ตอนที่ 264.2 ยันต์หนึ่งแผ่น

บนเกาะกุ้ยฮวา ในกุ้ยกงที่อยู่บนยอดเขา แขกกุ้ยที่เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนหลังคาบ้าน เงยหน้ามองไปรอบทิศ ข้างกายคือหญิงชราที่ท่าทางเต็มไปด้วยความกังวลใจ

เด็กหนุ่มสวมชุดคลุมยาวสีเหลืองสว่าง มองปราดๆ ไม่สะดุดตานักเพราะถูกยอดฝีมือร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้เหมือนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเฉินผิงอัน หากมีคนสามารถทำลายเวทอาคมแล้วเพ่งมองอย่างละเอียดจะค้นพบความลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ชุดยาวตัวนี้ไม่ใช่ผ้าต่วนหรือผ้าไหมอะไร แต่เป็นชุดที่นำแผ่นไม้ไผ่ที่สีออกเหลืองจำนวนนับไม่ถ้วนมาสานเข้าด้วยกันอย่างงดงาม ฝีมือประณีตเหนือธรรมชาติ แผ่นไม้ไผ่บอบบางแต่กลับยืดหยุ่นทนทาน เอามาห่มกายเป็นเสื้อผ้า ฤดูหนาวอบอุ่นฤดูร้อนเย็นสบาย ไม่ถือว่าแปลกประหลาดอะไร แต่การที่มันทำให้ผู้สวมรู้สึกเหมือนอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลตลอดเวลา ช่วยเสริมสร้างการฝึกตน นี่ต่างหากที่เป็นเงินทุนก้อนใหญ่ของตระกูลเซียนอย่างแท้จริง

เสื้อชุดนี้มีชื่อว่า ‘ชิงเหลียง’ (เย็นสบาย) คือชุดคลุมอาคมที่มีชื่อเสียงชุดหนึ่งซึ่งมาจากภูเขาชิงเสินถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ เคยเป็นของรักของกษัตริย์ราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เมื่อราชวงศ์ล่มสลาย เสื้อวิเศษตัวนี้ก็หายสาบสูญไปเป็นเวลานาน คิดไม่ถึงว่าจะมาอยู่บนร่างของเด็กหนุ่มผู้นี้

เด็กหนุ่มพูดภาษาแจกันสมบัติทวีปที่สำเนียงผิดเพี้ยนฟังยาก “ท่านย่าหลิ่ว ขนาดยันต์ฟางชุ่นร้อยลี้ของผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนนั้นยังใช้ไม่ได้ ยันต์พันลี้ที่อยู่ในมือข้าก็ไม่ต่างกันใช่ไหม?”

หญิงชราถอนหายใจ “อันที่จริงตบะของเจียวเฒ่าตัวนั้นไม่ได้น่าตกตะลึงสักเท่าไหร่ แค่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสูงสุดเท่านั้น เพียงแต่ว่ามียอดฝีมือให้ความช่วยเหลือ สร้างร่องน้ำแห่งนี้ให้กลายมาเป็นเหมือนฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ตัวมันจึงกลายมาเป็นดั่งอริยะ เมื่อบัญชาการณ์อยู่ที่นี่ พลังการต่อสู้จึงเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบ ได้เปรียบทั้งด้านชัยภูมิและกำลังคน”

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “งั้นพวกเราจะทำยังไงกันดี?”

หญิงชราพูดยิ้มๆ “นายน้อยไม่ต้องเป็นกังวล ต่อให้ต้องสู้จนตัวตาย ข้าก็ต้องส่งนายน้อยให้ออกไปจากร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้ให้จงได้ แต่หลังจบเรื่องแล้ว นายน้อยโปรดจำไว้ว่าต้องย้อนกลับไปทางเดิม ไปยังหอหลากสีริมหน้าผาที่โยนลูกบอลปักลายลูกนั้นลงมา บอกชื่อแซ่กับพวกเขา รับรองว่าพวกเขาไม่กล้าเพิกเฉยท่านแน่ ถึงเวลานั้นนายน้อยก็จะสามารถกลับไปยังธวัลทวีปได้อย่างราบรื่น เล่าเรื่องนี้ให้บุรพาจารย์ฟัง ถึงตอนนั้นทัณฑ์สวรรค์ที่หล่นลงมาจากฟ้าย่อมทำลายสถานที่แห่งนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง ช่วยแก้แค้นให้กับยายแก่อย่างข้าเอง”

เด็กหนุ่มบ่น “ท่านยายหลิ่ว ความเป็นความตายเป็นเรื่องใหญ่ เหตุใดท่านถึงได้พูดง่ายขนาดนี้ ข้าไม่ต้องการให้ท่านมาตายอยู่ที่นี่ พวกเรายังต้องกลับบ้านด้วยกัน”

สีหน้าของหญิงชรายังคงผ่อนคลายเช่นเดิม นางหันมามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาเมตตา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ก็เป็นคำพูดด้วยความจำใจ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ร้องไห้ด้วยความกังวลต่อหน้านายน้อยกระมัง อายุมากขนาดนี้แล้ว ไม่ควรทำแบบนั้นจริงๆ”

หญิงชรานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงมองไปยังแหวนหยกบนนิ้วของเด็กหนุ่มแล้วพูดเบาๆ ว่า “นายน้อย นี่คือวัตถุจื่อฉื่อที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี อย่าเอาทรัพย์สมบัติที่อยู่ด้านในมาโอ้อวดให้คนอื่นดูง่ายๆ ยามออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก อย่าพยายามหยั่งเชิงใจคน เพราะใจคนเป็นสิ่งที่ทนรับการเคาะตีไม่ได้มากที่สุด”

 กล่าวมาถึงตรงนี้ บนใบหน้าแก่ชราที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของหญิงชราค่อนข้างจะเลื่อนลอย ถึงอย่างไรหญิงชราทุกคนในใต้หล้านี้ก็เคยผ่านการเป็นเด็กสาวมาก่อน

เด็กหนุ่มสวมชุดไม้ไผ่ยื่นมือชี้ไปยังเรือน้อยลำหนึ่ง “ท่านยายหลิ่ว ท่านดูเด็กหนุ่มแบกไม้พายไม้ไผ่คนนั้นสิ เขาน่าจะอายุพอๆ กับข้ากระมัง แต่เขาร้ายกาจจริงๆ กล้าหาญ เท่ห์มาก! แข็งแกร่งกว่าข้าเยอะเลย เดี๋ยววันหน้าข้าต้องหาจิตรกรฝีมือยอดเยี่ยมคนหนึ่งมาช่วยวาดภาพนี้เก็บไว้ให้ข้า”

หญิงชราส่ายหน้าพลางพูดยิ้มๆ “อย่าได้เลียนแบบการทำอะไรโดยใช้อารมณ์แบบเด็กหนุ่มคนนั้นเด็ดขาดเชียว นายน้อยท่านไม่ใช่แค่ลูกหลานตระกูลเศรษฐีร่ำรวยธรรมดาทั่วไป หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับท่านในระหว่างแถบพื้นที่ของแจกันสมบัติทวีปกับนาตยทวีปเข้าจริงๆ นั่นแหละคือปัญหาใหญ่เทียมฟ้า”

เด็กหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “ท่านยายหลิ่ว ข้าผ่านการฝึกประสบการณ์มาหลายครั้งแล้ว อย่ามองข้าเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลาสิ”

หญิงชราเพียงยิ้มรับ ไม่ตอบโต้

การฝึกประสบการณ์ทั้งหลายที่มองดูเหมือนเต็มไปด้วยภยันตรายรอบด้าน มีครั้งไหนบ้างที่ไม่มีบุรพาจารย์คนใดคนหนึ่งคอยจับตามองอยู่ตลอดเวลา

อันที่จริงการออกเดินทางไกลครั้งนี้ จากธวัลทวีปไปยังกุรุทวีป จากนั้นค่อยลงใต้มายังแจกันสมบัติทวีป สำนักโองการเทพ สำนักศึกษากวานหู ตระกูลเจียงอวิ๋นหลิน สุดท้ายมาถึงนครมังกรเฒ่า แล้วก็ลงใต้ต่ออีกครั้ง ขึ้นบกที่ใบถงทวีป จะสำนักใบถงที่อยู่ทางเหนือหรือสำนักกุยหยกที่อยู่ทางใต้ก็ล้วนแวะไปเยี่ยมเยียนมาหมดแล้ว อีกนิดเดียวนายน้อยก็เกือบจะได้เข้าไปยังพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาแห่งนั้น ตลอดทางที่ผ่านมาไร้ลมไร้ฝน แต่มีข้อหนึ่งที่หญิงชราไม่เข้าใจมาโดยตลอด ทำไมถึงมีแค่ตนคนเดียวที่รับหน้าที่เป็นข้ารับใช้ติดตามอยู่ข้างกายนายน้อย? นี่จะประมาทเกินไปหน่อยหรือเปล่า? ผู้ฝึกลมปราณก่อกำเนิดคนหนึ่ง ขอบเขตไม่ถือว่าต่ำ แต่สถานะของนายน้อยสูงส่งถึงเพียงไหน?

ก็เหมือนกับอันตรายที่พบเจอในร่องน้ำเจียวหลงครั้งนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่ได้อยู่ข้างกายนายน้อย นายน้อยไม่ต้องขมวดคิ้วด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องตกอกตกใจ แค่รอดูไฟชายฝั่งอย่างเดียวก็พอ

……

นอกห้องพักธรรมดาแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขาของเกาะกุ้ยฮวามีศาลาลมขนาดเล็กอยู่หนึ่งหลัง หญิงสาวหน้าตางดงามปานดวงจันทร์นั่งอยู่ในศาลา นางสวมเสื้อตัวสั้น กระโปรงยาว ตรงเอวรัดแถบผ้าหลากสี เมื่อเผชิญหน้ากับหายนะที่พุ่งมาหาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยครั้งนี้ แม้ว่าใบหน้าของนางจะเต็มไปด้วยความเดือดดาล ไฟโทสะที่มีต่อตระกูลฟ่านนครมังกรเฒ่าอัดแน่นอยู่เต็มท้อง แต่กระนั้นนางก็ยังอดทนข่มกลั้นเอาไว้ ยังมีอารมณ์มาต้มชา ดื่มชา เสร็จแล้วจึงเก็บอุปกรณ์ชงชาทีละชิ้น จากนั้นค่อยคิดหาวิธีรับมือ แต่พอเห็นภาพการตายอนาถของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนนั้น นางก็หมดอาลัยตายอยาก รู้แล้วว่ามีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่จะต้องตาย

ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม ใช้นิ้วเคาะเบาๆ ลงบนผิวโต๊ะ พึมพำกับตัวเองว่า “ไม่มีเหตุผลเลยที่จะดวงซวยขนาดนี้ ตอนอยู่นครมังกรเฒ่ายังพยากรณ์ให้ตัวเองไปรอบหนึ่ง ถึงได้ไม่เลือกเต่าทะเลภูเขา มาเลือกเกาะกุ้ยฮวาแทน ตามหลักแล้วไม่น่าจะผิดได้ แล้วก็ควรจะงมเจอโชควาสนาครั้งสองครั้งถึงจะถูก จะมาตายก่อนวัยอันควรได้อย่างไร?”

เด็กสาวลุกขึ้นยืน ดีดปลายเท้าทะยานตัวขึ้นไปบนหลังคาศาลา มองลงมาจากมุมสูงการมองเห็นจึงเปิดกว้าง นางกลืนน้ำลาย เปลี่ยนจากท่ายืนมานั่งยอง เริ่มนับนิ้วพยากรณ์ “หรือว่ามียอดฝีมือแฝงตัวอยู่ ไม่ก็คนที่จะมาคลี่คลายสถานการณ์ยังไม่ปรากฏตัว? สรุปคือต้องไม่ใช่ทางตายถึงจะถูก ไม่มีทางที่จะ…ขอให้ข้าคำนวณเจ้าดูหน่อย สตรีแต่งงานแล้วที่สามารถคุมเชิงอยู่กับเจียวเฒ่าสีทอง โอ้โห ที่แท้เจ้าก็คือเกาะกุ้ยฮวาเองหรือ แปลกจริง คนที่จะคลี่คลายสถานการณ์กลับยังไม่ใช่เจ้า…”

“มาดูคนพายเรือแจวที่อำพรางตัวลึกล้ำผู้นี้บ้าง เอ๊ะ? คือผู้ฝึกลมปราณที่ถอยจากก่อกำเนิดกลับมายังโอสถทอง? ตอนนี้อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ไม่เสียแรงที่เป็นคนพายเรือเฒ่าผู้มีเรื่องราว แต่เจ้าก็ยังไม่ใช่คนคลี่คลายสถานการณ์อยู่ดี…”

“ส่วนเด็กหนุ่มที่เป็นดั่งลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวพยัคฆ์คนนี้ก็ช่างเถอะ แบกไม้พายยังพอว่า จุ๊ๆ ยังดื่มเหล้าด้วย? ชอบโอ้อวดเกินไปแล้ว นึกว่าตัวเองเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนจริงๆ หรือไง โง่เง่าชะมัด…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หรือว่ากุญแจสำคัญที่จะคลี่คลายสถานการณ์จะอยู่บนภูเขา มีเทพเซียนบางคนกำลังมองดูอยู่เฉยๆ? รอให้เจียวเฒ่าตัวนั้นคลายความระแวงลงแล้วค่อยจู่โจมจนถึงชีวิต? ไหนขอข้าคำนวณดูหน่อยสิ มียอดฝีมือนอกโลกที่จงใจอำพรางลมปราณของตัวเองอยู่จริงๆ ด้วย น่าเสียดายก็แต่…ยังคงไม่ใช่เขา!”

หญิงสาวยกสองมือเกาหัว สองข้างแก้มแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่านางร้อนรนกระวนกระวายเต็มที ปิ่นมุกที่ปักอยู่บนมวยผมเอียงกะเท่เร่ เส้นผมดำขลับยุ่งเหยิง

“อย่าลนลานๆ อาจารย์เคยบอกว่าไม่ว่าสถานการณ์ใหญ่แบบใดในใต้หล้า มักจะซุกซ่อนคำว่า ‘หนึ่ง’ ที่แปรเปลี่ยนหมื่นสรรพสิ่งเสมอ ต่อให้เป็นมรรคาจารย์เต๋าท่านนั้นก็แสวงหาคำนี้อยู่ตลอดเวลา มังกรที่แท้จริงตัวนั้นเป็นเช่นนี้ ความลี้ลับที่แท้จริงในถ้ำสวรรค์หลีจูก็เป็นเช่นเดียวกัน กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังเป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นเช่นนี้กันทั้งหมด…”

ในขณะที่หญิงสาวคนนี้กำลังเหม่อลอย จินซู่แม่นางกุ้ยฮวาแห่งเรือนเล็กกุยม่ายก็กำลังสาวเท้าเดินไปเดินมา เดินหนึ่งก้าวหันกลับมามองสามรอบ หันมองกลับไป นางเห็นว่าอาจารย์ของตัวเองกำลังคุมเชิงอยู่กับเจียวเฒ่าสีทอง เห็นคนพายเรือเฒ่าที่มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองของเกาะกุ้ยฮวา แน่นอนว่ายังเห็นเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ขึ้นเรือแจวไปสร้างปัญหาเพิ่มคนนั้นด้วย จินซู่รู้ว่าตัวเองไม่ควรกล่าวโทษเด็กหนุ่มที่ออกหน้าหวังให้ความช่วยเหลือ แต่ไม่รู้ทำไม ไฟโทสะที่นางมีต่อเด็กหนุ่มคนนี้ถึงได้รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุให้รู้สึกว่าต้องโยนหายนะทั้งหมดที่ได้เผชิญในวันนี้ให้เป็นความผิดของไอ้หมอนั่น ในใจนางถึงจะได้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย

จินซู่ไม่อยากคิดมาก แล้วก็ยิ่งไม่อยากยอมรับว่าการที่นางอับอายจนกลายเป็นความโกรธนี้ ไม่ใช่เพราะว่าแขกต่างถิ่นที่ชื่อว่าเฉินผิงอันคนนั้นทำถูกหรือผิด แต่เป็นเพราะ ‘การดึงดันจะทำตามใจตัวเอง’ ของเขายิ่งขับดันให้เห็นถึงความขี้ขลาดอ่อนแอของนาง แม้แต่ความกล้าที่จะหยัดยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับอาจารย์ นางก็ยังไม่มี

ระหว่างเส้นความเป็นความตาย บางคนรักตัวกลัวตาย วิเคราะห์และประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เพื่อหลบลี้หนีภัย บางคนสละชีวิตเพื่อรักษาคุณธรรม กล้าเผชิญหน้ากับความยากลำบาก หวังรอดพ้นจากความตาย

สำหรับคนหนุ่มสาวที่เพิ่งจะเริ่มก้าวเดินไปบนเส้นทางของความเป็นอมตะ คนหนึ่งอาจไม่ผิดเสมอไป และคนหนึ่งอาจไม่ถูกเสมอไป

บนท้องทะเลนอกเกาะกุ้ยฮวา เรือแจวลำเล็กสองลำจอดเคียงกัน

คนพายเรือเฒ่าเกลี้ยกล่อมหลายครั้งก็ไม่ได้ผล บวกกับที่ลึกๆ ในใจไม่ต้องการให้เด็กหนุ่มต้องมาจบชีวิตลงที่นี่ ด้วยความโมโหจึงพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “ในเมื่อกุ้ยฮูหยินก็บอกถึงความร้ายกาจของเจียวเฒ่าแล้ว เจ้าจะยังอยู่ที่นี่อีกทำไม เหลวไหล!”

สตรีแต่งงานแล้วยิ้มเจื่อน “รอบกายมีแต่อันตราย เว้นเสียจากปลาตายแหขาดก็ไม่มีโอกาสอื่นอีกแล้วจริงๆ”

จู่ๆ ผู้เฒ่าก็กดเสียงลงพูดเบาๆ ว่า “กุ้ยฮูหยิน เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ตระกูลฟ่าน…”

สตรีแต่งงานแล้วส่ายหน้า “ข้าตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว”

นางหันหน้าไปมองเด็กหนุ่ม ถามเสียงอ่อนโยน “เฉินผิงอัน ยันต์แผ่นนั้นสำคัญมากจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างแรง

สตรีแต่งงานแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “ถึงอย่างไรเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะทำอะไรได้อีก เจียวเฒ่าตัวนั้นยืนกรานว่าจะไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน เอาแต่ใช้คำว่ากฎเกณฑ์มาข่มข้า เรื่องราวใดที่ผิดไปจากปกติย่อมมีความประหลาดซุกซ่อนอยู่ ในเมื่อเจ้าเฉินผิงอันยินดีทำอะไรบางอย่าง ถ้าอย่างนั้นก็ทำเถอะ พวกเจ้าสองคนช่วยถ่วงเวลาให้เจ้า ไม่ถือเป็นเรื่องยากอะไร”

เฉินผิงอันจึงนั่งลงไปในเรือทันที หันหลังให้กับเจียวเฒ่าสีทอง เพราะจิตเชื่อมโยงกับกระบี่บินสืออู่ที่เป็นวัตถุฟางชุ่น เพียงไม่นานก็มีกระดาษยันต์สีเขียวแผ่นหนึ่งกลิ้งออกมา ดูเหมือนจะเป็นหน้าหนังสือที่ฉีกมาจากตำราบางเล่มของอริยะนักปราชญ์ มือซ้ายของเฉินผิงอันถือเหล็กหมาดหิมะ เป่าลมลงไปเบาๆ ทว่าตอนที่ปลายพู่กันซึ่งสลักคำว่า ‘ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย’ จรดลงบนกระดาษยันต์ ในใจของเฉินผิงอันกลับสั่นสะท้านไม่หยุด ปลายพู่กันเหมือนสองเท้าของคนที่ก้าวเดินจมลึกลงไปในหิมะในช่วงเวลาที่หิมะตกหนัก ยากที่จะขยับเคลื่อน!

ลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเฮือกนั้นของเฉินผิงอันขาดสะบั้นลงกลางคัน!

ก่อนหน้านี้เขียนยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจลงบนกระดาษสีทอง และยันต์ปราณหยางส่องไฟมาแล้วหลายครั้ง แต่เฉินผิงอันก็ยังไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน

ทว่าเฉินผิงอันกลับรู้สึกตะลึงระคนดีใจ

แม้ว่าตัวเองจะบาดเจ็บภายใน จิตวิญญาณจะสั่นสะเทือน แต่เฉินผิงอันก็ยังแข็งใจดึงลมหายใจเฮือกใหม่ขึ้นมา ลดมือลง ขยับปลายพู่กันเหล็กหมาดหิมะไปบนกระดาษยันต์แผ่นนั้นอย่างต่อเนื่อง

เจ้าสามารถทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้ก็จริง แต่ต้องแน่ใจว่าจะไม่ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ไปมากกว่าเดิม

ตอนอยู่หน้าวัดร้างแคว้นหวงถิง เพื่อน้ำใจไมตรีในอุดมคติ หนุ่มสาวในยุทธภพที่สวมอาภรณ์งดงามขี่อาชาแข็งแกร่งกระทำการโดยยึดมั่นในหลักคุณธรรม แต่เกือบจะทำให้งานใหญ่ของผู้ฝึกลมปราณอีกกลุ่มเสียหาย เกือบจะทำให้ปีศาจจิ้งจอกที่สร้างหายนะมาหลายปีหนีรอดไปได้

นี่ก็คือตัวอย่างบทเรียนของความหวังดีที่ทำให้เรื่องพัง

หากแน่ใจว่าตัวเองจะไม่เป็นเช่นนั้น เฉินผิงอันก็คิดว่าตัวเองควรต้องทำอะไรบางอย่างจริงๆ

ตอนอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองของแคว้นไฉ่อี บุตรสาวเจ้าเมืองที่ผูกกระดิ่งเงินไว้บนข้อมือและข้อเท้าก็เคยลงมือช่วยเหลือเช่นกัน ทว่านางหยุดเมื่อถึงเวลาสมควร ทุกครั้งที่ช่วยเหลือล้วนทำในสิ่งที่ความสามารถของนางทำได้ อีกทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระของเฉินผิงอันอย่างเหมาะสม นี่เป็นสิ่งที่ดีมาก

เป็นเรือข้ามฟากเหมือนกัน ลำหนึ่งคือเกาะกุ้ยฮวาของนครมังกรเฒ่า อีกลำหนึ่งคือเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยว

เกาะกุ้ยฮวาแห่งนี้คือกิจการของครอบครัวที่ฟ่านเอ้อร์เพื่อนรักของเขาและลูกหลานรุ่นหลังจะได้สืบทอด

ส่วนบนเรือคุนลำนั้นเคยมีหญิงสาวสองคนที่เขาได้ใช้เวลาร่วมกับพวกนางนานวัน ชื่อชุนสุ่ยกับชิวสือ ต่างก็เป็นผู้หญิงที่ดีทั้งสองคน เฉินผิงอันคิดมาตลอดว่าพวกเขาอายุแค่เท่านี้ ไม่ว่าจะกี่ปีหรือกี่สิบปีให้หลัง ไม่ว่าจะมีกี่พันภูเขากี่หมื่นแม่น้ำกางกั้น จากกันแล้วสักวันก็ต้องได้พบกันใหม่

เฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักให้กับข้อมือและนิ้วทั้งห้าอย่างต่อเนื่อง ลมหายใจและปราณกระบี่สิบแปดหยุดโคจรอย่างรวดเร็ว ปราณแท้จริงในร่างกายที่บริสุทธิ์เฮือกนี้จำเป็นต้องรวดเร็วและมั่นคงเหมือนมีดผ่าลำไม้ไผ่

ลมปราณมั่นคง จิตใจก็จะมั่นคง เมื่อจิตใจมั่นคง ยันต์ก็จะศักดิ์สิทธิ์

ย้อนคิดถึงช่วงเวลาในอดีต การขึ้นรูปเผาเครื่องปั้นก็พิถีพิถันในคำว่ามั่นคงเหมือนกัน ใจนิ่งแล้วมือถึงจะนิ่งตาม

ในที่สุดปลายแหลมของเหล็กหมาดหิมะก็ค่อยๆ สัมผัสเข้ากับกระดาษยันต์สีเขียว

จุดแสงจุดหนึ่งที่เล็กมากระเบิดแตกขึ้นมาในเสี้ยววินาที

ประหนึ่งดวงจันทร์ที่ลอยตัวอยู่เหนือมหาสมุทร

เฉินผิงอันไม่สนใจ จิตใจของเขาจมจ่อมอยู่กับยันต์ตัดโซ่แผ่นนั้น เขาต้องเขียนตัวอักษรแปดคำลงบนกระดาษสีเขียว ควรทำก็ทำ คำสั่งเทพพิรุณ

ยันต์แผ่นนี้จะสำเร็จหรือไม่ วาดเสร็จแล้วค่อยว่ากัน

ก็เหมือนกับข้อที่ว่าแท้จริงแล้วหมัดเขย่าขุนเขาเป็นวิชาหมัดที่สูงหรือไม่  ฝึกให้ครบหนึ่งล้านครั้งก่อนค่อยว่ากัน

วันนี้หากไม่ทำอะไรเสียบ้าง เฉินผิงอันรู้สึกว่าจะผิดต่อการฝึกหมัด การฝึกกระบี่ การดื่มเหล้า และผิดต่อคนมากมายที่ตัวเองรู้จัก

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset