ตอนที่ 196.1 ข้าคือผู้ฝึกยุทธ์

บทที่ 196.1 ข้าคือผู้ฝึกยุทธ์
โดย

กระบี่น้อยสีเขียวมรกตที่อยู่กลางฝ่ามือมีชื่อว่า สืออู่ (สิบห้า)

ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็รู้สึกว่าชื่อนี้ตั้งได้อย่างไม่ใส่ใจยิ่งกว่าของเขาซะอีก

เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงลมปราณเย็นๆ ขุมหนึ่งที่แทรกซอนเข้าไปในกล้ามเนื้อ แต่หลังจากนั้นกลับรู้สึกอบอุ่น ทั่วร่างอุ่นสบายคล้ายกำลังอาบแดดในช่วงหน้าหนาว เฉินผิงอันสัมผัสได้ว่าปราณลี้ลับขุมนั้นว่ายวนไปตามเส้นชีพจรในร่างกาย ไหลผ่านช่องโพรงลมปราณแต่ละแห่งไปอย่างเชื่องช้า สุดท้ายเลือกหยุดพักอยู่ในช่องโพรงที่ก่อนหน้านี้มีปราณกระบี่อยู่เส้นหนึ่ง แล้วผลุบหายเข้าไปข้างใน วนเวียนอยู่ใน ‘จวน’ ที่กว้างขวาง ขานรับกับช่องโพรงอีกแห่งหนึ่งที่ตัวอ่อนกระบี่สีเงินพักอยู่ไกลๆ

หยางเหล่าโถวที่พ่นควันเป็นวงกลมพยักหน้า “อยู่เหนือการคาดการณ์ของข้า กระบี่เล่มนี้ถือว่ามีวาสนากับเจ้า เดิมทีมันไม่ควรจะราบรื่นขนาดนี้ ข้ายังคิดว่าช่วยแล้วก็ช่วยให้ถึงที่สุด จะช่วยกำราบกระบี่บินเล่มนี้ไว้ในช่องโพรงแห่งใดหนึ่งของเจ้าก่อน หลังจากนั้นค่อยอาศัยความเด็ดเดี่ยวของเจ้าทำให้มันเชื่อฟังคำสั่ง”

ผู้เฒ่าจะโคจรวิชาอภินิหาร แต่พอเห็นว่ากระบี่บินเล่มนั้นเข้าไปอยู่ในช่องโพรงลมปราณของเฉินผิงอันอย่างว่าง่ายอ่อนโยนผิดปกติ เขาก็ถามขึ้นอย่างลังเล “อันที่จริงข้าค่อนข้างสงสัย มีคำถามจะถามเจ้าสองข้อ จะเต็มใจตอบหรือไม่ก็อยู่ที่เจ้า เฉินผิงอันเจ้าฝึกวิชาหมัดมานานขนาดนั้น แต่เพิ่งจะเหยียบไปบนธรณีประตูของขอบเขตสาม เจ้าร้อนใจหรือไม่? อีกอย่างก็คือขณะที่เจ้าฝึกวิชาหมัด เป็นเพราะมีความคิดอะไรผุดขึ้นมาหรือไม่ถึงทำให้เจ้ายืนหยัดจนถึงวันนี้?”

เฉินผิงอันตอบไปตามสัตย์จริง “ต้องร้อนใจอยู่แล้ว แต่ก็รู้ว่าร้อนใจไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะนี่ก็เหมือนกับการขึ้นรูปเผาเครื่องปั้น ยิ่งร้อนรนก็ยิ่งผิดพลาด ดังนั้นจึงไม่คิดให้วุ่นวายใจ บางครั้งหยุดความคิดไม่ได้จริงๆ ก็จะปล่อยหัวสมองตัวเองให้โล่งว่าง แล้วฝึกเดินนิ่งไปตามสัญชาตญาณ หรือไม่ก็หาสถานที่ที่มองเห็นได้กว้างไกลฝึกท่าเจี้ยนหลู หากยังไม่ได้จริงๆ ข้าก็จะอ่านหนังสือ ฝึกคัดตัวอักษร ถ้ายังไม่ได้อีกข้าก็จนปัญญาแล้ว ปล่อยให้ตัวเองคิดวุ่นวายไปเรื่อยนั่นแหละ ยกตัวอย่างเช่นคิดว่าตอนนี้ตัวเองมีเงินเท่าไหร่…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย

หยางเหล่าโถวพูดด้วยสีหน้าปกติ “พูดถึงคำถามข้อที่สองต่อสิ”

เฉินผิงอันยืดเอวตรงโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ได้คิดจะปิดบัง เพราะเดิมทีก็ไม่อยากปิดบังอะไรอยู่แล้ว ก็เหมือนกับคนยากจนบ้านมีแต่ผนังสี่ด้านคนหนึ่ง ที่เอาของที่มีค่ามากที่สุดในบ้านมาโอ้อวดด้วยความมั่นใจอย่างไร้เหตุผล “ตอนที่ข้าสู้กับคนอื่นบนแม่น้ำซิ่วฮวาก็ทำให้ยิ่งมั่นใจในเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเมื่อข้ารู้สึกว่าตัวเองทำถูก ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร ทุกครั้งที่ปล่อยหมัด ข้าก็ล้วนสามารถปล่อยได้ไวมาก! และมีแต่จะเร็วขึ้นในทุกครั้งหลังจากนั้น!”

หยางเหล่าโถวถาม “ไวมาก? ให้เจ้าต่อยหนึ่งหมื่นหมัด หนึ่งแสนหมัด เจ้าจะต่อยโดนชายเสื้อข้าหรือไม่?”

เฉินผิงอันไม่ย่อท้อแม้แต่น้อย เขาหลุดปากออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ “ข้าแข่งกับตัวเองก่อน ถามตัวเองแล้วไม่ละอายใจก็พอแล้ว หลังจากนั้นค่อยไปแข่งกับคนอื่น!”

หยางเหล่าโถวอืมรับหนึ่งที “คิดแบบนี้ สำหรับเจ้าแล้วก็ไม่ผิด”

หม่าขู่เสวียนที่เกิดมาในเมืองเล็กเช่นเดียวกันกลับเดินไปบนความสุดโต่งของทางอีกเส้นหนึ่ง เขาแสวงหาการเป็นผู้ที่อยู่เหนือคนนับหมื่น เป็นผู้นำของคนวัยเดียวกันอย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่ว่าหม่าขู่เสวียนมั่นใจในตัวเองมากเกินไป แต่เป็นเพราะพรสวรรค์และฐานกระดูกของเขาล้วนดีเยี่ยม ถ้าไม่กล้าคิดแบบนี้ นั่นต่างหากถึงเป็นการย่ำยีสมบัติแห่งสวรรค์ สวรรค์ประทานให้เจ้า เจ้าไม่รับไว้ กลับกลายเป็นว่าจะถูกสวรรค์ลงโทษ

ส่วนเด็กหนุ่มตรอกยากจนที่เพิ่งจะปลดปิ่นหยกตรงหน้าผู้นี้น่าจะเดินไปบนอีกเส้นทางหนึ่ง มองแรกๆ ไม่สะดุดตา มองอีกทีก็ยังคงไม่โดดเด่น ไม่ว่าจะมองสักกี่ครั้ง อย่างมากสุดก็แค่รู้สึกว่าไม่เลว อันที่จริงเขาก็ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญาอะไรนัก ยังพอจะมีลูกเล่นอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นคนส่วนใหญ่ก็ไม่ให้ความสนใจเขาอีก

หยางเหล่าโถวกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าจะสอนคาถาควบคุม ‘สืออู่’ ให้เจ้าสองบท บทหนึ่งใช้หล่อเลี้ยงพลังกระบี่ให้อบอุ่น อีกบทหนึ่งใช้เปิดปิดวัตถุฟางชุ่น”

เฉินผิงอันถามล่วงหน้า “มีกระบี่บินสองเล่มอยู่ในกายเวลาเดียวกันจะมีปัญหาหรือไม่?”

