จอมยุทธ์ในยุทธภพคนนี้เคยโชคดีได้เห็นการลงมือของมือกระบี่คนหนึ่งมากับตาตัวเอง แม้จะอยู่ห่างไกลมากก็ตาม ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นอายุแค่ยี่สิบปี ทว่าหลังจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตพุ่งออกจากช่องโพรงกระบี่แล้ว นั่นก็เรียกได้ว่าปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง พุ่งผ่านที่ใดก็ราบพนาสูร เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือในยุทธภพที่มีชื่อเสียงหลายคน ปรมาจารย์กระบี่แห่งยุทธภพที่ปราณกระบี่แผ่ประกายเจิดจ้าอะไร ปรมาจารย์วิชาหมัดที่หลอมเรือนกายจนแข็งแกร่ง ฟันแทงไม่เข้าอะไร สวบๆๆ ฟั่บๆๆ ล้วนถูกเซียนกระบี่บนภูเขาท่านนั้นผ่าศีรษะจนเป็นรูทั้งหมด
ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปยังพูดได้ง่าย เพราะถึงอย่างไรเมธีร้อยสำนัก สามลัทธิเก้าสาขาก็ไม่ใช่เซียนซือบนภูเขาที่เชี่ยวชาญด้านการจู่โจมไปซะทุกคน แต่เมื่อต้องงัดข้อกับผู้ฝึกกระบี่บนภูเขา โดยเฉพาะกับเซียนกระบี่ที่เลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต นั่นก็แสดงว่าเทพอายุยืนกินสารหนู เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ
ตลอดทางราบรื่น ซื้อแผ่นแป้งแห้งหลายจินมาจากลูกจ้างในห้องอาหารที่เต็มแน่นไปด้วยผู้คน จ่ายเงินแล้วก็กลับมาที่ห้องตัวเอง พอปิดประตูเรียบร้อยก็เปิดประตูระเบียง ยืนแทะแผ่นแป้งตรงระเบียง มือหนึ่งถือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ดื่มเหล้า ตรงราวรั้วเรือชั้นหนึ่งยังคงมีคนบางตามานั่งตกปลา แต่เฉินผิงอันที่เคี้ยวอาหารช้าๆ จิบเหล้าคำเล็กๆ มองได้สองเค่อก็เห็นว่าพวกเขาตกได้แค่ปลาธรรมดาทั่วไป แม้แต่ตัวเงินวัยเยาว์สักตัวก็ตกไม่ได้
เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา มีครั้งหนึ่งตอนอยู่บนยอดภูเขาลูกใหญ่ เด็กหนุ่มชุยฉานที่เบื่อหน่ายเพราะไม่มีอะไรทำจึงมาฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งพร้อมกับเฉินผิงอัน เขาบอกว่าบนโลกมีพื้นที่มงคลระดับสูงอยู่แห่งหนึ่งที่พิเศษอย่างมาก มันอยู่ติดกับถ้ำสวรรค์แห่งหนึ่ง ทั้งสองสถานที่นี้ต่างก็มีความแตกต่างไปจากถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลแห่งอื่นๆ สำนักโองการเทพแคว้นหนันเจี้ยนของแจกันสมบัติทวีปได้ยึดครองพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งไว้เพียงลำพัง มีชื่อว่าพื้นที่มงคลชิงถาน พื้นที่มงคลค่อนข้างคล้ายคลึงกับรัฐใต้อาณัติ เพียงแต่ว่ามีอาณาบริเวณกว้างขวางกว่า มีระบบปกครองเป็นของตัวเอง กฎเกณฑ์ของวิถีสวรรค์ที่ซุกซ่อนอยู่ก็มีใหญ่เล็กและสูงต่ำไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่มักจะมีผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรมากพอให้สำนักใหญ่และตระกูลเซียนนำไปใช้ รูปแบบการสร้างแน่นอนว่ายิ่งเป็นสำนักที่ใหญ่เท่าไหร่ ภูเขาก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น ยกตัวอย่างถ้ำสวรรค์หลีจูที่เป็นหนึ่งในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กสามสิบหกแห่งของใต้หล้าไพศาล ตอนนั้นหยกคู่ของต้าหลีที่สามารถใช้พลังต้านทานคลื่นมรสุมที่ถาโถม ต่อโชคชะตาแคว้นให้กับสุกลซ่งก็เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูทั้งคู่ หลังจากนั้นก็กลายเป็นบุคคลผู้โดดเด่นของต้าหลีดุจหอเก๋งใกล้น้ำที่ได้เห็นดวงจันทร์ก่อน (เปรียบเปรยว่าการที่เราไปอยู่ในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย เราจะได้ประโยชน์ก่อนคนอื่นๆ)
เฉินผิงอันเดินทางไกลสองครั้ง ต่อให้จะยังไม่เคยเดินออกไปจากแจกันสมบัติทวีป แต่อันที่จริงเขาก็เข้าใจคำว่าฟ้าดินกว้างใหญ่แล้ว และการที่หยางเหล่าโถวเคยพูดว่าเมืองเล็กกว้างใหญ่จนไม่อาจจินตนาการได้ถึง เฉินผิงอันก็พอจะเข้าใจได้บ้างแล้วเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าการเดินทางลงใต้ครั้งนี้ เฉินผิงอันพลาดสถานที่ต่างๆ ไปมากมาย สถานที่บางแห่งไปไม่ทันเพราะต้องอ้อมไปไกลมาก ยกตัวอย่างเช่นเกาะชิงเสียทะเลสาบเจี่ยนซูที่กู้ช่านกับแม่ของเขาไปอยู่ เฉินผิงอันหวังว่าพวกเขาสองแม่ลูกจะมีชีวิตที่ดี อย่าได้ถูกคนรังแก แต่ก็ยิ่งหวังว่าหลังจากกู้ช่านได้เป็นผู้ฝึกลมปราณแล้วจะไม่หันไปรังแกคนอื่น สุดท้ายกลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาอย่างฝูหนันหัวนายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่าผู้นั้น
ส่วนสถานที่บางอย่างก็ยังไม่เหมาะที่จะไปเยือน ยกตัวอย่างเช่นภูเขาตะวันเที่ยงที่วานรย้ายขุนเขาตัวนั้นอยู่ นครลมเย็นที่ตระกูลซวี่เฝ้าบัญชาการณ์ เขาเจินอู่ที่หม่าขู่เสวียนอยู่
ไปแล้วก็อธิบายเหตุผลได้ไม่ชัดเจน หมัดไม่แข็งแกร่งพอ ไม่ได้อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ไม่มีพันธนาการกฎเกณฑ์จากอาจารย์ฉีและช่างหร่วนก็มีแต่จะถูกคนเหยียบตายเท่านั้น การตระหนักรู้ตนเองเพียงเล็กน้อยแค่นี้ เฉินผิงอันยังพอมีอยู่บ้าง
เฉินผิงอันดื่มเหล้า เขารู้มาจากที่ห้องอาหารว่าพรุ่งนี้เรือจะจอดที่ท่าเรือเกาอวี๋ สามารถลงจากเรือไปชมทิวทัศน์ได้ บริเวณใกล้เคียงกับท่าเรือมีจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่าบ่อไท่เย่ ช่วงเวลานี้ดอกไม้ภูเขากำลังบานสะพรั่งพอดี ขอแค่เดินออกไปจากท่าเรือ เดินไปใกล้กับภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงจะได้ยินเสียงนกร้องและได้กลิ่นดอกไม้หอมไปตลอดทาง หากโชคดีก็อาจจะจับภูตดอกไม้ที่มีชื่อว่า ‘เซียงฉ่าวเหนียง’ มาได้ ภูตประเภทนี้มีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ จะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ อยู่ตลอดเวลา เหมาะให้นำมาทำเป็นถุงหอมที่มีชีวิตที่สุด ผู้ฝึกลมปราณหญิงและสตรีแต่งงานแล้วของตระกูลสูงศักดิ์ต่างก็ชื่นชอบกันมาก
เฉินผิงอันรู้สึกว่าออกไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ข้างนอกก็ดีเหมือนกัน ปิดประตูหนึ่งเดือนเต็มไม่เคยได้ออกไปไหน เขาก็รู้สึกเหมือนตัวใกล้จะขึ้นราเต็มทีแล้ว
หลังตัดสินใจได้แล้ว เฉินผิงอันก็เดินกลับมาจากระเบียง ปิดประตูแล้วเริ่มฝึกหมัดเดินนิ่งอีกครั้ง
เช้าตรู่วันถัดมา เรือจอดเทียบท่า โถงใหญ่ของถ้ำหินงอกหินย้อยสร้างขึ้นอย่างประณีตงดงาม กลิ่นหอมแผ่อบอวล เมื่อเทียบกับความกว้างขวางยิ่งใหญ่ของที่แคว้นซูสุ่ยแล้ว ก็ถือว่ามีท่วงทำนองที่แตกต่างออกไป
เรือข้ามฟากสั่นสะเทือนเล็กน้อย เฉินผิงอันที่ยังนอนได้ไม่ถึงสองชั่วยามลืมตาตื่น เริ่มเก็บเตียงและสัมภาระ เอาของทุกอย่างไปหมด ไม่กล้าทิ้งไว้ในห้องบนเรือ บางทีอาจเป็นเพราะบ่อไท่เย่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก แล้วก็เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ เฉินผิงอันจึงสังเกตเห็นว่าผู้โดยสารสี่ร้อยกว่าคนบนเรือลงไปชมวิวด้านล่างแทบทั้งหมด
เบียดอยู่ท่ามกลางกระแสผู้คน พอลงมาจากเรือแล้ว ข้างกายเฉินผิงอันก็มีชายหญิงลักษณะไม่ธรรมดากลุ่มหนึ่งเดินอยู่ใกล้ๆ ลมหายใจของผู้เฒ่าสองคนทอดยาวประหนึ่งน้ำในแม่น้ำที่ไหลริน ตอนที่เดินฝีเท้าแผ่วเบา ต่อให้ไม่ใช่เทพเซียนบนภูเขาห้าขอบเขตกลาง แต่เกรงว่าคงอยู่ไม่ห่างสักเท่าไหร่ เฉินผิงอันไม่ใช่คนที่ชอบแอบฟังคนอื่นคุยกัน แต่เพราะช่วงนี้เอาแต่ฝึกหมัดอยู่ในห้อง ยากนักกว่าจะได้ยินคนคุยกันด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป จึงเงี่ยหูฟังไปตามจิตใต้สำนึก
พวกเขาคุยกันถึงสถานการณ์บ้านเมืองตั้งแต่ทิศเหนือยันทิศใต้ของทวีป ความเคลื่อนไหวใหม่ล่าสุดของตระกูลเซียนใหญ่แต่ละแห่ง รวมไปถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับคนมีชื่อเสียงของราชวงศ์บางแห่ง
ส่วนใหญ่ล้วนคุยกันด้วยเรื่องสบายๆ ผู้เฒ่าสองคนพูดเยอะที่สุด พวกคนหนุ่มสาวที่อยู่ด้านข้างแค่รับฟังอย่างเดียว น้อยครั้งที่จะเอ่ยแทรก ต่อให้ถามคำถามก็มีท่าทางอ่อนน้อมยำเกรง ไม่ค่อยเหมือนกับคนบางคนในความทรงจำของเฉินผิงอัน ยกตัวอย่างเช่นหลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมหิมะ เฉาจวิ้นผู้ฝึกกระบี่แห่งทักษินาตยทวีปที่มีบ้านบรรพบุรุษอยู่ในตรอกหนีผิง และโจวจวี่แห่งสำนักศึกษากวานหูที่เพิ่งได้เจอเมื่อไม่นานมานี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างก็ไม่มีนิสัยระมัดระวังตัวมากเกินควร
สุดท้ายผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ตรงเอวห้อยตราประทับหยกสีดำขนาดเล็กชิ้นหนึ่งได้พูดถึงเรื่องที่เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวหล่นจากฟ้า ผู้คนบาดเจ็บล้มตายกันมาก สร้างความแค้นเคืองให้กับมวลชน สำหรับถ้อยคำที่เอ่ยถึงเทียนจวินเจ้าลัทธิเต๋าของอุตรกุรุทวีปผู้นั้น แม้จะยอมรับว่ามรรคกถาของคนผู้นั้นยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า แม้แต่ฉีเจินเจ้าลัทธิเต๋าของแจกันสมบัติทวีปก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะเขาได้ ทว่าที่มากกว่านั้นกลับต่อต้านการกระทำอันกำเริบเสิบสานของเทียนจวินท่านนี้
ส่วนผู้เฒ่าอีกคนกลับกล่าวด้วยความเป็นกังวลใจ บอกว่าแม้การจมของเรือคุนจะเป็นเพราะปราณกระบี่ที่พุ่งทะยานเต็มฟ้า โจมตีให้เรือคุนแตกสลาย แต่ราชวงศ์ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่ากินอิ่มว่างงานเลยคิดจะโจมตีเรือข้ามทวีปลำหนึ่งของอุตรกุรุทวีปให้ร่วงลงมาอย่างนั้นหรือ? มีประโยชน์อะไร? ในเวลานั้นผู้ที่สามารถรวบรวมปราณกระบี่ได้มากขนาดนั้นมีเพียงราชสำนักของราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ฮ่องเต้ท่านนั้นได้เดินทางไปเยือนสำนักโองการเทพด้วยตัวเอง สาบานว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน ภายหลังฉีเจินก็เดินทางเป็นเพื่อนเขาไปพบกับเซี่ยสือเจ้าลัทธิเต๋าของกุรุทวีป ฝ่ายหลังกลับพูดแค่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะให้ผู้ฝึกลมปราณของกุรุทวีปสืบสาวหาความจริงเอง
เดินไปใกล้ปากถ้ำ เฉินผิงอันพลันหยุดเดินกะทันหัน จากนั้นก็ก้าวเร็วๆ ไปกุมหมัดสอบถามผู้เฒ่าสองคนนั้น “เซียนซือทั้งสองท่าน ขอละลาบละล้วงถามสักคำ ผู้โดยสารบนเรือคุนลำนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง?”
ผู้เฒ่าคนหนึ่งแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เดินไปข้างหน้าต่อโดยไม่แม้แต่จะปรายตามามองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่มีสำเนียงคนเหนือเต็มเปี่ยม
แต่ผู้เฒ่าที่สวมตราประทับกลับหยุดเดิน หันมาตอบอย่างมีน้ำใจ “ผู้โดยสารที่เป็นห้าขอบเขตล่างแทบไม่มีใครรอดชีวิต ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางก็ยังตายกันไปเยอะมาก ตอนนั้นมีปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งจากภูเขาลูกหนึ่งขึ้นไปกลางอากาศ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการโจมตีอย่างเต็มกำลังจากเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนคนหนึ่ง เจ้าลองคิดดูว่า นั่นจะเป็นพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่สักแค่ไหน?”
ผู้เฒ่าเห็นว่าเด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยก็ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งทีแล้วเดินหน้าต่อ
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ถูกกระแสคนที่เบียดเสียดเดินชนกระแทกไหล่หลายครั้งก็ยังไม่รู้สึกตัว สุดท้ายพอหลุดออกจากภวังค์ก็พบว่าคนออกจากถ้ำไปชมทัศนียภาพที่บ่อไท่เย่กันเกือบหมดแล้ว
เฉินผิงอันเดินไปทางปากถ้ำช้าๆ แสงอาทิตย์ด้านนอกสว่างสดใส ห่างออกไปไกลพอจะมองเห็นภูเขาใหญ่ที่ไม่สูงชันมากนักลูกหนึ่ง บนภูเขาเต็มไปด้วยบุปผาสีสันสดใสซึ่งกำลังบานสะพรั่งอย่างเต็มที่อยู่ทั่วบริเวณ
หลังจากสังหารฮูหยินอสรพิษที่เมืองแยนจือได้ อันที่จริงเฉินผิงอันได้สมบัติมาชิ้นหนึ่ง แต่ไม่ได้เอาออกมาขายตอนอยู่บนหอชิงฝูแคว้นซูสุ่ย นั่นคืออ่างล้างพู่กันชิ้นหนึ่ง ตรงก้นอ่างมีอักษรสิบหกตัวสลักเรียงกันเป็นวง บุปผาวสันต์ดวงจันทร์สารท สายลมวสันต์ต้นไม้สารท ภูเขาวสันต์ก้อนหินสารท วารีวสันต์เกล็ดน้ำค้างสารท ตัวอักษรเล็กมาก แต่กลับเหมือนลูกอ๊อดตัวน้อยที่เรียงแถวกันขยับหมุนเป็นวง เพราะเฉินผิงอันชอบคำว่าชุน (วสันต์) แล้วก็เพราะตอนอยู่บนเรือคุนได้เจอกับสาวใช้คู่หนึ่งที่เป็นพี่น้องกัน ชื่อของพวกนางสอดคล้องกับตัวอักษรเหล่านี้พอดี ตอนนั้นเฉินผิงอันยังรู้สึกเสียดายว่าทำไมถึงมีแต่คำว่าชุนสุ่ย (วารีวสันต์) ไม่มีคำว่าชิวสือ หาไม่แล้วในอนาคตหากมีวาสนาได้พบกันอีกครั้ง ยกตัวอย่างเช่นได้นั่งเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวที่ท่าเรืออู๋ถงอีกครั้ง เขาจะต้องเอาอ่างล้างพู่กันชิ้นนั้นออกมาให้พวกนางสองคนได้ดู จะได้สอนให้พวกนางรู้ว่า ที่แท้บนโลกนี้ก็มีเรื่องน่าสนใจที่บังเอิญแบบนี้อยู่ด้วย
เฉินผิงอันยืนอยู่หน้าปากถ้ำ สีหน้าไม่มีความเสียใจหรือเศร้าอาลัยอะไร เพียงแค่ยืนเหม่อลอย มองทัศนียภาพอันงดงามที่อยู่ห่างไปไกล
สุดท้ายเฉินผิงอันหมุนตัวกลับไปที่เรือข้ามฟาก
เด็กหนุ่มไม่ไปดูบุปผาลานตาบานสะพรั่งทั่วพื้นที่ที่อยู่ด้านหลังแล้ว
เขากลับไปที่ห้องบนชั้นสองของเรือ ปิดประตูลงแล้วฝึกหมัดต่อ
เวลาอีกเกือบหนึ่งเดือนค่อยๆ ผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า อีกสองวันก็ต้องลงจากเรือแล้ว
กลางดึกคืนนี้ เดินวนซ้ำไปซ้ำมา โดยไม่ทันรู้ตัวเฉินผิงอันก็ฝึกหมัดครบสองแสนรอบแล้ว
เขาเปลี่ยนมาสวมชุดสะอาด เปลือยเท้าเดินไปเปิดประตูระเบียง หาได้ยากที่บนเรือจะเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง เฉินผิงอันเห็นว่ารอบกายไร้ผู้คนจึงกระโดดเบาๆ ขึ้นไปบนราวระเบียงแล้วนั่งลง มองไปยังทางน้ำฝั่งตรงข้ามที่น้ำไหลแผ่วเบา ยกเหล้าขึ้นดื่มโดยไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น ดื่มไปดื่มมา ในที่สุดก็พบว่าเหล้าหมดแล้ว
ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บรรจุเหล้ารสเลิศสิบกว่าจินที่หมู่บ้านวารีกระบี่หมักเอง ก่อนจะขึ้นเรือ แค่ให้ชายฉกรรจ์เคราดกกับจางซานเฟิงดื่มไปเล็กน้อย เนื่องจากสองเดือนมานี้เขาค่อนข้างจะควบคุมตัวเองเรื่องการดื่มเหล้า จึงมีเหล้าเหลือให้ดื่มจนถึงตอนนี้
เฉินผิงอันเขย่าน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่ด้านใต้มีคำว่าเจียงหูแรงๆ ไม่มีเหล้าเหลืออยู่แล้วจริงๆ
แต่เขายังไม่ยอมแพ้ ยกน้ำเต้าขึ้นสูง แหงนหน้าขึ้นดื่ม ต่อให้เหลือแค่ไม่กี่หยดก็ยังดี
ทว่ากลับไม่เหลือสักหยด ไม่มีแล้วจริงๆ
ขณะนั้นมีเรือสี่ชั้นหลังหนึ่งล่องมาบนทางน้ำอีกฝั่งหนึ่งพอดี ผู้โดยสารคนหนึ่งที่พักอยู่บนห้องชั้นบนสุดก็กำลังนั่งอยู่บนราวระเบียงเหมือนกัน นางใช้สายตาอึ้งงันมองเด็กหนุ่มที่กำลังเขย่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างแรงเพราะอยากดื่มเหล้า สุดท้ายได้แต่วางมือลงอย่างยอมแพ้ สองมือกอดน้ำเต้าที่มีระดับไม่ธรรมดา วางคางบนปากน้ำเต้า
นางคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้คงไม่ได้ดื่มเหล้ามากจนโง่ไปแล้วหรอกกระมัง?
นางนึกสนุก มือหนึ่งถือกาเหล้าสีเขียวมรกต อีกมือหนึ่งยกขึ้นป้องปาก “ตรงนี้ๆ ผีขี้เหล้าน้อย ที่ข้ามีเหล้า อยากดื่มก็เอาไป!”
เฉินผิงอันยังนั่งอยู่ในท่าเดิม ได้ยินเสียงเรียกก็ปรายตาไปมอง
เด็กสาวสวมชุดตัวยาวสีเขียวเข้มเห็นว่าเขาไม่มีความเคลื่อนไหวก็เลยโยนกาเหล้าในมือออกไปโดยตรง เพียงแต่ว่ากาเหล้าที่ถูกเหวี่ยงตีวงโค้งอย่างงดงามมาอยู่ห่างจากตรงหน้าเฉินผิงอันไปสองจั้งก็พุ่งสวบกลับไปที่มือนางอีกครั้ง เด็กสาวชอบใจ หัวเราะเสียงดังอยู่กับตัวเอง
เรือสองลำแล่นสวนผ่านกันไป
เฉินผิงอันสีหน้าไร้อารมณ์ ทะเลสาบในหัวใจไร้คลื่นกระเพื่อม เพียงแค่รู้สึกว่านางคงไม่ใช่คนปัญญาอ่อนหรอกกระมัง?
ผูกเชือกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้เรียบร้อยก็พลิกตัวหันกลับเข้าไปในระเบียง ปิดประตูไม้แล้วเฉินผิงอันก็ฝึกหมัดต่อ
ไม่มีเหล้าแล้ว สามารถซื้อได้ใหม่ แต่ถ้าคนไม่มีแล้วล่ะ? เฉินผิงอันไม่รู้
ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันหยุดชะงักขณะฝึกวิชาหมัด จากนั้นก็วิ่งไปที่ห้องอาหารกลางดึก ร้านอาหารปิดไฟหยุดกิจการกันนานแล้ว ประตูใหญ่ปิดสนิท เขาจึงได้แต่กลับห้องมาฝึกวิชาหมัดของตัวเองต่อไป
—–