ตอนที่ 200 ตั้งเป้าหมาย

บทที่ 200 ตั้งเป้าหมาย

หลินชิงเหอที่คำนวณเวลาก็เริ่มจงใจเร่งรัดหลักสูตรการเรียนให้เจ้าใหญ่ เธอแนะแนวการศึกษาหลัก ๆ ให้เขาเรียน ซึ่งตำราเรียนเหล่านี้เป็นสิ่งที่เธออ่านมาทะลุปรุโปร่งแล้ว จึงรู้แน่ชัดว่าจุดไหนสำคัญและจุดไหนไม่สำคัญบ้าง

นอกจากนี้เจ้าใหญ่ยังฉลาดและมีความจำดี เขาจึงเรียนรู้มันได้โดยแทบไม่ต้องพยายาม

เพียงแต่ว่าเขาไม่อาจเรียนไปด้วยทำงานที่บ้านไปด้วยได้

“คราวหน้าลูกสองคนออกไปเก็บผักขมนะ พี่ใหญ่ของลูก ๆ ช่วงนี้กำลังยุ่งและไม่มีเวลาว่างน่ะ ลูก ๆ เข้าใจไหม?” หลินชิงเหอสั่งงานเก็บผักขมแลกแต้มค่าแรงให้กับเจ้ารองและเจ้าสาม

เจ้ารองไม่แย้งอะไร แต่เจ้าสามกลับเริ่มบ่น “พี่ใหญ่กำลังจะกลายเป็นบัณฑิตไร้ประโยชน์เหรอครับ? เขาจะไม่ทำงานอีกแล้วเหรอ?”

“ตอนที่พี่ใหญ่ทำงาน ลูกก็ได้เล่นไปเยอะแล้วนี่” หลินชิงเหอชี้ประเด็นก่อนตบก้นของเด็กชายตัวน้อย “หยุดพูดได้แล้ว พี่ใหญ่ของลูกกำลังยุ่งกับการเรียนหนังสืออยู่”

เจ้าสามแค่พูดเฉย ๆ เท่านั้น แต่ก็ยอมแบกรับภาระใหญ่หลวงในการเลี้ยงดูครอบครัวอยู่ดี

เจ้าใหญ่อยากจะบอกว่าไม่จำเป็นแต่แม่ของเขาก็ไม่เห็นด้วย ช่วงนี้เธอให้เขาเรียนหนักมาก เนื่องเพราะภาคการศึกษานี้มีสิ่งที่ต้องเรียนอยู่เต็มไปหมด

แม่ของเขาอยากให้เขาเรียนทุกสิ่งทุกอย่างในชั้นมัธยมศึกษาปีแรกให้หมด เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ยามวันหยุดฤดูหนาวมาถึง เขาจะได้เรียนเนื้อหาส่วนของภาคการศึกษาแรกในชั้นปีที่ 2 จากนั้นเมื่อโรงเรียนเปิด มันก็จะเป็นเรื่องง่ายในการเลื่อนชั้นไปเรียนภาคการศึกษาปลายของชั้นปีที่ 2

ต่อให้มันจะค่อนข้างรวบรัด แต่พ่อของเขาก็บอกให้เชื่อฟังแม่และอย่าตั้งคำถาม

ท่านแม่โจวไม่เข้าใจเรื่องนี้ นางเลยมาถามหลินชิงเหอ “แม่เจ้าใหญ่ มันจะไม่เป็นการเร่งรัดเจ้าใหญ่เกินไปเหรอ? เขาไม่ได้อายุมากขนาดนั้นนะ”

ปีนี้เจ้าใหญ่มีอายุ 10 ขวบเท่านั้น ด้วยอายุเท่านี้ก็บอกได้ว่าเขาเป็นนักเรียนที่เด็กที่สุดในชั้นเรียน

เด็กจากครอบครัวอื่นในตอนอายุ 10 ขวบอาจไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนชั้นมัธยมปีที่ 1

“เขายังเด็ก แต่เขาก็ตัวสูงมากนะคะ ต่อให้เขาเรียนในปีนั้นก็ไม่มีใครรังแกเขาหรอกค่ะ คุณแม่อย่ากังวลไปเลย” หลินชิงเหอบอก

“แต่มันเร็วเกินไปนะ ฉันคิดว่าเจ้าใหญ่ช่วงนี้ดูผอมลงไปหน่อยล่ะ การเรียนช่างใช้พลังสมองเยอะจริง ๆ” ท่านแม่โจวยืนกราน

หลินชิงเหอไม่รู้สึกว่าตอนนี้เจ้าใหญ่ผอมลงเลย แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่การเรียนหนังสือต้องใช้พลังสมองอย่างมาก ในตอนนี้เธอเลยสั่งนมเพิ่มเป็น 5 ขวดต่อวัน

แน่นอนว่ามันใช้เงินจำนวนมาก แต่ในความคิดของหลินชิงเหอแล้ว หากเจ้าใหญ่เลื่อนชั้นได้ เขาก็จะประหยัดค่าเล่าเรียนไปได้ มันก็ถือว่าเจ๊ากันไป

การเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงจะเริ่มในสิ้นเดือนนี้ หลินชิงเหอได้เริ่มรวบรวมปลาไหลนาและปลาหนีชิวแล้วเช่นกัน

โจวชิงไป๋กินปลาไหลมากเกินไปจนถึงกับพลิกเธอกลับไปกลับมาในตอนกลางคืนไม่หยุด

“นี่ก็ใกล้การเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงแล้ว คุณต้องประหยัดพลังงานหน่อยนะคะ” หลินชิงเหอบ่นขณะกระแทกตัวใส่เขา

แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีเวลาคุยกันอีก ตอนนี้โจวชิงไป๋เป็นสารถีมากประสบการณ์แล้ว เขารู้โดยตลอดว่าจะกระตุ้นเธอให้กอดเขาและปล่อยให้เขาทำตามใจชอบได้อย่างไรบ้าง

โจวชิงไป๋รู้สึกพอใจอย่างมาก ทันทีที่เสร็จกิจ เขาก็กอดเธอไว้ในอ้อมแขนและเอ่ยขึ้น “คุณอย่ากังวลเรื่องของเจ้าใหญ่ไปเลย ถ้าเขาสอบได้ทันเวลาก็ให้เขาสอบเถอะ แต่ถ้าเขาสอบไม่ทันก็ไม่เป็นไร”

เขาเองก็จำได้ในเรื่องที่เธอเคยบอกว่าในปี 1977 จะมีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนี้เป็นปี 1974 แล้ว เท่ากับว่ายังเหลือเวลาอีกไม่กี่ปี

“หากเขาทำไม่ได้ เขาก็อาจจะสอบไม่ผ่านในปีที่ 2 ให้เขาลองสอบดูก่อนเถอะค่ะ ถ้ามันไม่ได้ผลจริง ๆ ก็ช่วยไม่ได้แล้ว” หลินชิงเหอเอ่ยเสียงเอื่อยเฉื่อย

“อีกรอบนะครับ” โจวชิงไป๋มองเธอและเอ่ยออกมา

หลินชิงเหอปฏิเสธ เธอบอกให้เขานอนดี ๆ และหยุดขยับตัวได้แล้ว หลังจากทำงานมาทั้งวันเขาก็ยังมีพลังงานล้นเหลือในตอนกลางคืนจริง ๆ

ในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เจ้ารองก็เอ่ยขึ้นมา “เมื่อวานนี้พี่ใหญ่ฝันแล้วก็ละเมอพูดออกมาด้วย เขายังท่องจำบทความอยู่เลย”

“หนวกหูจริง ๆ” เจ้าสามพยักหน้าเช่นกัน

ซูเฉิงน้อยถึงกับมีสีหน้าว่างเปล่า มันเกิดเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? ทำไมเขาไม่เห็นรู้เลยล่ะ?

“กินซะ หลังจากกินเสร็จก็ไปทำงานที่ควรจะทำด้วย” หลินชิงเหอไล่พวกเขาให้กินข้าว

เจ้าใหญ่ดื่มนม 2 ขวดอย่างเดียว ร่างกายของเขาได้รับสารอาหารอย่างดีอย่างชัดเจน เห็นได้จากความสูงที่เพิ่มขึ้นมาก

ในวันธรรมดา หลินชิงเหอจะให้เขากินซุปงาบดและถั่วลิสงต้มเป็นส่วนใหญ่

ในวันนี้เธอนำเศษเนื้อจำนวนหนึ่งมาจากเม่ยเจี่ย ซึ่งในนั้นก็มีกระดูกอยู่ เธอจึงนำมาตุ๋นกับถั่วเหลือง

อาหารจานนี้เธอมักจะดื่มแค่น้ำแกง ส่วนถั่วเหลืองนั้นยกให้พ่อกับลูกชายทั้งสามกิน

การเรียนหนังสือเป็นเรื่องดูดพลังสมองโดยแท้ หลินชิงเหอจึงใส่ใจมากที่จะควบคุมอาหารการกินของเขา เธอมักจะรวบรวมกระดูกมาต้มเป็นน้ำแกงให้กิน

ชาวบ้านต่างรู้ถึงความสามารถด้านการเรียนอันยอดเยี่ยมของเจ้าใหญ่

พวกเขาได้ยินว่าเขาสอบได้คะแนนเต็มในโรงเรียนมัธยมต้น ก่อนที่แตรสัญญาณการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงจะดังขึ้น โรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบลก็ได้มีการสอบประจำเดือนเป็นครั้งแรก แล้วเจ้าใหญ่ก็สอบได้ที่หนึ่งของทั้งชั้นเรียนและเอาชนะเด็กปี 2 ไปด้วยคะแนนห่างกัน 3 คะแนน

ยังมีเด็กอีก 2 คนในหมู่บ้านที่ได้เรียนในโรงเรียนมัธยมต้น คนหนึ่งเป็นหลานชายของหัวหน้าหมู่บ้าน ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็นเด็กแซ่โจวเหมือนกัน แม้จะเป็นญาติห่าง ๆ กันแต่พวกเขาก็ยังมีความเกี่ยวข้องกันอยู่

เมื่อเริ่มการเรียนการสอน แม่ของเด็กคนนั้นก็ได้มาทักทายหลินชิงเหอ แถมยังนำไข่จำนวนหนึ่งมาให้ด้วย

หลินชิงเหอไม่ได้รับไข่เหล่านั้นไว้ เธอเพียงแต่บอกหล่อนให้พาเด็กที่ชื่อว่าโจวซื่อให้มาหาและถามคำถามเธอได้หากมีข้อสงสัย

เธอมีทัศนคติตรงไปตรงมาอย่างเห็นได้ชัด แต่เด็กคนนั้นก็ไม่ได้มาถามเป็นเวลานานมาก

หลินชิงเหอไม่ได้เป็นคนออกข้อสอบ แต่ครูคณิตศาสตร์ประจำชั้นปีที่ 2 เป็นคนออกข้อสอบของชั้นมัธยมศึกษาปีแรกและปีที่ 2

ขณะที่หลินชิงเหอเป็นคนออกข้อสอบในการสอบประจำเดือนครั้งแรกของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เป็นการออกข้อสอบแบบสลับกัน และเป็นเช่นเดียวกับเมื่อปีที่แล้ว

ดังนั้นชาวบ้านทั้งหลายจึงรับรู้ถึงความสำเร็จของเจ้าใหญ่ พวกเขายังพบว่าลูกชายของโจวชิงไป๋กับหลินชิงเหอสามารถเรียนหนังสือได้ดี

ทุกคนต่างรู้ถึงรากเหง้าบรรพบุรุษของตระกูลโจวดี พวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์อย่างหนึ่ง?

เมื่อรวมโจวชิงไป๋เข้าไปในตระกูลแล้ว ความสามารถของเขาถือว่ายังธรรมดาและเทียบไม่ได้กับเจ้าใหญ่ที่สอบได้ที่หนึ่งจากชั้นเรียนหัวกะทิไม่กี่ชั้น ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจน

ไม่ต้องบอกเลยว่าเขาได้รับกรรมพันธุ์นี้มาจากไหน?

ต้องมาจากคุณครูหลินที่เรียนรู้หนังสือด้วยตัวเองแน่

“บางทีในวันข้างหน้าเจ้าใหญ่อาจสอบเข้ามหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารติดก็ได้นะ” ผู้เฒ่าผู้แก่สายตาคมบางคนในหมู่บ้านเอ่ยขึ้น

ในอดีตพวกเขาไม่เคยผลิตนักศึกษามหาวิทยาลัยออกมาเลย

คนอย่างนักศึกษามหาวิทยาลัยมีแค่ในตำนานเท่านั้น

และคุณค่าดุจทองคำของนักศึกษามหาวิทยาลัยในยุคนี้ก็ไม่อาจเทียบกับนักศึกษามหาวิทยาลัยในยุคหลังได้ เห็นได้จากคำว่า มีแต่ในตำนาน แล้ว ก็บอกได้ว่ามันเหนือธรรมดาสามัญเพียงใด

สูงค่าแค่ไหนน่ะเหรอ? เกือบจะเท่ากับหมีแพนด้าเลยล่ะ

ทันทีที่คนชราเหล่านี้เอ่ยดังนี้ ชาวบ้านทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะคอยสังเกตดูเจ้าใหญ่

พวกเขาเคยคิดว่าเจ้าใหญ่ช่างเยี่ยมยอด คนบางคนที่มีลูกสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันในครอบครัวก็เริ่มหมายตาเขามาเป็นเขยอยู่ในใจแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีแม่เป็นหลินชิงเหอก็ตาม

เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงคะแนนความนิยมของเจ้าใหญ่ในหมู่บ้าน

ก่อนหน้านี้หลินชิงเหอได้อดทนต่อความยากลำบากในการชำระตัวเองให้ขาวสะอาดอย่างเงียบ ๆ จนชาวบ้านทั้งหลาย พบว่า พวกเขาเข้าใจคุณครูหลินผิดไป

ไม่ต้องพูดถึงเจ้าใหญ่เลย คนหลายคนก็เริ่มเล็งไปที่เจ้ารองแล้ว

ตอนนี้ต้องบอกว่าเจ้าใหญ่มีแววว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ มันทำให้ทุกคนถึงกับฮือฮา

เจ้ารองกับเจ้าสามจึงกลับมาพร้อมกับไข่ต้มสองใบหลังเสร็จจากการเก็บผักขมในวันนั้น แล้วพวกเขาก็ยื่นส่งให้กับแม่ของพวกเขา

“ลูก ๆ ไปได้ไข่มาจากไหนน่ะ?” หลินชิงเหอถาม

“คุณป้าหวังบอกให้พวกเราเอากลับมาให้พี่ใหญ่กินน่ะครับ” เจ้ารองบอก

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจ้าใหญ่ดังใหญ่แล้วค่ะ เอารถม้ามาลากก็ฉุดไม่อยู่แล้ว แต่เบื้องหลังความดังก็เผชิญความยากลำบากไม่น้อยนะคะ เอาใจช่วยให้เจ้าใหญ่ทำสำเร็จกันค่ะ

ส่วนพ่อก็ยังคงกินแม่ต่อไปไม่เคยแผ่ว 555

ไหหม่า (海馬)

Comment

Options

not work with dark mode
Reset