หยางเหล่าโถวหลุดหัวเราะพรืด “หร่วนฉงก็มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มไม่ใช่หรือไง แล้วนี่ยังเป็นเพราะเขาแสวงหาวิถีแห่งการหลอมกระบี่ ถึงได้จำเป็นต้องสิ้นเปลืองสมบัติวิเศษจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องแบ่งสมาธิบางส่วนให้กับเรื่องส่วนตัว หาไม่แล้วด้วยพรสวรรค์และสมบัติของเขา หากจะเลี้ยงกระบี่อีกสองเล่มก็ยังไม่เป็นปัญหา กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตต้องดูที่โชควาสนา หากยังไม่ถึงเวลา ผ่านไปหนึ่งร้อยปีก็ยังไม่อาจได้มาครอบครอง แต่หากถึงเวลา จะขวางก็ยังขวางไม่อยู่ เพียงแต่วัตถุอย่างกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตนี้ ไม่ใช่กำลังทหารในสนามรบที่มีมากแล้วจะยิ่งดี ขอบเขตที่ผู้ฝึกกระบี่ปรารถนาแม้แต่ในยามหลับฝันเรียกว่า หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นอาคม ทำไมถึงไม่พูดว่า ‘สองกระบี่สามกระบี่’? นั่นก็เพราะว่าสุดยอดผู้ฝึกกระบี่ที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง มีกระบี่บินที่รู้ใจแค่เล่มเดียวก็เพียงพอแล้ว มีมากไปกลับยิ่งจะกลายมาเป็นภาระ ส่วนเจ้าเฉินผิงอัน ฝึกวิชาหมัดก็เพื่อต่อชีวิต แต่จะฝึกกระบี่เพราะสาเหตุใด ข้าคร้านจะคาดเดา แต่พวกภูเขาและสมบัตินอกเหนือจากนั้นก็เหมือนเงินเหรียญทองแดงที่เจ้าหามาได้ หาเงินได้มาก ใส่ไว้ในกระเป๋าแล้วจะลำบากหรือ? เจ้าจะรู้สึกอย่างนั้นหรือไง?”

เฉินผิงอันเกาหัวพูดด้วยความรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย “พื้นที่ใน ‘สืออู่’ กว้างแค่ไหน สามารถใส่ของได้มากน้อยเท่าไหร่?”

หยางเหล่าโถวเอ่ยยิ้มๆ “กว้าง ยาวและสูงพอๆ กับกระบี่ไม้ไหวเล่มนั้นของเจ้า พอใช้ได้ ถือว่าดีกว่าวัตถุฟางชุ่นทั่วไปแล้ว ไม่อาจบรรจุภูเขาเงินภูเขาทองเป็นลูกๆ ได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องให้เจ้าแบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่เดินไปทั่วยุทธภพ จำไว้ว่า ของที่มีชีวิต อย่าเอาไปใส่ไว้ในวัตถุฟางชุ่นเด็ดขาด ยกตัวอย่างเช่นชูอีตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้น หากถูกเจ้าจับยัดเข้าไปข้างใน จะไปทำลายกฎเกณฑ์บางอย่างของ ‘ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล’ และต้องแหลกสลายกลายเป็นผุยผง ถึงเวลานั้นเจ้าก็เสียใจไปเถอะ”

หลังจากนั้นหยางเหล่าโถวก็ถ่ายทอดคาถาสองบทให้เฉินผิงอัน พูดซ้ำอยู่สองรอบ เมื่อเฉินผิงอันจดจำได้ขึ้นใจแล้ว ผู้เฒ่าก็สูบยาพ่นควันขโมงลอยอวลต่ออีกครั้ง

ท่ามกลางความมืดมิด เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนได้สร้างสะพานไม้เชื่อมโยงเข้ากับกระบี่เล็กสีหยกมรกตที่อยู่ในช่องโพรงลมปราณ ทำให้สามารถพูดคุยกับมันได้ ความรู้สึกเช่นนี้มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยาย

ความคิดของเฉินผิงอันบังเกิด จิตวิญญาณสั่นสะท้านน้อยๆ กระบี่บินบินออกมาจากร่างเขาอย่างราบรื่นไม่มีสะดุดขัด แต่พอออกมาได้ มันกลับตรงเข้าหาหยางเหล่าโถวทันที หยางเหล่าโถวไม่แม้แต่จะกะพริบตา กระบี่บินเล่มจิ๋วสีเขียวแวววาวก็เหมือนชนเข้ากับกำแพงสูง ดีดกลับมาหาเฉินผิงอันอย่างมึนงง พริบตาเดียวก็กลับเข้าไปในช่องโพรงลมปราณอย่างรวดเร็ว คล้ายเด็กคนหนึ่งที่กำลังโมโห ไม่ว่าเสียงในหัวใจของเฉินผิงอันจะเรียกร้องหาอย่างไรก็ไม่ยอมสนใจ

เฉินผิงอันตกตะลึงและทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

หยางเหล่าโถวรู้สึกว่าน่าขัน จึงเอ่ยเนิบช้าว่า “อดีตเจ้านายของสืออู่รุ่นที่ผ่านๆ มา มีใครบ้างที่ไม่ใช่บุคคลที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ มันไม่เคยเจอกับเจ้านายที่ทึ่มทื่อ ควบคุมกระบี่ได้ย่ำแย่อย่างเจ้า มันย่อมรู้สึกขายหน้า ก็เลยไม่อยากออกมาปรากฏตัวให้เห็น แต่ไม่เป็นไร ขอแค่ตั้งใจฝึกฝน วันหน้ารอให้ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม รอจนเจ้าได้รับการยอมรับจากมันอย่างแท้จริง เจ้าที่เป็นเจ้านายก็จะได้กุมอำนาจมากกว่าเดิม ต่อให้คิดจะทำให้มันร่างแหลกสลายหายไปจากโลกนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ถอนหายใจโล่งอก ขอแค่เป็นเรื่องที่ต้องก้มหน้าก้มตาทำแล้วจะได้ผลดียิ่งกว่าเดิม เฉินผิงอันก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

สิ่งที่เขากลัวคือเรื่องที่ไม่ว่าตนจะขยันมากแค่ไหนก็ไม่อาจทำได้ดีมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นการเผาเครื่องปั้น

หยางเหล่าโถวพลันเอ่ยขึ้นว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมทั้งๆ ที่สืออู่รู้ว่าพรสวรรค์ของเจ้าธรรมดา แต่ก็ยังเต็มใจจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเจ้า? เพราะเจ้าคิดถึงคำว่า ‘เร็ว’ ที่มีความสำคัญอย่างถึงที่สุด มันคือคำที่เชื่อมโยงกับรากฐานแห่งปณิธานกระบี่ของสืออู่อย่างเป็นธรรมชาติ กระบี่บินอย่างสืออู่นี้ ก็คือเร็ว เร็วจนคู่ต่อสู้ทุกคนตั้งตัวไม่ทัน ช่วงชิงโอกาสของความได้เปรียบไว้ก่อน ผู้ที่ลงมือก่อนย่อมมิอาจทัดทาน”

เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง ขณะเดียวกันก็ไพล่นึกไปถึงตัวอ่อนกระบี่ที่ชื่อเดิมคือ ‘เสี่ยวเฟิงตู’ ก้อนนั้น การที่มันเกิดความขัดแย้งกับตน น่าจะเป็นเพราะตนยังไม่บรรลุถึงปณิธานกระบี่ของมัน

หยางเหล่าโถวโบกมือ “ช่วงนี้อย่าไปไหนส่งเดช รอฟังข่าวจากหร่วนฉงอย่างสงบ”

เฉินผิงอันจะพูด แต่ก็ไม่พูด

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ของขวัญวันปีใหม่? ยังไม่ต้องพูดถึงว่าข้าเต็มใจแหกกฎรับไว้หรือไม่ เอาแค่ว่าเจ้าจะหาของอะไรที่เข้าตาข้ามาได้? ถอยไปพูดอีกก้าว ต่อให้มันเข้าตาข้าจริง แล้วเจ้าจะเต็มใจให้หรือ? ไปๆๆ พูดธุระเสร็จแล้วก็รีบกลับไปรอที่ภูเขาลั่วพั่วซะ ส่วนทรัพย์สมบัติที่เจ้าทิ้งไว้ในร้านตีเหล็ก ข้าจะให้คนเอาไปส่งให้ ตอนนี้หากเจ้าไปปรากฏตัวแถวๆ เตาหลอมกระบี่ย่อมสะดุดสายตาเกินไป ไม่เหมาะสม”

เฉินผิงอันรู้นิสัยของผู้เฒ่าดี จึงไม่ได้อิดออด ลุกขึ้นได้ก็เดินออกไปจากร้านยาตระกูลหยาง

เพียงแต่ว่าเพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตูของร้านยา เฉินผิงอันก็อดไม่ได้ที่จะหมุนตัวหันกลับไปมอง เดินผ่านห้องข้างก็เห็นว่าผู้เฒ่าที่พ่นควันโขมงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เฉินผิงอันจึงหันไปโค้งตัวคำนับผู้เฒ่า

หยางเหล่าโถวรับการคำนับไว้อย่างเต็มใจ

หลังจากเฉินผิงอันจากไปอีกครั้ง ผู้เฒ่าก็เคาะกระบอกยาสูบที่ตัวกระบอกทำจากท่อนไม้ไผ่สีเขียวออกเหลือง ความคิดล่องลอยไปไกล

ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนาน ผู้เฒ่าแอบทำการค้าแลกเปลี่ยนมานับครั้งไม่ถ้วน ต่อให้เป็นทุกวันนี้ เขาก็ยังคงไม่ค่อยเห็นดีในตัวเด็กหนุ่มผู้นั้นเท่าไหร่นัก คนบางคนชะตาชีวิตดีมากอย่างแท้จริง ดีจนสามารถใช้คำว่าวาสนาเทียมฟ้ามาบรรยายได้ และก็มักจะมีชีวิตที่ดีต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งชะตาร้ายมาเยือน ต่อให้ภูเขาปริพังแผ่นดินแตกแยก ก็ยังน่าชื่นชมน่าสรรเสริญ ทว่าคนที่ชะตายากไร้ก็ยากที่จะเงยหน้าอ้าปากได้ ชีวิตเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เดี๋ยวลงเดี๋ยวขึ้น คิดจะเดินขึ้นไปยังจุดสูงนั้นช่างยากยิ่ง ง่ายนักที่จะถูกพวกลูกรักแห่งสวรรค์ทิ้งระยะห่าง ได้แต่เดินก้มหน้าก้มตากินฝุ่นดินด้านหลังคนอื่น

ในสายตาของผู้เฒ่า เฉินผิงอันก็เหมือนหญ้าป่าต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ข้างไร่นา ถูกเหยียบย่ำครั้งแล้วครั้งเล่าท่ามกลางพายุฝน กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดไปวันๆ แม้แต่หมาสักตัวก็ยังไม่อยากฉี่ใส่ เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน กลับให้บรรยากาศใหม่ๆ เหมือนวันปีใหม่

ดังนั้นหยางเหล่าโถวจึงเต็มใจที่จะปล่อยไปตามธรรมชาติ อีกทั้งยังไม่คิดมากที่จะลงเดิมพัน เดิมพันลงบนร่างของเด็กหนุ่มที่ตัวเองไม่เห็นดีด้วยมากที่สุด แค่เดิมพันเล็กๆ แพ้แล้วก็ไม่ส่งผลร้ายต่อตัวเอง ชนะก็เป็นความปิติยินดีที่เพิ่มขึ้นมา

ชะตาชีวิตดีก็สำเร็จได้ในรวดเดียว

ชะตายากแค้นก็มีกำลังช่วงสุดท้ายเพิ่มมากขึ้น

แต่หยางเหล่าโถวรู้ถึงแนวโน้มของสถานการณ์ส่วนใหญ่ บนโลกที่เต็มไปด้วยการแย่งชิง ร้อยสำนักประชันกัน ทุกหนแห่งมีแต่วีรบุรุษ จะเป็น ‘ปีแห่งความยิ่งใหญ่’ ที่เหล่าผู้มีพรสวรรค์กรูมารวมตัวกัน พันปีก็ยากจะพานพบ

บนเส้นทางการฝึกตน ช้าหนึ่งก้าวก็ช้าไปทุกก้าว เจ้าเฉินผิงอันช่างยากที่จะผงาดโดดเด่นได้จริงๆ

 —–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset