ตอนที่ 248.1 จากลากันตรงนี้ ภูเขาสูงน้ำไหลยาว

โจวจวี่นักปราชญ์ของสำนักศึกษาเดินออกจากห้องโถงใหญ่ของหมู่บ้าน อริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยเดินเข้ามาในโถง หนึ่งไปหนึ่งมานี้พอจะชดเชยพลังอำนาจที่ดิ่งลงเหวของหมู่บ้านได้บ้างเล็กน้อย ถึงอย่างไรสำนักศึกษาก็อยู่ไกลสุดขอบฟ้า นักปราชญ์คนหนึ่งจากไปแล้วก็คือจากไป แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาไม่ได้ซักไซ้เอาความผิดจากหมู่บ้านวารีกระบี่ นี่จึงหมายความว่ากิจการร้อยปีของหมู่บ้านยังคงอยู่ ไม่ได้รับความเสียหาย อีกอย่างขอแค่ซ่งอวี่เซายังอยู่ในยุทธภพแคว้นซูสุ่ย ต่อให้เขาไม่ออกกระบี่ ไม่อยู่ในหมู่บ้าน ขอแค่ยังออกไปหาประสบการณ์อยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของยุทธภพสิบกว่าแคว้นนี้ ถ้าเช่นนั้นซ่งเฟิ่งซานก็ยังจะนั่งอยู่บนตำแหน่งผู้นำยุทธภพได้อย่างมั่นคง

แต่ว่าวินาทีนี้ ซ่งอวี่เซาพลันหันกลับไปมองด้านหลัง แล้วก้าวเร็วๆ ออกไปหลายก้าว บังเฉินผิงอันไว้ด้านหลังตัวเองคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่มีเจตนา จากนั้นค่อยก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูออกไป จัดระเบียบเสื้อผ้า ผู้เฒ่าค้อมตัวลง กุมมือคารวะให้กับความว่างเปล่าตรงจุดที่โจวจวี่เดินอยู่

จนกระทั่งเวลานี้ ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงถึงได้ค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่า บนอากาศสูงนอกประตูใหญ่เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อม ก่อนที่ผู้เฒ่าสวมชุดสีเขียวของลัทธิขงจื๊อสูงสามจั้งคนหนึ่งจะเผยตัวออกมา เรือนกายของเขาล่องลอย แผ่กลิ่นอายของเซียนเต็มเปี่ยม

อริยะเยื้องกรายมาถึงหมู่บ้านด้วยตัวเอง

เปล่งรัศมียิ่งใหญ่น่าเลื่อมใส ลุ่มลึกเกินจะหยั่ง

ก่อนหน้าที่ซ่งอวี่เซาจะจับความความลี้ลับนี้ได้ โจวจวี่ก็รีบถอนสายตากลับมาจากเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ สะบัดชายแขนเสื้อคลายตราผนึกที่ร่ายใส่แผ่นหยกปลอดภัยของสำนักศึกษาชิ้นนั้น เมื่อเส้นไหมถูกสาวออกจึงเผยให้เห็นหยกประดับที่สลักตัวอักษรสองตัวว่า ‘ระงับโทสะ’ เขาเอามันมาผูกตรงเอวอย่างไม่ให้กระโตกระตาก ขณะที่ซ่งอวี่เซาคารวะตามพิธีใหญ่ของยุทธภพ เขาก็ค้อมหัวประสานมือคารวะแทบจะเวลาเดียวกัน “ศิษย์คารวะท่านอาจารย์”

ผู้เฒ่าหลุบตาลงต่ำมองโจวจวี่ลูกศิษย์ของตนประหนึ่งเทวรูปสูงใหญ่ที่ทางราชสำนักตั้งบูชาไว้ในศาล เอ่ยเนิบช้าด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “เรื่องที่หานหยวนซ่านลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อแห่งแคว้นซูสุ่ยฝึกวิชามาร ข้าจะมอบให้คนอื่นจัดการ เจ้าจงกลับไปที่สำนักศึกษาในทันที”

โจวจวี่ถอนหายใจหนึ่งที ยืดเอวขึ้นตรงแล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “อาจารย์ ปรึกษากันก่อนไม่ได้หรือ?”

อริยะสำนักศึกษาตอบชัดเจน “ไม่ได้”

โจวจวี่หน้าม่อย “กลุ้มจริง”

อริยะมองไปทางผู้ฝึกกระบี่เฒ่าแคว้นซูสุ่ยที่ยืนอยู่ตรงธรณีประตู หลังจากคำนับกลับคืนอีกฝ่ายแล้วก็เอาสองมือไพล่หลัง เอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ ว่า “หัวหน้าหมู่บ้านซ่งใกล้จะได้ฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย ได้ยินมาว่าทุกครั้งที่หัวหน้าหมู่บ้านซ่งออกเดินทางไปหาประสบการณ์ในยุทธภพจะต้องจุดธูปกราบไหว้ศาลบุ๋นของสถานที่ทุกแห่ง แสดงให้เห็นถึงความจริงใจ หากมีเวลาว่าง หลังจากที่หัวหน้าหมู่บ้านซ่งฝ่าขอบเขตแล้วก็สามารถไปฝึกตนที่สำนักศึกษาของพวกเราสักระยะหนึ่ง เพื่อสร้างขอบเขตร่างทองให้มั่นคงขึ้นได้”

ซ่งอวี่เซาที่ยังคงค้างอยู่ในท่ากุมหมัดนั้นยิ่งรู้สึกเลื่อมใสอีกฝ่าย “ขอขอบคุณในความเมตตาของท่านอริยะมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย”

แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษากวานหูผู้นี้ใช้วิชาอภินิหารที่ยิ่งใหญ่ชนิดใดของลัทธิขงจื๊อถึงสามารถออกจากสำนักศึกษามาเยือนแคว้นซูสุ่ยได้เร็วขนาดนี้ ระยะทางยาวไกลหลายพันหลายหมื่นลี้ แต่กลับเหมือนไม่กี่ก้าวของอริยะแห่งสำนักศึกษาเท่านั้น

อริยะลัทธิขงจื๊อที่รับผิดชอบนั่งบัญชาการณ์สำนักศึกษากวานหูท่านนี้คลี่ยิ้ม เพราะเวลานี้เรือนกายสูงใหญ่ของเขาลอยอยู่กลางอากาศ จึงมองเห็นคนในยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยที่นั่งอยู่ด้านในของธรณีประตูแทบทุกคน ผู้เฒ่าที่สง่างามสูงศักดิ์มองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ด้านหลังซ่งอวี่เซาด้วยสายตาล้ำลึก ในดวงตาที่ฉายแววซับซ้อนเกินจะหยั่งถึงมีประกายแสงเปล่งวาบหนึ่งที ราวกับว่าทั้งรู้สึกชื่นชมอีกฝ่าย แต่ก็ทั้งเสียดาย และยังมีการหวนนึกถึงเรื่องในอดีตอีกหลายส่วน สุดท้ายผู้เฒ่าไม่ได้เอ่ยอะไร เขาดึงสายตากลับมา หันไปเอ่ยเตือนโจวจวี่อีกครั้งว่า “ห้ามจงใจเดินทางล่าช้า รีบกลับไปที่สำนักศึกษาโดยเร็ว มีภารกิจสำคัญอย่างอื่นรอเจ้าอยู่”

ดวงตาโจวจวี่เป็นประกายจ้า “เรื่องทางทิศเหนือหรือ?”

สำหรับคำพูดเปิดเผยความลับสวรรค์ที่ลูกศิษย์คนสุดท้ายหลุดปากพูดโดยไม่ได้ตั้งใจ อริยะลัทธิขงจื๊อแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาไม่ต้องการจะพูดมากต่อหน้าคนนอกสำนักศึกษา เพียงหันไปยิ้มบางๆ เอ่ยกับจอมยุทธ์ที่นั่งกันอยู่เต็มห้องโถงว่า “มหามรรคามีเส้นทางแตกต่างแต่มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ฝึกวรยุทธ์ก็สำคัญที่การฝึกอบรมจิตใจเช่นกัน เมื่อมองความมหัศจรรย์แห่งวิถีสวรรค์ได้อย่างทะลุปรุโปร่งก็จะสามารถย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงรากฐานแห่งวิถีวรยุทธ์ หวังว่าทุกท่านจะไม่ลืมจิตแห่งคุณธรรม สำนักศึกษากวานหูของข้ายินดีเปิดประตูกว้างให้สำหรับทุกท่าน ใช้ย้อนมองตนเพื่อบรรลุมรรคา พยายามเปิดปัญญาให้ได้มากที่สุด”

คำแนะนำจากอริยะเป็นดั่งลมฤดูใบไม้ผลิที่แปรเปลี่ยนเป็นสายฝน เมื่อไม่ได้แจกแจงอย่างละเอียดก็ยิ่งทำให้คนเกิดความรู้สึกมหัศจรรย์จนไม่อาจบรรยายได้

ทุกคนในห้องโถงใหญ่รู้สึกศรัทธาจากใจจริง นี่ต่างหากถึงจะเป็นสายลมพัดสูงแห่งสำนักศึกษา คือมาดของอริยะที่แท้จริง ดังนั้นเหล่าผู้กล้าจากสองสายขาวดำของแคว้นซูสุ่ยที่ลุกขึ้นยืนนานแล้วต่างก็ประสานมือคารวะอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย เมื่อเทียบกับความประหวั่นพรั่นพรึงต่อสถานะของโจวจวี่ก่อนหน้านี้ การคารวะในคราวนี้กลับมีความชื่นชมและเลื่อมใสศรัทธาด้วยความจริงใจมากกว่า

เรือนกายของเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาสลายหายไปกลางอากาศ จากนั้นก็ตามมาด้วยริ้วแสงสีทองที่กระเพื่อมเป็นระลอก

ก่อนจะจากไปอริยะใช้วิชาอภินิหารเนตรทิพย์มองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่อีกครั้งด้วยความรู้สึกสะทกสะท้อนใจ ฉีจิ้งชุนแห่งซานหยาเลือกเด็กหนุ่มต้าหลีที่เพิ่งจะยืนเหยียบอยู่บนธรณีประตูของวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่คนนี้เป็นผู้ปกป้องมรรคาของเหล่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาจริงๆ

เรื่องนี้นอกจากคนไม่กี่หยิบมือของสำนักศึกษากวานหูแล้ว ก็ไม่มีใครรู้เรื่องอีก ส่วนอริยะท่านนี้ก็เพราะได้เห็นมากับตาตัวเองถึงได้ไล่สืบมาตามเบาะแสแล้วอนุมานเป็นภาพเหตุการณ์ในระยะไกล

ขณะเดียวกันอริยะก็ใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนโจวจวี่ “จวี้หรัน ไม่ว่าเจ้าเห็นอะไรจากตัวของเด็กหนุ่ม ก็ห้ามทำอะไรวู่วามเด็ดขาด จำไว้ว่าต้องระวังทั้งคำพูดและการกระทำ!”

โจวจวี่ตอบกลับกลั้วหัวเราะด้วยเสียงหัวใจ “อาจารย์ เรียนรู้ข้อดีจากผู้มีคุณธรรมและมีความสามารถ หลักการเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ศิษย์จะไม่รู้ได้อย่างไร?”

อริยะจากไปแล้ว โจวจวี่ค้นพบว่าหยกประดับตรงเอวตัวเองหายไปด้วย ที่แท้อาจารย์ของตนก็เป็นคนเอาไป

โจวจวี่ไม่ได้หันกลับไปมองห้องโถงใหญ่อีก เพียงแค่ทอดถอนใจไม่หยุด

จนกระทั่งเขาเดินออกจากประตูใหญ่ของหมู่บ้านวารีกระบี่แล้วถึงได้หันกลับไปมองพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่เลยทีเดียว”

แม้ว่าตอนนี้เขาโจวจวี่ หรือเรียกอีกชื่อว่าโจวจวี้หรันจะเป็นเพียงแค่นักปราชญ์ของสำนักศึกษากวานหู แต่ต่อให้เป็นวิญญูชนใหญ่แห่งแจกันสมบัติทวีปอย่างชุยหมิงหวงก็ยังไม่กล้าดูถูกโจวจวี่แม้แต่นิดเดียว ไม่เพียงแต่ตบะของโจวจวี่ในลัทธิขงจื๊อที่ไม่อาจดูถูกได้ แล้วก็ไม่ใช่แค่เพราะประสบการณ์ที่นักปราชญ์เลื่อนเป็นวิญญูชน แล้วก็เปลี่ยนจากวิญญูชนกลับไปเป็นนักปราชญ์อีกครั้ง แต่เป็นเพราะโจวจวี่สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์บางอย่างที่อริยะผู้เป็นอาจารย์ของเขามองไม่เห็น สำหรับพรสวรรค์อันเลิศล้ำข้อนี้ ขนาดอริยะของสถานศึกษาก็ยังเคยสั่งความเจ้าขุนเขาสำนักศึกษากวานหูด้วยตัวเองว่า จะต้องปกป้องโจวจวี่อย่างระมัดระวัง ห้ามให้โจวจวี่เดินทางผิดเด็ดขาด

