เฉินผิงอันวางพวกมันลงบนโต๊ะเบาๆ ยิ้มตาหยีพูดว่า “ในเมื่อไม่เหนื่อย ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยวาดให้ข้าอีกสักสามแผ่น ให้ดีที่สุดแผ่นหนึ่งคือยันต์วิชาอสนี แผ่นหนึ่งคือยันต์นำทาง สามารถทำลายคาถาอำพรางตาในขอบเขตของภูเขาและแม่น้ำบางแห่งได้ อีกแผ่นหนึ่งคือยันต์ที่สามารถช่วยกักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่เหมือนยันต์บ่อน้ำ”
เจ้าแม่เทพวารีเต็มไปด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ คุณชายต่างถิ่นผู้นี้ไม่ได้แค่มีเงินธรรมดาเท่านั้น
จงขุยปาดเหงื่อบนหน้าผาก ทอดถอนใจกล่าวว่า “ช่างเถิดๆ เป็นคนดีแล้วก็ต้องเป็นให้ถึงที่สุด วาดอีกสามแผ่นก็สามแผ่น”
ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจได้ จงขุยเอ่ยเสียงหนักว่า “ข้าจะวาดยันต์ห้าอสนี ‘วิชาหลัก’ ที่เทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์เชี่ยวชาญให้เจ้าแผ่นหนึ่ง เดิมทีวิชาห้าอสนีก็อยู่ในตำแหน่งผู้นำของหมื่นวิชาอยู่แล้ว การสืบทอดของวิชาอสนีนั้นซับซ้อน ซึ่งมีภูเขามังกรพยัคฆ์เป็นสำนักดั้งเดิม เป็นวิชาหลัก อาจารย์ของข้าเคยเดินทางไปเยือนภูเขามังกรพยัคฆ์หลายครั้ง เคยได้เห็นเทียนซือใหญ่มาครั้งหนึ่ง จึงได้เรียนวิชาเขียนยันต์ห้าอสนีแผ่นหนึ่งพอดี ห้ามังกรคาบไข่มุกที่ซุกซ่อนสายฟ้า พลังอำนาจค่อนข้างจะ…”
เห็นสายตาประหลาดของเฉินผิงอัน
จงขุยก็ร้องโธ่เอ้ย แล้วพูดอย่างน่าสงสารว่า “จะให้ข้าพักสักครู่ก่อนจรดพู่กันเขียนอีกครั้งไม่ได้เลยหรือไง เขียนยันต์ระดับสูงสามแผ่นรวด เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะหยิบกระดาษยันต์ที่ดีขนาดนี้ออกมาตั้งสามแผ่น หากรู้แต่แรกข้าก็แกล้งทำตัวเป็นหลานไปแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มแล้วนั่งลง “ดื่มเหล้าแล้วรอให้จิตใจสงบค่อยวาดยันต์ก็ยังไม่สาย ข้าไม่เร่งรัดเจ้าก็แล้วกัน”
จงขุยถึงได้ผ่อนลมหายใจโล่งอก ดื่มเหล้าอึกใหญ่ หยิบยันต์กระดาษสีทองแผ่นนั้นแยกออกมาต่างหาก แล้ววางให้ตรง
เห็นเพียงว่าปลายพู่กันของเหล็กหมาดหิมะที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือกระดาษยันต์ไปหนึ่งฉื่อกว่ามีเสียงฟ้าร้องและมีสายฟ้าสีขาวประกายม่วงแลบปลาบ อยู่ใกล้ในระยะประชิด แต่กลับยังมีอานุภาพสะเทือนฟ้าถึงเพียงนี้
เจ้าแม่เทพวารีอกสั่นขวัญแขวน
วาดยันต์อสนีห้ามังกรคาบไข่มุกที่มีพลังอำนาจน่าพรั่นพรึงเสร็จแล้ว จงขุยก็วาดยันต์ทำลายอาคมพรางตาอีกแผ่นหนึ่ง
จากนั้นก็นั่งแปะลงไปบนเก้าอี้ เหม่อมองกระดาษยันต์สีเขียวแผ่นสุดท้ายนั่น
เฉินผิงอันพลันเข้าใจ จึงยื่นมือไปหยิบยันต์แผ่นนั้นมา ยิ้มพูดว่า “ช่างเถอะ ไม่แกล้งขู่เจ้าแล้ว ยันต์สองแผ่นก่อนหน้านี้ก็เพียงพอแล้ว”
สีหน้าของจงขุยเคร่งขรึม คว้าแขนข้างที่ใช้สองนิ้วคีบยันต์กระดาษสีเขียวของเฉินผิงอันเอาไว้ “ยันต์แผ่นนี้ข้าต้องวาด เพียงแต่ข้าจำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมตัวให้ดีก่อนครู่หนึ่งถึงจะวาดลงไปอย่างระมัดระวังได้ หากวาดพลาด ต่อให้เจ้าเฉินผิงอันไม่ตีข้า ข้าก็ต้องด่าตัวเองแน่ๆ”
เฉินผิงอันถาม “จะวาดได้สำเร็จหรือ?”
จงขุยถามกลับ “ทำไมถึงจะวาดไม่สำเร็จ? แน่นอนว่าต้องสำเร็จ ข้าแค่รู้สึกว่ายันต์บ่อน้ำที่ธรรมดาแผ่นหนึ่ง หากทำได้แค่พันธนาการ กักขังกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ที่มีขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิดถือเป็นการสิ้นเปลืองสมบัติสวรรค์เกินไป”
เฉินผิงอันเอ่ยชื่นชม “จงขุย พรสวรรค์ในการวาดยันต์ของเจ้าดีกว่าข้าเยอะเลย”
จงขุยกล่าวอย่างระอาใจ “เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง บอกว่าตัวเองวาดยันต์สู้ข้าไม่ได้ เจ้าคิดว่าข้าควรจะดีใจไหม?”
เฉินผิงอันพูดไม่ออก แล้วก็เงียบเสียงไป ไม่รบกวนเวลาพักผ่อน หล่อเลี้ยงปราณแห่งความเที่ยงธรรมระหว่างหัวใจของจงขุยอีก
เพียงแต่ว่าในใจเขาก็ตัดสินใจได้อย่างหนึ่งแล้ว
จงขุยสูดลมหายใจเข้าลึก พูดกับเจ้าแม่เทพวารี “ส่งตัวภูตผีทั้งหมดในจวนออกไปจากจวนปี้โหยว รอให้ข้าวาดยันต์เสร็จแล้วค่อยให้พวกมันกลับมา”
แม้นางจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่ก็ยังใช้วิชาอภินิหารของเทพวารีลำคลองหมายเหอ รวมไปถึงวิชาเฉพาะของจวนปี้โหยว ‘ขับไล่’ พ่อบ้าน หญิงรับใช้และคนงานทั้งหมดในจวนออกไปในเสี้ยววินาที
จงขุยยืนนิ่ง เอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งถือเหล็กหมาดหิมะ ในชายแขนเสื้อสองข้างมีลมเย็นพัดดังพึ่บพั่บ
ทันใดนั้นทั้งจวนปี้โหยวก็เริ่มสั่นสะเทือนไม่หยุด สายน้ำใต้ดินโถมซัดสาดขึ้นๆ ลงๆ
เจ้าแม่เทพวารีพลันรู้สึกหายใจได้ยากลำบาก จึงถอยห่างไปด้านหลัง พยายามอยู่ให้ห่างจากวิญญูชนสำนักศึกษาต้าฝูท่านนี้ให้ได้มากที่สุด แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายตัวอย่างยิ่ง นางจึงพลิ้วกายออกไปจากห้องโถงใหญ่ ถึงรู้สึกดีขึ้นมาได้นิดหน่อย
นางกัดริมฝีปาก สายตาเลื่อนลอย
บัณฑิตที่ชื่อว่าจงขุยผู้นี้ต้องไม่ได้เป็นแค่วิญญูชนของสำนักศึกษาอย่างเดียวแน่นอน!
ตอนที่จงขุยจรดพู่กัน ปากก็ท่องเบาๆ ว่า “สะบัดชายแขนเสื้อกระบี่ผงาด ลำคลองแม่น้ำใสกระจ่าง ขุนเขาสี่ทิศแตกทลาย มหาสมุทรเก้าทวีปเดือดพล่าน”
หลังยันต์ถูกวาดเสร็จ จิตแห่งยันต์ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในกลับจำแลงกายขึ้นมาอย่างชัดเจน นั่นคือเซียนกระบี่ชุดขาวที่สูงเท่าหนึ่งนิ้วมือท่านหนึ่ง เขาลอยตัวอยู่เหนือกระดาษยันต์ ชักกระบี่ออกมาอย่างว่องไวปราดเปรียว ปราณกระบี่ไหลเวียนวน รวดเร็วดุจฟ้าแลบ
จงขุยหน้าซีดขาวเล็กน้อย เก็บเหล็กหมาดหิมะลงไปแล้วกรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ แม้ว่าจะเหนื่อยล้าสิ้นเรี่ยวแรง แต่รอยยิ้มกลับคลี่สยายเต็มใบหน้า “ยันต์แผ่นนี้ก็คือยันต์ที่ข้าภาคภูมิใจมากที่สุดในบรรดายันต์ที่ข้าสร้างขึ้นมา ตั้งชื่อให้ว่ายันต์สยบกระบี่ ใช้ปณิธานกระบี่ที่มากมหาศาลของเซียนกระบี่บรรพกาลท่านหนึ่งมาสยบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนที่ต่ำกว่าห้าขอบเขตบนทั้งหมด กระดาษยันต์ดีเกินไป และยันต์นี้ที่ข้าวาดก็ดีเกินไป ไม่เหมือนยันต์บ่อน้ำอะไรนั่นที่ได้แค่กักกระบี่บินไว้ชั่วครู่ชั่วยาม หากยันต์สยบกระบี่แผ่นนี้ถูกเอาออกมาใช้จะสามารถช่วงชิงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของขอบเขตโอสถทองท่านหนึ่งมาได้โดยตรงเลย กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดอาจจะกักไว้ไม่ได้นานนัก ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องฝ่ายันต์ออกมาได้ แต่จำไว้ว่ายันต์แผ่นนี้จะเอาออกมาใช้ง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด อย่าให้คนอื่นเห็นเข้า อาจารย์เคยกำชับข้าว่า ยันต์สยบกระบี่แผ่นนี้ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ พุ่งเป้าเล่นงานผู้ฝึกกระบี่มากเกินไป ย่อมง่ายที่จะนำภัยมาสู่ตัว”
เฉินผิงอันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย “ลำบากเจ้าแล้ว”
จงขุยโบกมือด้วยรอยยิ้ม ใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันว่า “กระดาษยันต์แผ่นนี้คือกระดาษต้นฉบับที่อริยะใช้เขียนความรู้ของตัวเองลงไป เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันมีค่ามากแค่ไหน? ต่อให้เป็นอาจารย์ของข้า ตอนที่ออกมาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังพกติดตัวไปแค่สามแผ่นเท่านั้น ตอนข้ามมหาสมุทรใช้ไปแผ่นหนึ่ง มาถึงใบถงทวีปใช้ไปอีกแผ่นหนึ่ง ตอนนี้เหลือแค่แผ่นเดียวแล้ว ของรักของหวงของท่านอาจารย์ ขนาดข้าก็ยังได้แค่มอง ไม่อาจสัมผัส ดังนั้นหากเขียนลงบนกระดาษยันต์สีทอง พลานุภาพของยันต์สยบกระบี่นี้ของข้าจะถูกลดขั้นลงไประดับใหญ่ อย่างมากสุดก็ได้แค่กักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปเท่านั้น”
จงขุยร้องว่าสะใจๆ แล้วก็เริ่มดื่มเหล้าอีกครั้ง
เฉินผิงอันบิดข้อมือแอบยื่นกระดาษยันต์แผ่นหนึ่งให้จงขุย
จงขุยอึ้งงันเป็นไก่ไม้ ถลึงตาพูด “เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง? ตอนที่ไม่รู้มูลค่าของมันก็ช่างเถอะ แต่ข้าบอกถึงระดับความล้ำค่าของมันให้เจ้ารู้แล้ว เจ้ายังทำเป็นเล่นแบบนี้? รีบเก็บกลับไปซะ!”
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จา คลายนิ้วออก ปล่อยให้กระดาษยันต์สีเขียวแผ่นนั้นร่วงลงเบื้องล่าง จงขุยได้แต่รีบยื่นมือไปรับไว้แล้วเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา ชูขึ้นสูง เอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “ขออวยพรให้การเดินทางไปเยือนภูเขาไท่ผิงของเจ้า สามารถกำจัดปีศาจปราบมารได้อย่างราบรื่น”
จงขุยขยับปากจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร แค่หยิบถ้วยเหล้าขึ้นมาเงียบๆ ชนกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในมือเฉินผิงอันเบาๆ ต่างคนต่างดื่มเหล้าอึกใหญ่
จงขุยดื่มเหล้าหมักที่อยู่ในถ้วยหมดแล้วก็ลุกขึ้น “ไปล่ะ”
เฉินผิงอันกุมหมัดน้อมส่งอีกฝ่าย
จงขุยกำลังจะจากไป
เฉินผิงอันเอ่ยเตือนว่า “ไม่ขอสุรารสเลิศจากเจ้าแม่เทพวารีไปสักไหหรือ?”
จงขุยดวงตาเป็นประกาย ชูนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน
เดิมทีเจ้าแม่เทพวารีก็มีนิสัยใจกว้างตรงไปตรงมาอยู่แล้ว ย่อมไม่มีทางตระหนี่กับเรื่องแค่นี้ นางไปหิ้วเหล้ามาสองไห แต่จงขุยกลับมอบเหล้าไหหนึ่งให้เฉินผิงอัน เฉินผิงอันเองก็ไม่เกรงใจ เพิ่งดื่มเหล้าบ๊วยของโรงเตี๊ยมหมดไปพอดี เขาจึงเทเหล้าหมักร้อยปีของจวนปี้โหยวไหนี้ใส่เข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
จงขุยหิ้วไหเหล้าทะยานวูบขึ้นไปกลางอากาศ ไปหยุดอยู่ริมลำคลองหมายเหอ กำลังจะข้ามแม่น้ำไปก็พลันหยุดชะงัก ที่แท้เขามองเห็นจิตหยินของอาจารย์ตัวเองกำลังรอตนอยู่ตรงริมน้ำ
จงขุยรีบเอาไหเหล้าไปซ่อนไว้ด้านหลัง
เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูคือบุรุษวัยกลางคนที่สีหน้าเฉยเมยคนหนึ่ง เขาเดินเลียบริมตลิ่งของลำคลองหมายเหอไปอย่างเชื่องช้า จงขุยติดตามอยู่ด้านหลัง
สำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งในใต้หล้าไพศาล เจ้าขุนเขาเจ็ดสิบสองท่านมีขอบเขตสูงต่ำไม่เท่ากัน คนที่มีตบะสูงสุดก็สูงถึงขอบเขตเซียนเหรินที่เป็นดั่งยอดเขาสูงทะลุชั้นเมฆ แต่เจ้าขุนเขาที่มีขอบเขตแค่ก่อกำเนิดก็มีไม่น้อย เหมือนกับเหมาเสี่ยวตงแห่งสำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่ที่อยู่ในต้าสุยก็เป็นแค่ขอบเขตก่อกำเนิด แต่เจ้าขุนเขาที่นั่งบัญชาการณ์สำนักศึกษา ขอบเขตก่อกำเนิดก็สามารถทัดเทียมกับขอบเขตหยกดิบได้แล้ว ยังคงเป็นตบะที่ใครก็ไม่กล้าดูแคลน
บัณฑิตที่มาจากจวนของอริยะบางท่านคนนี้ เป็นผู้ที่มีขอบเขตไม่สูงไม่ต่ำในบรรดาเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา คือขอบเขตหยกดิบ เมื่ออยู่ในสำนักศึกษาต้าฝูก็เท่ากับตบะเซียนเหรินแล้ว
เพียงแต่ว่าการเดินทางไปยังชายฝั่งทะเลตะวันตกของสำนักฝูจีเพื่อไล่ฆ่าปีศาจใหญ่ตนนั้น เมื่อต้องออกจากสำนักศึกษา ถ้าอย่างนั้นเขาก็เป็นแค่ขอบเขตหยกดิบเท่านั้น
เจ้าขุนเขาเอ่ยเบาๆ “ อีกฝ่ายอาจจะมีวิธีรับมืออย่างอื่นรออยู่ภายหลัง ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าต้องการให้เจ้าทำตัวขี้ขลาดไม่กล้าเดินหน้า แต่หวังให้เจ้าวางแผนให้ดีก่อนลงมือสำหรับทุกเรื่อง ต่อให้เป็นแค่การกำราบภูตผีปีศาจที่อยู่รอบๆ ภูเขาไท่ผิงก็ห้ามประมาทเด็ดขาด”
จงขุยพยักหน้ารับ “ศิษย์เข้าใจแล้ว”
เจ้าขุนเขาหยุดเดิน ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา บนฝ่ามือคือยันต์กระดาษสีเขียวแผ่นหนึ่ง “รับเอาไว้ ใช้ป้องกันตัว”
จงขุยไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ “เมื่อครู่นี้ตอนที่ท่านอาจารย์อยู่ริมลำคลอง ไม่ได้ใช้วิชาอภินิหารมองภาพเหตุการณ์ในจวนปี้โหยวหรือ?”
เจ้าขุนเขาตวาดเบาๆ “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ริมลำคลองหมายเหอ เจ้าเรียกกุ่ยชาของยมโลกมาโดยพลการ ในฐานะเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูนี่ถือเป็นความรับผิดชอบของข้า ข้าจะไม่สืบสาวราวเรื่องให้รู้ชัดเจนได้อย่างไร?! เจ้าอยู่ในจวนปี้โหยว แค่ใช้เวลาอยู่กับสหาย ข้าย่อมไม่มองในสิ่งที่ไม่ควรมอง! หากไม่เป็นเพราะอยู่ต่อหน้าคนนอก ข้าไม่สะดวกจะมอบยันต์แผ่นนี้ให้เจ้า ป่านนี้จิตหยินของข้าก็จากไปนานแล้ว”
จงขุยยิ้ม “ท่านอาจารย์เป็นผู้สูงส่งจิตใจดีงาม ดุจขุนเขาสูงแม่น้ำไหลยาว ศิษย์ได้รับการสั่งสอนแล้ว!”
เจ้าขุนเขาไม่สนใจคำพูดของเขา “ทำไมถึงไม่รับไว้?”
จงขุยได้แต่บอกไปอย่างตรงไปตรงมา “นอกจากพู่กันที่มีวาสนากับข้าด้ามนั้นแล้ว สหายคนนั้นยังมอบกระดาษยันต์สีเขียวให้ข้าแผ่นหนึ่ง เหมือนกับกระดาษแผ่นนี้ของท่านอาจารย์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน”
เจ้าขุนเขาขมวดคิ้ว แล้วจึงเก็บยันต์ในฝ่ามือลงไป ถามเหมือนไม่สบอารมณ์นัก “ของล้ำค่าขนาดนี้ เหตุใดเจ้าถึงยอมรับไว้ง่ายๆ?”
จงขุยอึ้งงัน ก่อนจะตั้งใจขบคิดอยู่ชั่วครู่ “ไม่รู้ว่าเหตุใด แต่รู้สึกเหมือนว่าต้องรับไว้ถึงจะถูก ขออาจารย์โปรดลงโทษด้วย”
เจ้าขุนเขาเงียบงันไปชั่วขณะ “สุรารสดีของจวนปี้โหยวไหนั้น เจ้าไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้ว ในเมื่อได้เจอกับสหายที่ไม่เลว นี่ยังไม่มีค่าพอให้ดื่มสุราอีกหรือ? จำไว้ว่าจะดื่มสุราก็ได้ แต่ห้ามให้การเดินทางไปเยือนภูเขาไท่ผิงล่าช้า อีกอย่าง…อย่าให้มีครั้งหน้า”
จงขุยเกาหัว อาจารย์ของเขาคงไม่ได้ถูกผีสิงหรอกกระมัง?
ความเข้มงวดของอาจารย์เขาเป็นที่เลื่องลือ ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องทำตามกฎเกณฑ์ ทุกเรื่องล้วนต้องรักษามารยาทพิธีการ และเขายังเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาของกุรุทวีปที่หากไม่ลงมือก็ดูปกติธรรมดา แต่พอลงมือทีกลับทำภูเขาถล่มพื้นดินแตกแยกผู้นั้นด้วย
เพียงชั่วลัดนิ้วมือ จิตหยินที่ออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืนตนนี้ก็กลับคืนสู่ร่างจริงที่อยู่ห่างไปไกลอย่างถึงที่สุด
เจ้าขุนเขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เห็นจงขุยผู้เป็นลูกศิษย์คบค้าสมาคมกับคนหนุ่มผู้นั้น เขาอดนึกถึงตอนที่ตัวเองเป็นเด็กหนุ่มไม่ได้ เวลานั้นเขากับลูกหลานจวนอริยะรวมถึงลูกหลานจากสำนักและจวนชนชั้นสูงที่มีชาติกำเนิดพอๆ กัน อายุพอๆ กัน ทุกคนล้วนอิจฉาคนแซ่ฉีเหมือนกันไม่มากก็น้อย
เพราะคนที่เรียกตัวเองว่าอาเหลียงผู้นั้น คนที่พวกเขาเลื่อมใสนับถือมากที่สุดผู้นั้น
ชอบบอกกับคนอื่นว่าเสี่ยวฉีคือเพื่อนของข้า ใครกล้ารังแกเขา ข้าก็จะเล่นงานมันผู้นั้นจนฝาโลงบรรพบุรุษของมันต้องเปิดอ้าออกมา
……
จวนปี้โหยว หลังจากที่จงขุยจากไปแล้ว ประโยคแรกที่เจ้าแม่เทพวารีเอ่ยช่างชวนให้ตื่นตะลึงยิ่งนัก “ข้ารู้ว่าเจ้าเคยพบท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง อีกทั้งยังไม่ใช่แค่การพบกันอย่างผิวเผินเหมือนคนที่เดินสวนไหล่กันด้วย!”
เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้าน “ทำไมตัวข้าถึงไม่รู้เลย?”
เจ้าแม่เทพวารีหลุดหัวเราะพรืด “เจ้ายังเสแสร้งอยู่อีกรึ? จงขุยไม่รู้สถานะของเจ้า มองสายความรู้ของเจ้าไม่ออก นั่นเป็นเพราะเขาไม่ใช่คนสายบุ๋นฝั่งของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งและฉีจิ้งชุนแห่งสำนักศึกษาซานหยา แต่ข้าเป็นใคร? ผลงานทุกชิ้นของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ข้าจำได้ทุกคำ เปิดอ่านมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ปีนั้นที่ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเข้าร่วมการอภิปรายของสามลัทธิสองครั้ง เขาเหมือนท้องนภาที่สูงส่งมากเท่าใด ข้าก็ยิ่งรู้ชัดเจนดีกว่าใคร! ในท้องมีหนังสือและบทกวี บุคลิกย่อมสง่าด้วยตัวเอง อ่านหนังสือต่างกัน ปราณแห่งความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมก็จะต่างออกไป ข้าเป็นใคร? จะดีจะชั่วก็เป็นเทพวารีของลำคลองหมายเหอท่านหนึ่ง วิชาการมองลมปราณนั้นเป็นสิ่งที่ข้าชำนาญยิ่ง!”
มองเจ้าแม่เทพวารีที่พูดจามีหลักมีฐานน่าเชื่อถือ เฉินผิงอันก็ถามยิ้มๆ ว่า “แล้วยังไงต่อ?”
นางพลันหน้าม่อย พลังอำนาจดุดันหายวับไปสิ้น “เจ้าไม่เคยเจอท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เคยเจอสิ”
เจ้าแม่เทพวารีฟุบตัวคว่ำบนโต๊ะ สายตาหม่นหมอง แต่พอได้ยินประโยคนี้กลับกระโดดผลุงขึ้น “เคยเจอ?!”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วมือออกมาข้างหนึ่งบอกเป็นนัยแก่นางว่าพวกเราควรคุยกันเบาๆ
เจ้าแม่เทพวารีเหม่อมองคนหนุ่มที่รู้จักท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งจริงดังที่นางคาด โอ้โหมารดามันเถอะ เหตุใดบนโลกถึงได้มีหนุ่มน้อยที่หล่อเหลาถึงปานนี้?
หรือว่าข้าควรจะมอมเหล้าให้เขาเมามาย จากนั้นก็…กราบไหว้ฟ้าดินสาบานเป็นพี่น้องกัน? เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับตนมีความเกี่ยวข้องกับท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งแล้วไม่ใช่หรือ?
นางเช็ดปากแล้วหัวเราะคิกคักอย่างโง่งม ในใจคิดว่าแผนการนี้ของตนช่างยอดเยี่ยม ไม่เสียแรงที่เคยอ่านตำราอริยะปราชญ์มามากมายขนาดนั้น หนังสือที่อ่านมาไม่เสียเปล่าเลยจริงๆ จะทำให้ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งขายหน้าไม่ได้เด็ดขาด
เฉินผิงอันเริ่มรู้สึกเสียใจที่บอกว่าตัวเองรู้จักเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าแล้ว
—–