขตเก้าที่สะท้านฟ้าดินผีร่ำไห้เทพตะลึงในถ้ำสวรรค์หลีจูครั้งนั้น หลังจบเรื่องซ่งจ่างจิ้งฝ่าขอบเขตได้สำเร็จ เลื่อนขั้นกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบในตำนาน กลายมาเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตปลายทางตัวจริงเสียงจริงท่านที่สองของบุรพแจกันสมบัติทวีป ประเด็นสำคัญคือซ่งจ่างจิ้งยังหนุ่มขนาดนี้ ใช้คำว่า “ประหนึ่งดวงตะวันกลางนภา” มาบรรยายก็ยังไม่มากเกินไป แต่ซ่งจ่างจิ้งสามารถฝ่าคอขวดของขอบเขตไปได้สำเร็จในช่วงอายุสี่สิบปีไปด้วยสาเหตุใด โลกภายนอกกลับไม่มีใครรู้
การฝ่าขอบเขตหลังขอบเขตที่เจ็ดของผู้ฝึกยุทธ์ ทุกครั้งล้วนเกี่ยวพันกับความเป็นความตายที่หากต้องตายก็คือตายจริงๆ และแทบจะเป็นการฝ่าทะลุขอบเขตท่ามกลางสถานการณ์ที่สิ้นหวังคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นความตายทั้งสิ้น นี่คือความรู้ทั่วไปของวิถีการฝึกยุทธ์ใต้หล้า และนี่ก็หมายความว่าหินลับมีดก้อนนั้น คู่ต่อสู้คนนั้น อย่างเลวร้ายที่สุดก็ต้องเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งที่มีฝีมือเท่าเทียมกัน
เหตุใดซ่งจ่างจิ้งได้เลื่อนเป็นขอบเขตที่สิบ แต่หลี่เอ้อร์ที่เป็นฝ่ายได้เปรียบถึงไม่ได้เลื่อนขั้น? ทำไมหยางเหล่าโถวถึงคิดว่าสามารถทำการค้ากับซ่งจ่างจิ้งได้ตั้งแต่แรก? ต้องรู้ว่าเมื่อใดที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวซึ่งมีขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดทั้งสองคนประมือกัน ต้องเป็นสถานการณ์ที่พลิกฟ้าพลิกดิน สู้กันถึงท้ายที่สุดก็ไม่ใช่ว่าใครคิดจะหยุดมือก็หยุดมือได้ดังใจปรารถนา ด้วยนิสัยไม่เจอกระต่ายไม่เรียกเหยี่ยวกลับของหยางเหล่าโถว เหตุใดถึงยอมเสี่ยงให้หลี่เอ้อร์เล่นงานซ่งจ่างจิ้งจนตาย กลายมาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับคนทั้งราชวงศ์ต้าหลี แต่อย่างไรก็ต้องบีบให้ซ่งจ่างจิ้งยอมรับวาสนาในการฝ่าทะลุขอบเขตครั้งนี้ไว้ให้ได้?
สำหรับเรื่องนี้ชุยตงซานสงสัยใคร่รู้มาโดยตลอด
จนกระทั่งตอนนี้ที่ได้เห็นตัวจริงของหลี่เอ้อร์ซึ่งเปิดเผยพลังอำนาจสู่ภายนอกในระยะประชิด ชุยตงซานถึงพอจะกระจ่างแจ้งได้บ้าง
เพราะรากฐานขอบเขตที่เก้าของหลี่เอ้อร์ส่งเสริมให้ตบะซ่งจ่างจิ้งแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม!
ดังนั้นหากหลี่เอ้อร์คิดจะเลื่อนสู่ขอบเขตสิบก็จำเป็นต้องผ่านขัดเกลาที่มากกว่า หากทำได้สำเร็จ เป็นขอบเขตสิบเหมือนกัน ไม่ว่าซ่งจ่างจิ้งจะมีพรสวรรค์โดดเด่นแค่ไหน ศึกตัดสินเป็นตายครั้งต่อไป แปดถึงเก้าในสิบส่วนก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้แก่หลี่เอ้อร์ผู้ซึ่งแทบไม่มีใครในบุรพแจกันสมบัติทวีปรู้จักผู้นี้!
ชุยตงซานเล่ามรสุมในช่วงที่ผ่านมาไล่ไปทีละเรื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบมองไม่ออกถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ บนสีหน้าของชายฉกรรจ์
ชุยตงซานกล่าวยิ้มๆ “รากฐานของต้าสุยลึกล้ำไม่อาจดูแคลน อย่าได้ทำตัวเหลวไหล อีกอย่างข้าได้ระบายความโกรธแทนเด็กๆ ทุกคนไปแล้ว สั่งสอนเจ้าไช่จิงเสินผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบคนนั้นไปแล้ว หลังจากนี้พวกเขาจะเดินไปบนเส้นทางของการศึกษาต่อได้อย่างราบรื่น อีกอย่างมีข้าคอยให้การดูแลย่อมไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น”
แต่ชุยตงซานกลับราดน้ำมันลงบนกองเพลิงอย่างมีเจตนาแอบแฝง “แต่ว่าเพื่อนร่วมหอพักสามคนของหลี่ไหว เจ้าลูกหมาสามคนนั้นได้เอ่ยขอโทษแล้ว ของก็คืนแก่หลี่ไหวแล้ว ทว่าจนถึงตอนนี้ผู้ปกครองของพวกเขาก็ยังไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว แบบนี้ไม่ค่อยดีนัก หากเจ้าโมโหจริงๆ ก็สามารถไปพูดคุยกับพวกเขาที่บ้านได้”
ชายฉกรรจ์มองเขาครู่หนึ่ง
เด็กหนุ่มชุดขาวรีบชูสองมือขึ้นพลางบ่นอย่างคับแค้นใจ “ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับข้าชุยตงซานแม้แต่อีแปะเดียว ต่อให้เกี่ยวก็เกี่ยวกับราชครูในเมืองหลวงคนนั้นเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เจ้ามาเยือนเมืองหลวงต้าสุยในครั้งนี้ ข้าไม่ปฏิเสธ เพราะมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นความต้องการของเขาและหยางเหล่าโถว ดังนั้นข้าจึงได้รับความอยุติธรรมมากกว่าใคร ตอนนี้วิญญาณแยกออกจากกัน ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจยังต้องเล่นหมากล้อมกับแข่งกับตัวเอง เจ้าว่าข้าน่าสมเพชหรือไม่เล่า? เจ้าหลี่เอ้อร์จะตัดใจลงมือกับข้าได้ลงคอเชียวรึ?”
หลี่เอ้อร์กล่าวอย่างหงุดหงิด “ไม่ต้องมาใช้ไม้นี้กับข้า พวกเจ้าจะวางแผนอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า แค่ไม่มาหาเรื่องข้า ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของข้า ข้าหรือจะสนว่าพวกเจ้าคิดอะไรกันอยู่? แต่ตอนนี้ลูกชายข้าถูกคนรังแกถึงขนาดนี้ ถูกรังแกจน…เขาไม่กล้าเล่าให้พ่อแม่ตัวเองฟังแม้แต่คำเดียว!”
ชายฉกรรจ์ถ่มน้ำลาย คนไม่เอาถ่านที่วันๆ เงียบงันราวน้ำเต้าตันผู้นี้หัวเราะหยัน “ช่างหัวต้าสุยมันสิ!”
ชุยตงซานรู้สึกเย็นสันหลังวาบ
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด แถมยังเป็นตัวประหลาดที่มีชีวิตอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูอย่างหลี่เอ้อร์ผู้นี้ ต่อให้ยืนเฉยๆ ปล่อยให้นักพรตขอบเขตสิบทั่วไปขว้างสมบัติอาคมเข้าใส่อย่างบ้าคลั่งก็ยังต้องใช้เวลาเกินครึ่งวัน และไม่แน่ว่าหลี่เอ้อร์เองอาจจะยังไม่ทันระคายผิวหนัง ตัวผู้ฝึกลมปราณก็คงเหนื่อยจนสำลักไปก่อนแล้ว
ชายฉกรรจ์ก้าวยาวๆ ไปยังยอดเขา
เด็กหนุ่มชุดขาวรีบตามติดไปด้านหลังเขา ถามอย่างแปลกใจ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ชายฉกรรจ์ทิ้งประโยคหนึ่งมาให้ “ไปมองหาวังหลวงต้าสุยที่บนยอดเขา แล้วไปเยือนที่นั่นก่อนสักรอบ กลับมาค่อยถือโอกาสจัดการกับเจ้าไช่จิงเสินผู้นั้น”
ประโยคนี้พูดเหมือนกับว่า…ข้าจะไปเข้าห้องน้ำก่อน กลับออกมาแล้วค่อยล้างมือ?
—–