คนบนโลกในสายตาโจวจวี่สมกับคำว่า ‘มนุษย์มีนับร้อยรูปแบบ’ อย่างแท้จริง ทุกคนที่ฝึกบำเพ็ญตน โดยเฉพาะลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อที่จะนำกลิ่นอายแห่งจิตวิญญาณอันเป็นรูปธรรมซึ่งแฝงความหมายพิเศษบางอย่างมาจำแลงกลายเป็นภาพที่มหัศจรรย์ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นภาพของคนจิ๋วที่ใหญ่เท่าเมล็ดข้าวสาร หรือไม่ก็เท่าเล็บมือซึ่งจะอยู่บนร่าง หรือไม่ก็ในช่องโพรงลมปราณของคนที่อยู่เบื้องหน้าโจวจวี่

ยกตัวอย่างเช่นนักปราชญ์ของสำนักศึกษาคนหนึ่งที่มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา แต่คนจิ๋วของเขากลับเป็นคนหลังงอขาเป๋ เหมือนแบกภูเขาลูกใหญ่เอาไว้ เหงื่อหยดเต็มร่องสันหลัง

อาจารย์ท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านความคร่ำครึ อบรมสั่งสอนลูกศิษย์อย่างเข้มงวด บริเวณใกล้ศีรษะกลับมีนางฟ้าสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสบินวนเวียนคอยอาศัยอยู่ใกล้ๆ ไม่จากไปไหน

ลูกศิษย์สำนักศึกษาคนหนึ่งที่แผ่กลิ่นอายแห่งความตาย ท่าทางเซื่องซึมไม่กระฉับกระเฉง ในหัวใจกลับมีคนจิ๋วที่เป็นมือกระบี่เคราดกคนหนึ่งเดินท่องเที่ยวอยู่ตามช่องโพรงลมปราณ

นักปราชญ์คนหนึ่งที่โจวจวี่เคยอัดเสียน่วม ปากเขาพร่ำพูดแต่คุณธรรมน้ำใจ เวลาอยู่ในสำนักศึกษามีชื่อเสียงด้านความเป็นระเบียบระมัดระวัง มีฝีมือเลิศล้ำในการประพันธ์ผลงาน แต่โจวจวี่กลับเห็นว่าระหว่างหน้าหนังสือของนักปราชญ์ผู้นั้นเต็มไปด้วยผีเสื้อและผึ้งบินล้อมวน แผ่กลิ่นอายของความงดงามจอมปลอม และเขายังมีกระบี่บินแหลมคมที่อาบไปด้วยน้ำผึ้งอีกเล่มหนึ่งบินว่อนไปทั่ว

โจวจวี่เกลียดคนแบบนี้ที่สุด เพียงแต่เพราะเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์จึงอดทนแล้วอดทนอีก จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง หลังจากสำนักศึกษาซานหยาถูกถอดยศจากหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา เล่าลือกันว่าฉีจิ้งชุนร่างสลายมรรคามอดดับ อีกทั้งสำนักศึกษาซานหยายังต้องย้ายจากต้าหลีไปอยู่ต้าสุย สำนักตกต่ำ คนในสำนักโหรงเหรง ควันธูปของสายบุ๋นสายนั้นแทบจะถูกตัดขาด นักปราชญ์ผู้นี้ถึงได้เผยสันดานเดิมออกมา เขาโจมตีความรู้ของฉีจิ้งชุนที่เคยเผยแพร่ตอนยังมีชีวิตอยู่อย่างกำเริบเสิบสาน ใช้มันเป็นวิธีในการเพิ่มชื่อเสียงให้กับตัวเอง หวังว่าจะใช้โอกาสนี้มาทำให้พวกอาจารย์ผู้เฒ่าบางคนพึงพอใจ แล้วตัวเองก็เลื่อนขั้นเป็นวิญญูชนได้สำเร็จ ทัศนคติที่โจวจวี่มีต่อสายบุ๋นที่เป็นศัตรูสายนั้นไม่อาจพูดได้ว่าดีหรือร้าย แต่สำหรับนักปราชญ์ที่ปากหวานก้นเปรี้ยวคนนี้ ประเด็นสำคัญคือคนผู้นี้ยังอาศัยบทความของอาจารย์เขาไปโจมตีสำนักศึกษาซานหยา เป็นการกระทำที่ทำให้เขารังเกียจอย่างแท้จริง สุดท้ายโจวจวี่จึงลงมือทำร้ายคน ซ้อมเสียจนไอ้หมอนั่นไม่มีหน้าออกจากสำนักนานถึงครึ่งปี

ส่วนชุยหมิงหวงคือแผนที่บ้านเมืองแห่งหนึ่งที่มีพื้นที่กว้างขวางมาก แต่กลับมีควันดินปืนผุดขึ้นสี่ทิศ แตกกระจัดกระจายเป็นเสี่ยงๆ ในจิตใจของคนผู้นี้ไม่มีคนจิ๋วเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารอยู่แม้แต่คนเดียว

ส่วนวิญญูชนใหญ่ผู้ครองอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป ผู้ซึ่งสง่างามและมีความรู้ มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปผู้นั้น รูปลักษณ์ที่แท้จริงกลับเป็นชาวนาผู้เฒ่าท่าทางซื่อสัตย์ที่ขยันทำนา คอยเฝ้าอยู่ที่ไร่นาเสมอ

โจวจวี่มีวิชาอภินิหารที่ไม่เคยได้รับการสืบทอดนี้มาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งหากได้เห็นแล้วจะไม่มีทางลืม ความคิดผุดพุ่งดุจน้ำพุ ตอนอายุเก้าขวบก็เข้ามาอยู่ในสำนักศึกษาอย่างลับๆ ติดตามอาจารย์เรียนวิชาความรู้ของอริยะ อายุสิบสี่ปีได้เป็นนักปราชญ์ หลังจากนั้นก็ยังคงอยู่ในหอพักแห่งหนึ่งที่อาจารย์สร้างขึ้นเอง เก็บตัวอยู่อย่างสันโดษ ตลอดทั้งปีคบค้าสมาคมอยู่แค่กับพวกศิษย์พี่ชายหญิง หลังจากอายุยี่สิบได้เลื่อนขั้นเป็นวิญญูชน ผ่านการทดสอบจากภาชนะที่ใช้ในพิธีกรรมชิ้นหนึ่งของศาลบุ๋น เพียงไม่นานโจวจวี่ก็ถูกค้นพบว่ามีร่องรอยของ ‘ผู้เที่ยงตรง’ มีความหวังว่าจะไล่ตามวิญญูชนใหญ่สองท่านของแจกันสมบัติทวีปได้

โจวจวี่ที่เดินอยู่บนถนนใหญ่ของหมู่บ้านวารีกระบี่ซึ่งมุ่งหน้าไปยังเมืองเล็กถอนหายใจ “รู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้นิดๆ แหะ”

เดินอยู่บนถนนว่างเปล่าที่กว้างขวาง เรือนกายหนึ่งโผล่จากความว่างเปล่ามาปรากฎอยู่ข้างกายนักปราชญ์โจวจวี่ แล้วเอ่ยถามเบาๆ ว่า “จวี้หรัน เจ้าเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดอะไร?”

โจวจวี่ตอบยิ้มๆ “อาจารย์คนดีของข้า ท่านอย่าทำให้ศิษย์ตกใจแบบนี้จะได้ไหม? หากท่านทำให้ต้นกล้าที่ดีอย่างข้าตกใจจนโง่ไป อาจารย์คงต้องเสียน้ำตาแน่ๆ”

เรือนกายล่องลอยของเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาเดินเคียงไหล่ไปกับโจวจวี่

โจวจวี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อาจารย์ ครั้งนี้ข้าไม่บอกท่านหรอก จะปล่อยให้ท่านอยากรู้นี่แหละ”

ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ก็ดีเหมือนกัน เจ้าก็รอกลับไปโดนโบยที่สำนักศึกษาเถอะ”

อริยะถึงได้จากไปอย่างแท้จริง

โจวจวี่เดินอยู่บนทางต่างบ้านต่างเมืองเพียงลำพัง จุ๊ปากพลางโคลงศีรษะ

มีจิตแห่งบุ๋นร่างทองดวงหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าคนอื่นมอบให้ แต่กลับเชื่อมประสานกับจิตวิญญาณของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี ไม่มีการต่อต้านกันแม้แต่น้อย เป็นเหตุให้เด็กหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่งมีกลิ่นอายของลัทธิขงจื๊อ มีภาพปรากฎการณ์ของวิญญูชนผู้เที่ยงตรงปรากฏขึ้นเสี้ยวหนึ่ง

ระหว่างที่เด็กหนุ่มก้าวเดิน ชายแขนเสื้อสองข้างมีลมเย็น บนไหล่ทั้งสองคล้ายแบกดอกทานตะวัน บุปผาเบ่งบานวิหคบินล้อมวนก็ยิ่งเป็นภาพที่งดงามน่าประทับใจ

มีคนจิ๋วคนหนึ่งกำลังนั่งเรอหลังจากดื่มเหล้า แกว่งน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด มีคนจิ๋วสวมรองเท้าสานที่ฝึกยืนนิ่งอยู่ริมน้ำ เดินนิ่งข้ามขุนเขา…

มีคนจิ๋วคนหนึ่งที่พลิกเปิดหน้าตำรา ตรงมวยผมปักปิ่น กำลังก้มหน้าอ่านตำรา บทความที่อ่านคล้ายจะเข้าใจยากไปเสียทุกบทตอน ถึงได้ขมวดคิ้วแน่น เกาหัวอย่างกลัดกลุ้ม

และยังมีคนจิ๋วที่กำลังนั่งขัดสมาธินับเงิน หน้าบานเป็นกระด้ง บางครั้งหยิบเหรียญขึ้นมากัด หรือไม่ก็ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดเหรียญเงิน

คนจิ๋วอีกคนหนึ่งเต็มไปด้วยรัศมีแห่งอัญมณีของมีค่า กำลังวิ่งวุ่นไปสี่ทิศ ส่งของชิ้นหนึ่งอยู่ตรงนี้ สองมือประคองมอบของชิ้นหนึ่งอยู่ตรงนั้น คล้ายกำลังมอบของที่ตัวเองรักให้กับคนอื่นไม่หยุด…

ทั้งๆ ที่มีความคิดอันน่าอัศจรรย์ใจมากมายขนาดนั้น แถมแต่ละความยึดมั่นถือมั่นยังหยั่งรากลึก แต่กลับยังมีจิตใจที่ใสกระจ่าง ใต้หล้านี้มีเด็กหนุ่มที่ประหลาดขนาดนี้ได้อย่างไร?

โจวจวี่หุบยิ้ม ถอนหายใจหนึ่งที ปากเขาพูดว่าต้องเรียนรู้จากคนมีความสามารถ แต่เขากลับไม่อยากเป็นเหมือนเด็กหนุ่มคนนั้นเลยสักนิดเดียว เพราะเป็นคนแบบนั้นน่าจะต้องเหนื่อยมาก

แต่หากสามารถได้เป็นเพื่อนสนิทกับคนแบบนี้น่าจะดีมาก

โจวจวี่นึกถึงเรื่องหนึ่ง แล้วพลันกระโดดขึ้นสูงทะยานเข้าสู่ชั้นเมฆ บังคับลมเดินทางไกล ใต้ฝ่าเท้าก็คือแผ่นดินของแคว้นซูสุ่ย ระหว่างก้อนเมฆพอจะมองเห็นเทือกเขาสูงต่ำได้อย่างเลือนราง โจวจวี่เอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “ครั้งนี้ได้พบเทียนจวินลัทธิเต๋าของอุตรกุรุทวีป หรือว่าข้าควรฟังคำแนะนำของคนผู้นั้น เลือกพื้นที่มงคลขนาดใหญ่หน่อย ใช้สถานะของเจ๋อเซียน (เดิมหมายถึงเซียนที่ถูกลดขั้นมาเป็นมนุษย์ ภายหลังหมายถึงคนของลัทธิเต๋าที่สูงส่ง หลุดพ้นทางโลก) ลงไปหาประสบการณ์ในสถานที่ถัดไป? หาไม่แล้วด้วยขอบเขตของข้าตอนนี้ที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ยังไม่ขยับมานานหลายปี นั่งยองในห้องส้วมแล้วยังขี้ไม่ออกอยู่แบบนี้ คงไม่มีความเคลื่อนไหวสักนิดเลยจริงๆ”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset