สนามรบพลันเงียบงัน หลังจากความตกตะลึงของคนในขบวนทัพที่ห้อมล้อมเด็กหนุ่มเป็นจุดศูนย์กลางผ่านพ้นไป ก็เกิดเป็นเสียงเกราะเหล็กที่ดังสะเทือนอย่างพร้อมเพรียงกัน การทำสงครามของทัพใหญ่ไม่ใช่การมาร่วมวงดูเรื่องครึกครื้น ทันใดนั้นทวนยาวก็หันปลายแหลมเข้าหา ธนูถูกง้าวขึ้น ล้วนเล็งมาที่เซียนกระบี่เด็กหนุ่มที่บอกว่าตัวเองเป็นคนของต้าหลี
จากนั้นเฉินผิงอันก็ทำในสิ่งที่ไม่ถูกกาลเทศะอย่างยิ่ง มือซ้ายสอดกระบี่ไม้ไหวกลับเข้ากล่องไม้ มือขวาปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงมาอย่างคุ้นเคย แล้วชูมือซ้ายขึ้นสูงราวกับกำลังบอกกองทัพใหญ่ของแคว้นซูสุ่ยว่า ‘ทุกท่านโปรดรอสักครู่ ให้ข้าดื่มเหล้าก่อนค่อยตีกันต่อก็ยังไม่สาย’
เสียงฮือฮาดังเซ็งแซ่เหมือนเสียงกระแสน้ำขึ้น ต่อให้เป็นแม่ทัพนายกองที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ก็ยังหันมามองหน้ากันเอง หรือว่าเซียนกระบี่เด็กหนุ่มที่ฟันเกราะทองแหลกสลายด้วยกระบี่เดียวจะสามารถใช้กำลังของคนคนเดียวต่อกรกับคนนับหมื่นได้จริงๆ? ถึงได้มีท่าทางสบายใจเหมือนเดินเล่นอยู่ในสวน ตั้งแต่ต้นจนจบเอาแต่พุ่งกระโจนไปข้างหน้าอย่างเดียว ราวกับมองไม่เห็นกองทัพใหญ่ที่มีทหารนับหมื่นนายอยู่ในสายตา? สงครามที่น่าอัดอั้นตันใจแบบนี้จะสู้กันต่อได้อย่างไร! ถึงอย่างไรก็คงไม่ควรให้พี่น้องเอาชีวิตไปเต็มเติมหลุมที่ไร้ก้นหรอกกระมัง? เงินช่วยเหลือหนึ่งร้อยตำลึงเงินสูงมากก็จริง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสหายร่วมสมรภูมิรบในใต้หล้าแห่งนี้ ใครเล่าจะเต็มใจอยากเห็นคนคุ้นเคยที่มีชีวิตชีวาอยู่ข้างกายกลายมาเป็นเงินทองที่ไร้ชีวิต?
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มอย่างชูอีกับสืออู่ต่างก็สร้างคุณความชอบ ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของผู้ไร้เทียมทานลวงตาให้แก่เฉินผิงอัน
ปราณกระบี่ของเซียนไผ่เขียวที่ฟันเข้าหาซ่งอวี่เซาประหนึ่งกระแสน้ำขึ้นที่ซัดมาเบื้องหน้า แต่กลับถูกชูอีที่บินอย่างกำเริบเสิบสานลอดทะลวงอยู่ในกระแสน้ำอย่างต่อเนื่อง คอยลดทอนกลืนกินพลังของอีกฝ่ายทีละนิดจนไม่มีเหลือ ส่วนผู้ฝึกตนสำนักการทหารแคว้นซูสุ่ยที่สองมือถือขวานยักษ์ก็ถูกสืออู่ที่มีความเร็วจนน่าตะลึงแทงเข้าใส่หว่างคิ้ว ทำเอาชายร่างกำยำตกใจรีบหดท่าจู่โจม เขาไม่คิดจะแลกชีวิตกับซ่งอวี่เซา ดังนั้นจึงจำต้องใช้ขวานคู่สกัดไปรอบกายตัวเองทำให้เกิดเสียงเคร้งๆๆ ดังกังวานเสนาะหู ประกายไฟแลบกระเซ็นจากขวานคู่ไม่หยุด
ซ่งอวี่เซาที่ได้โอกาสเปลี่ยนลมปราณเฮือกใหม่จนเสร็จยื่นมือออกไป กำตั้งตระหง่านที่สาดประกายคมกริบ ตรงเอวห้อยฝักกระบี่ไม้ไผ่ ปณิธานกระบี่ทั่วร่างเพิ่มพูน ชุดสีดำของผู้เฒ่าปลิวไสวทั้งๆ ที่ไร้ลม สามารถปลดปล่อยตัวเองต่อสู้อย่างเต็มที่ ช่างสาแก่ใจยิ่งนัก
หลังจากที่เฉินผิงอันยกมือทำให้ผู้คนงุนงงแล้ว ขณะเดียวกันกับที่แหงนหน้าดื่มเหล้า เขาก็พูดในใจตัวเองไปด้วยว่า “ชูอี สืออู่ โรมรันกับคู่ต่อสู้ของพวกเจ้าต่อไป จะเล่นท่าวาดลวดลายมากหน่อย…ก็ไม่เป็นไร!”
กระบี่บินชูอีเป็นดั่งอันธพาลที่ชอบตามตอแยไม่เลิกราซึ่งหมายตา ‘สาวน้อย’ อย่างเซียนกระบี่ไผ่เขียว ส่วนสืออู่ก็ยิ่งฟาดฟันขวานคู่อาวุธหนักของชายร่างกำยำจนไม่เหลือสภาพเดิม พื้นผิวของขวานเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ทำเอาเจ้าของเสียดายอย่างถึงที่สุด
เซียนกระบี่ไผ่เขียวมีทั้งสายตาและตบะที่สูงกว่าผู้อื่น ระหว่างที่ต้านทานชูอี ปรมาจารย์วิถีกระบี่ที่หมายมาดศีรษะของอริยะกระบี่เฒ่าแคว้นซูสุ่ยก็แผดเสียงเดือดดาลเปิดโปงความลับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร “สองครั้งที่เด็กหนุ่มคนนั้นดื่มเหล้าเป็นเรื่องหลอก ผลัดเปลี่ยนลมปราณต่างหากที่เป็นของจริง!”
ศึกระหว่างปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ เมื่อโอกาสมาแล้วไม่ควรพลาด พลาดไปแล้วก็ไม่มีโอกาสอีก
เฉินผิงอันวางมือลง เอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่รัดไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย กระโดดข้ามขบวนของพลเดินเท้า ส่งยิ้มเจิดจ้าให้กับเซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้น
ซ่งอวี่เซาที่เปลี่ยนลมปราณเฮือกใหม่แล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังเหมือนราดน้ำมันลงบนกองเพลิง “เจ้าทึ่ม!”
หลังจากเสียสมบัติก้นกรุไป ผู้เฒ่าชุดแพรที่ก่อนหน้านี้ใช้ยันต์เชิญมัลละเกราะทองตนหนึ่งออกมาก็ยิ้มขื่น สองนิ้วคีบยันต์สีเขียวออกมาสามแผ่น เพียงแต่ว่ายันต์พวกนี้ไม่ได้เขียนด้วยตัวอักษรสีทอง หนึ่งแผ่นคือตัวอักษรสีเงิน สองแผ่นตัวอักษรสีแดง โยนพวกมันออกไปอีกครั้ง มัลละพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋าอีกสามตนก็ร่วงกระแทกพื้นดังโครม พวกมันยืนเคียงไหล่กันสกัดขวางอยู่ด้านหน้าธงรบผืนใหญ่ของแม่ทัพหลัก มัลละตนหนึ่งสวมเกราะสีเงิน อีกสองตนสวมเกราะสีทองเหลือง
เมื่อซ่งอวี่เซาและเซียนกระบี่เด็กหนุ่มร่วมมือกันบุกสังหารมาถึงธงใหญ่ สองฝ่ายที่เป็นศัตรูกันเริ่มเปลี่ยนสถานะจู่โจมและป้องกันอย่างไร้รูปลักษณ์
หากไม่มีฝ่ายหลัง อันที่จริงซ่งอวี่เซาคงต้องรบตายอยู่ที่นี่ไปแล้ว
ทว่าเมื่อมีคนคนหนึ่งเข้ามาป่วนสถานการณ์ กลับทำให้ซ่งอวี่เซาเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ฉู่หาวตัดสินสภาพการณ์ของการต่อสู้ครั้งนี้ได้อย่างชัดเจน อยู่บนหลังม้ามาครึ่งชีวิต เคยลงสนามรบทั้งเล็กและใหญ่มากว่าสามสิบสนาม ยังไม่เคยพ่ายแพ้ สายตาแค่นี้จึงยังพอมีอยู่บ้าง
ดังนั้นแม่ทัพใหญ่ที่สีหน้าอึมครึมท่านนี้จึงแอบกรอกลมปราณที่แท้จริงใส่เข้าไปในอาวุธหนักสำนักการทหารลักษณะเหมือนก้อนเงินที่อยู่ในมือ เม็ดเสื้อเกราะที่เป็นของล้ำค่าที่สุดในบรรดาสินเจ้าสาวอันอุดมสมบูรณ์ของฮูหยินเขาในปีนั้นทำให้เวลานี้เหมือนมีปรอทสีเงินไหลวนเวียนอยู่ด้านนอกเสื้อเกราะที่ฉู่หาวสวมใส่ เสื้อเกราะหนักของฝ่ายทหารที่เดิมทีเป็นสีดำสนิทกลายมาเป็นเสื้อเกราะวิเศษสีขาวหิมะที่เต็มไปด้วยลวดลายเมฆโบราณ มีชื่อว่าเทพรับน้ำค้าง บนภูเขาเรียกกันว่าเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน
แม้ว่าจะเป็นระดับล่างสุดในบรรดาเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหาร แต่มองไปทั่วหลายสิบแคว้นซึ่งรวมแคว้นซูสุ่ยเป็นหนึ่งในนั้นก็ไม่มีแม่ทัพคนใดที่สามารถครอบครองวัตถุชิ้นนี้ได้ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเพราะในกระเป๋าของพวกเสาหลักแห่งแคว้นที่กุมอำนาจสำคัญไว้ในมือไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะมีราคาแต่ไม่มีวางขาย อย่าว่าแต่มูลค่าของมันที่เท่ากับหนึ่งพันห้าร้อยเงินเกล็ดหิมะเลย ต่อให้ราคาสูงกว่านี้ไปอีกหนึ่งเท่าตัว พวกแม่ทัพฝ่ายบู๊ก็ยินดีทุบหม้อขายเหล็กเอาเงินมาซื้อสักเม็ด เงินเกล็ดหิมะสามพันเหรียญสำหรับบนภูเขาเท่ากับสามแสนตำลึงเงิน แลกมาด้วยยันต์ป้องกันชีวิตที่ดีที่สุด ใครบ้างจะไม่ยอมควักเงินนี้? แค่เพราะหาซื้อไม่ได้ก็เท่านั้น
ผู้ฝึกตนตระกูลเซียนบนภูเขาแทบจะยึดครองเม็ดเสื้อเกราะไว้เองทั้งหมด นอกเหนือจากผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกลมปราณที่ด้านการหล่อหลอมเรือนกายไม่อาจเทียบเคียงกับผู้อื่นได้ก็ยิ่งอยากซื้อเม็ดเสื้อเกราะไว้เป็นยันต์ป้องกันตัว ไหนเลยจะตกมาถึงมือของชาวบู๊ด้านล่างภูเขาได้? หากไม่เรียกว่าย่ำยีวัตถุสวรรค์ให้เสียเปล่าจะเรียกว่าอะไร?
ซ่งอวี่เซาเริ่มออกวิ่ง เมื่อไม่มีอะไรให้ต้องพะวงหลัง หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ก็ยิ่งบุกตะลุยได้อย่างราบรื่น
เพราะมีเฉินผิงอันคอยช่วยระวังหลังให้อยู่
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าวไกลถึงสองจั้งกว่า “กลับมา!”
ชูอีไม่เต็มใจจะปล่อยเซียนกระบี่ไผ่เขียวไป จึงลอยกลับมาอย่างอืดอาด เห็นได้ชัดว่ากำลังกวนโมโหเฉินผิงอัน
แต่กระบี่บินสืออู่กลับพุ่งมาล้อมวนอยู่รอบกายเฉินผิงอันในเสี้ยววินาที ช่วยสกัดกั้นปลายทวนและลูกธนูที่กรูเข้ามาให้เขา
เซียนกระบี่ไผ่เขียวที่ยืนอยู่บนหลังม้าตลอดเวลาถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ชำเลืองตามองฝักกระบี่ไม้ไผ่ตรงเอวของซ่งอวี่เซาอย่างอาลัยอาวรณ์ เซียนกระบี่แคว้นซงซีที่ชื่อเสียงในยุทธภพเหนือกว่าซ่งเฟิ่งซานระดับหนึ่งผู้นี้เอนตัวไปด้านหลัง ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้ง ร่างก็พุ่งออกไปด้านหลังทันที จากนั้นเขาก็พลิกตัวกลางอากาศ เหยียบลงบนหัวของทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังธงใหญ่หัวแล้วหัวเล่า ล่องลอยหนีจากไปไกลทั้งอย่างนี้ หลังถอยห่างจากกองทัพใหญ่ของแคว้นซูสุ่ยได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว เซียนกระบี่หนุ่มก็เก็บไม้ไผ่เขียวท่อนนั้นห้อยไว้ที่เอว แล้วค่อยๆ เดินไปทางเมืองใหญ่ หันหน้ากลับมามองทางธงรบอีกครั้งก็เอ่ยด้วยความเสียดายว่า “หากคิดจะฉวยโอกาสช่วงชิงฝักกระบี่ไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินนั้นมา ก็ไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานแค่ไหน หากครั้งนี้ซ่งอวี่เซารอดชีวิตไปได้ จะอย่างไรก็คงต้องมีชีวิตอยู่อีกยี่สิบสามสิบปีกระมัง?”
พอเซียนกระบี่ไผ่เขียวหนีไป กองทัพใหญ่ของราชสำนักแคว้นซูสุ่ยก็เริ่มระส่ำระส่าย สายตาของฉู่หาวแสดงความกังขา หันหน้าไปมองขบวนพลเดินเท้าจากฐานทัพประจำท้องถิ่นที่ทหารแตกฮือ สภาพดีกว่าระเบิดลงค่ายเล็กน้อย ตามหลักแล้วไม่ควรจะวุ่นวายโกลาหลขนาดนี้ถึงจะถูก แม้ว่าพลังการต่อสู้ของทหารประจำด่านแคว้นซูสุ่ยสี่สายนี้จะเทียบกับทหารสายตรงของตัวเองไม่ได้ แต่พลทหารเท้าสองสายเป็นทหารเก่าแก่ เคยผ่านศึกอยู่ในชายแดนมาแล้วหลายปี ก็ไม่น่าจะไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวขนาดนี้
เมื่อฉู่หาวเห็นว่าแม่ทัพคนหนึ่งที่ประจำการอยู่ในท้องถิ่นไม่เพียงแต่ไม่หยุดยั้งสถานการณ์ย่ำแย่ที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าเละเทะนี้ กลับยังนั่งกอดอกอยู่บนหลังม้าสบายใจเฉิบราวกับเป็นคนที่อยู่นอกสถานการณ์ สีหน้าของฉู่หาวก็พลันเขียวคล้ำ กัดฟันกรอดๆ ด้วยความโมโห ใจอยากจะควบม้าตะบึงไปโบกดาบฟาดฟันอีกฝ่ายให้เละเป็นโจ๊กยิ่งนัก
แต่แล้วฉู่หาวก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง กระดกก้นขึ้น ทอดสายตามองไปไกล ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ขบวนเดินเท้าซึ่งส่วนใหญ่แล้วปักหลักไม่ขยับกลับกลายมาเป็นฝ่ายที่สกัดกั้นการช่วยเหลือจากทหารม้าสายตรงสกุลฉู่ กั้นขวางตนที่อยู่ใต้ธงผืนใหญ่และผู้ติดตามคนสนิทหลายสิบคนให้แยกห่างจากทหารม้าสามพันนาย
ซ่งอวี่เซาคนเดียวรับมือกับชายกำยำถือขวานและมัลละที่ผู้เฒ่าชุดแพรเชิญมาจากแผ่นยันต์ก็ยังมีพลังเหลือเฟือ จึงคอยสังเกตทุกการกระทำของฉู่หาวอยู่ตลอดเวลา
เฉินผิงอันเริ่มค้นพบว่าสถานการณ์พัฒนาไปอย่างแปลกประหลาด การจู่โจมที่ดุดันรุนแรงของขบวนเดินเท้าค่อยๆ ลดความเร็วลง นอกจากยอดฝีมือในยุทธภพที่ล้อมกันเข้ามาโจมตีตน ลูกธนูและทวนจากกองทัพยิ่งลดน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายทหารเหล่านั้นก็เปลี่ยนมาเป็นคล้ายดูไฟชายฝั่ง เหมือนกำลังชมงิ้วอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งยังมีขุนพลฝ่ายบู๊ที่ลักษณะเหมือนแม่ทัพนายกองควบม้าผ่านช่องว่างระหว่างขบวนเดินเท้า คอยกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับทหารใต้บัญชาการณ์ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งกระบี่ของซ่งอวี่เซาตัดมัลละร่างทองเหลืองตนหนึ่งขาดครึ่งท่อน ยันต์ที่กลับคืนสู่สภาพเดิมระเบิดเป็นผุยผงอยู่กลางอากาศ แล้วอีกกระบี่หนึ่งก็ตวัดผ่านขวานยักษ์สองเล่ม สะเก็ดไฟยาวเส้นหนึ่งเหยียดระเบิดตัวแล้วสาดกระจายไปสี่ด้านแปดทิศ สะเก็ดไฟร้อนลวกที่เป็นเศษชิ้นส่วนของขวานไปตกกระทบลงบนเสื้อเกราะของทหารที่อยู่ห่างไปไกล สองฝ่ายโจมตีกันเกิดเป็นเสียงโลหะกระทบเบาๆ นี่แสดงให้เห็นว่าตบะของบุคคลอันดับหนึ่งบนวิถีวรยุทธ์ของแคว้นซูสุ่ยผู้นั้นน่าครั่นคร้ามมากเพียงใด
หลังจากหนึ่งกระบี่บีบให้ผู้ฝึกตนของสำนักการทหารที่รับใช้ราชสำนักแคว้นซูสุ่ยผู้นั้นถอยไปได้ ซ่งอวี่เซาก็ชี้ปลายกระบี่ไปที่ฉู่หาว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าผู้อาวุโสเดินทางไกลมาต้อนรับในครั้งนี้จะขอเชิญแค่แม่ทัพใหญ่ฉู่หาวไปเป็นแขกที่หมู่บ้านคนเดียวเท่านั้น คนอื่นๆ ที่เหลือ หากเต็มใจตายก็จงสู้จนตัวตาย อยู่ภายใต้ตั้งตระหง่าน เป็นตายต้องรับผิดชอบเอง!”
ทันใดนั้นภายใต้ธงรบผืนใหญ่ที่โบกสะบัดก็เกิดเสียงดังกัมปนาท
—–