บนภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดร้าง ยิ่งนานฝนก็ยิ่งตกหนัก สาดกระทบลงบนเสื้อเกราะของเหล่าทหารชายแดนต้าเฉวียนเสียงดังเป๊าะแป๊ะอย่างถี่กระชั้น
เสื้อเกราะเหล็กที่เหล่าทหารชายแดนสวมใส่กันนี้ ส่วนใหญ่ล้วนมีความเสียหาย เต็มไปด้วยร่องรอยขูดขีดกรีดแทงของทั้งดาบ ทวนและลูกธนู
ฝนใหม่สาดตีลงบนเกราะตัวเก่า
คนจากตระกูลสูงศักดิ์มักไม่พาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย เพื่อให้สวี่ชิงโจวและสวีถงสองคนสามารถลงมือได้อย่างเต็มที่ คว้าโอกาสที่ผุดขึ้นแวบเดียวแล้วหายไปในการสังหารข้ารับใช้สี่คนของเฉินผิงอัน องค์ชายใหญ่หลิวจงจึงถอยไปอยู่กึ่งกลางภูเขาอย่างเงียบเชียบ ข้างกายนอกจากคนรู้ใจหลายสิบคนที่ติดตามเขามาตั้งแต่อยู่บนสนามรบซึ่งให้การคุ้มกันอย่างแน่นหนาแล้ว เสื้อเกราะที่นักรบเดนตายเหล่านี้สวมใส่ยังหนักกว่าของทหารชายแดนที่เปิดฉากสังหารอยู่ตรงวัดร้าง ถือเป็นเสื้อเกราะเหล็กซึ่งทำขึ้นพิเศษสำหรับพลทหารราบ และยังมีผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่ศักยภาพโดดเด่นเหนือคนอื่นอีกสามคน คนหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรซึ่งสามารถใช้ความอบอุ่นหล่อเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่คมกริบออกมาได้ คนหนึ่งคือนักพรตที่ถนัดด้านการเขียนยันต์สร้างค่ายกล ส่วนอีกคนคือผู้ฝึกตนสำนักการหทารที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน
หลิวจงหมายมั่นปั้นมือว่าต้องเด็ดหัวเฉินผิงอันมาให้จงได้ ทว่าเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ เขาจึงไม่คิดจะพาตัวมาเสียท่าอยู่ในภูเขาเล็กๆ ไร้ชื่อแห่งนี้
ในเมื่อหวังฉีวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาที่ไม่รู้ว่าซ่อนตัวอยู่ที่ไหนคนนั้นเต็มใจพาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับแผนการร้ายครั้งนี้ ถ้าอย่างนั้นหลิวจงก็ไม่ค่อยเชื่อใจในตัวของผู้นำเหล่าปัญญาชนในต้าเฉวียนที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งผู้นี้เท่าใดนัก หากไม่เป็นเพราะเงื่อนไขที่เกาซื่อเจินเสนอมาดึงดูดใจมากเกินไป อีกทั้งยังลากเอาแม่ทัพสกุลสวี่และอารามฉ่าวมู่มาด้วย หลิวจงก็คงไม่กล้าเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงครั้งนี้ เขาอยากรู้จริงๆ ว่าสมบัติของจวนปี้โหยวนั้นมีมูลค่าควรเมืองมากแค่ไหนกันแน่ ถึงได้ทำให้วิญญูชนแห่งสำนักศึกษายอมผิดต่อจิตสำนึกดีชั่วของตัวเองมาเป็นคนวางแผนการล้อมสังหารในครั้งนี้
แม้จะบอกว่าหลังจากจบเรื่องหวังฉีย่อมต้องมีเหตุผลไปอธิบายกับเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝู บอกว่าต้องการจับตัว ‘คนจากลัทธิมารนอกรีต’ ที่สวมรอยเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิง และยังสามารถสาดน้ำโคลนใส่หัวเฉินผิงอันได้อีก ยกตัวอย่างเช่นบอกว่าสงสัยว่าคนต่างถิ่นผู้นี้คือปีศาจใหญ่ที่หนีออกมาจากบ่ออเวจี แล้วเปลี่ยนแปลงรูปโฉมตัวตน ถึงได้จำเป็นต้องระดมทหารเกราะเหล็กห้าพันนายของทางทิศเหนือให้มาโอบล้อมภูเขาลูกนี้ แต่หลิวจงกลับไม่รู้สึกว่าการอธิบายเช่นนี้สมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่
แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแล้ว ตอนนี้หวังฉียังคงเป็นวิญญูชนตัวจริงของสำนักศึกษาต้าฝู คำพูดของวิญญูชน ขนาดฮ่องเต้ของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ยังต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาหลิวจงเป็นแค่องค์ชายคนหนึ่ง การพาทหารขึ้นเขาครั้งนี้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ที่สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อตั้งไว้ หลังจากที่สังหารเฉินผิงอันผู้นั้นไปแล้ว หวังฉีจะอธิบายกับทางสำนักศึกษาอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่เขาหลิวจงจะเข้าไปยุ่งด้วยได้แล้ว
แต่ตอนที่หวังฉีออกจากเมืองเซิ่นจิ่งมาอย่างลับๆ แล้วมาหาเขาที่ชายแดน ได้บอกให้เขาหลิวจงรู้ถึงสายลับที่หลี่หลี่ขันทีผู้คุมตรากองทัพม้าซ่อนไว้อย่างหมดเปลือก บอกตามตรง ตอนนั้นหลังจากรู้คดีของนักรบเดนตายที่กระจายตัวไปตามจวนใหญ่แห่งต่างๆ ในเมืองหลวง ในยุทธภพของต้าเฉวียน และในสำนักบนภูเขาแล้ว หลิวจงตกตะลึงอย่างหนัก ขันทีหลี่หลี่ถูกขนานนามให้เป็นโซ่วกงไหวแห่งต้าเฉวียน ทว่าอำนาจของเขากระจายไปไกล เส้นสายเชื่อมโยงพัวพันอยู่ทั่วต้าเฉวียนตั้งแต่เมื่อไหร่?
ในฐานะวิญญูชนที่มีคุณวุฒิสูง มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งภาคกลางของใบถงทวีป หวังฉีไปผูกสัมพันธ์กับขันทีในวังหลวงคนหนึ่งได้อย่างไร?
ต่อให้ชื่อเสียงของหลี่หลี่ในราชสำนักจะดีแค่ไหน ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ตาแก่หนังเหนียวที่ไม่มีนกเขาอยู่ในกางเกงเท่านั้น เมื่อเทียบกับเจ้าวิญญูชนหวังฉีแล้วแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
แต่หลี่หลี่ตายไปก็ดีเหมือนกัน ขันทีเฒ่าผู้นี้ชื่นชอบองค์ชายสามที่เป็นดั่งสำลีซ่อนเข็มมานานมากแล้ว น่าสงสารก็แต่เหล่าซานที่วางแผนอย่างยากลำบากมาสิบกว่าปี ยอมพาตัวไปเสี่ยงอันตราย แทรกซึมเข้าไปใจกลางของเป่ยจิ้นอย่างไม่กลัวตาย กว่าจะทำลายศาลเทพวารีทะเลสาบซงเจินและจวนเทพภูเขาหวงจินติดต่อกันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กลับพาเกาซู่อี้ไปให้คนฆ่าตายในถิ่นของตระกูลเหยา แม้แต่หลี่หลี่ผู้ไร้ศัตรูเทียมทานในหนึ่งแคว้นก็ยังล้มเหลวในช่วงเวลาสุดท้าย ไม่ระวังเพียงก้าวเดียวก็แพ้ทั้งกระดาน คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต สวรรค์อยู่ข้างข้าหลิวจงจริงๆ!
ทว่าหลิวจงกรีฑาทัพอยู่ทางชายแดนเหนือมานานหลายปี บัญชาการณ์ทหารชายแดนฝีมือดีหลายแสนนาย ตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูบนสนามรบอยู่หลายครั้งยังไม่เคยหวาดกลัว แต่เขากลับค้นพบว่าวันนี้ตนตึงเครียดอย่างที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้
……
หน้าวัดร้าง เว่ยเซี่ยนยังคงทำเหมือนศึกในโรงเตี๊ยม หนึ่งคนเป็นหน้าด่าน แค่เฝ้าหน้าประตูใหญ่ไว้ให้ได้ก็พอ หากทหารเสื้อเกราะของต้าเฉวียนรุดหน้ามารนหาที่ตาย เว่ยเซี่ยนย่อมไม่เกรงใจ
สวมใส่เสื้อเกราะน้ำค้างหวานซีเยว่ เดิมทีก็ไม่ต้องหวาดกลัวดาบและธนูธรรมดาอยู่แล้ว แค่ปล่อยให้มันฟันผ่า สาดยิงมาโดนเสื้อเกราะก็เท่านั้น จากนั้นแค่ปล่อยหมัดหมัดเดียว ทหารชุดเกราะที่กล้าพาตัวเขามาใกล้ก็ล้วนปลิวหวือออกไปไกล ส่วนศพบางส่วนที่อยู่ใกล้กับประตูวัดก็จะถูกเว่ยเซี่ยนใช้ปลายเท้าเตะให้กระเด็นออกไป ความคิดของฮ่องเต้คือ ข้างเตียงตนจะปล่อยให้คนอื่นมานอนกรนได้อย่างไร แต่ความคิดของเว่ยเซี่ยนในเวลานี้คือ จุดที่ตนยืนอยู่จะปล่อยให้ศพนอนเกะกะสายตาได้อย่างไร
มีเพียงแค่บางครั้งที่ลูกธนูทำขึ้นพิเศษซึ่งซุกซ่อนความลี้ลับสาดยิงเข้ามา เว่ยเซี่ยนถึงจะเบี่ยงตัวหลบ ลูกธนูเหล่านั้นทุกดอกล้วนเป็นลูกธนูเทพที่มือธนูซึ่งมีพละกำลังแข็งแกร่งง้างสุดสายยิงออกมา
เมื่อเปรียบเทียบกับการเข่นฆ่าทางฝั่งของจูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธ์แล้ว การลงมือของเว่ยเซี่ยนสามารถใช้คำว่า ‘นุ่มนวลดุจปุยฝ้าย’ มาบรรยายได้จริงๆ
เบี่ยงหลบและขยับประชิดตัว เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องกันไป ขอแค่ปล่อยให้จูเหลี่ยนขยับเข้ามาประชิดหรืออยู่ห่างแค่หนึ่งช่วงแขน ทหารชุดเกราะที่อยู่ในบริเวณนั้นล้วนมีจุดจบที่น่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้ทั้งสิ้น เสื้อเกราะแตกยับ ฝังเข้าไปในร่าง เลือดเนื้อปนกันเละเทะ ไม่เพียงแต่ตายคาที่ ยังตายด้วยสภาพอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด
สนามรบที่สุยโย่วเปียนอยู่มีแสงกระบี่สาดประกายครั้งแล้วครั้งเล่า หนึ่งกระบี่ปาดขวางออกไป ทหารชุดเกราะหลายคนรวมถึงต้นไม้ต่างก็ถูกฟันขาดครึ่งท่อน การเข่นฆ่าสังหารดำเนินไปถึงท้ายที่สุด รอบกายของสุยโย่วเปียนห่างออกไปไม่กี่ก้าวกลับไม่มีต้นไม้สูงเหลืออยู่เลยแม้แต่ต้นเดียว
ทางฝ่ายของหลูป๋ายเซี่ยง ในมือมีเพียงหยุดหิมะสมบัติอาคมสืบทอดของสกุลหวนแห่งป้อมอินทรีบิน เดินๆ หยุดๆ บ้างก็เหยียบลงบนกิ่งไม้เหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ เรือนกายพุ่งวูบหายอยู่เป็นระยะ มีเพียงคมดาบของหยุดหิมะที่มีพายุลมกรดไหลรินเท่านั้นที่ปลดปล่อยเส้นแสงสีขาวหิมะค้างไว้อย่างยาวนานท่ามกลางม่านฝนมืดดำนี้
เวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งก้านธูป ทหารยอดฝีมือของชายแดนต้าเฉวียนก็ตายไปแล้วถึงหกร้อยศพ นี่ยังเป็นเพราะสาเหตุที่ว่าในผืนป่าบนภูเขาไม่สะดวกให้ทหารเหล่านั้นกรูกันเข้ามารวดเดียวด้วย
เฉินผิงอันที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูวัดมาโดยตลอดก้มหน้าลงแล้วคลี่ยิ้ม
คนจิ๋วดอกบัวกระโดดออกมาปรากฏตัวอยู่บนพื้นดิน มันโบกแขนเล็กๆ ที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวให้เขา ทำเสียงอือๆ อาๆ จากนั้นก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งให้เฉินผิงอันดู
เฉินผิงอันมองตามทิศทางที่เจ้าตัวน้อยชี้ไป นั่นคือจุดที่สูงที่สุดของยอดเขาแห่งหนึ่ง ความหมายของคนจิ๋วดอกบัวก็คือมีคนสองคนยืนชมศึกอยู่ตรงนั้น ร้ายกาจอย่างมาก ขนาดมันยังไม่กล้าเข้าใกล้ภูเขาลูกนั้นมากนัก
เฉินผิงอันถามเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเห็นคนหนุ่มคนหนึ่งที่สวมกวานดอกบัว สวมชุดนักพรตเต๋าหรือไม่?”
คนจิ๋วดอกบัวส่ายหน้าโบกมืออย่างแรง
เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้มันแล้วพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “เข้าไปหลบในวัดเถอะ”
คนจิ๋วดอกบัวพยักหน้ารับแรงๆ ฝีเท้าก้าวว่องไวราวกับบิน กระโดดหนึ่งครั้งก็ข้ามธรณีประตูสูงเข้าไป เห็นเผยเฉียนที่กำลังเรอเสียงดัง มันก็ไม่ค่อยเต็มใจขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายนัก ครั้งแรกที่เห็นนาง มันไม่ชอบนางสักเท่าไหร่ แต่ตอนหลังคงเป็นเพราะไม่ได้รู้สึกรังเกียจเท่าเดิม บางครั้งจึงมาโผล่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันบ้าง มีครั้งหนึ่งมันเพิ่งจะโผล่ออกมาจากดินก็ถูกเผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือเขกหัวกลับลงไป มันหลบได้ไวมาก แล้วไปโผล่หัวตรงตำแหน่งอื่น เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าไล่กวดไปรอบด้าน ผลกลับถูกมันหยอกเล่นจนนางหมดเรี่ยวหมดแรง แต่ก็ไม่สามารถตีโดนมันเลยสักครั้ง สุดท้ายยังถูกเฉินผิงอันดึงหูเดินไปหนึ่งลี้ เจ็บจนนางร้องไห้จ้าเสียงดัง
เห็นเผยเฉียนทำท่าลับๆ ล่อๆ คล้ายคิดจะไปหยิบไม้เท้าเดินป่ามา คนจิ๋วดอกบัวก็เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว ครั้งนี้มันกลับไม่กลัวนางแม้แต่น้อย จึงเดินตรงไปหยุดอยู่ข้างเท้าเผยเฉียนแล้วนอนเหยียดตัวตรงลงบนพื้น
เผยเฉียนหยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมา ลังเลอยู่พักใหญ่ ชำเลืองตามองแผ่นหลังของเฉินผิงอันที่อยู่หน้าประตูวัด สุดท้ายก็โยนไม้เท้าเดินป่าทิ้ง ทรุดตัวลงนั่งยอง ยิ้มตาหยีพูดว่า “เจ้าต่างหากที่เป็นตัวขาดทุน ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย วันหน้าพ่อข้าต้องเอาเจ้าไปขายแลกเงินแน่ๆ ถึงเวลานั้นข้าก็จะได้ซื้อถังหูลู่หอบใหญ่ จุ๊ๆๆ อร่อยจริงๆ”
คนจิ๋วดอกบัวโมโหเลยพลิกตัวนอนตะแคง ไม่มองหน้าเด็กหญิงผอมดำอีก
เผยเฉียนยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาจิ้มรอยบุ๋มตรงแขนของเจ้าตัวน้อย “เจ้าตัวขาดทุนน้อย วันหน้าหากเจ้ามาเป็นลูกสมุนของข้า ข้าก็จะไม่บอกให้พ่อข้าขายเจ้าแลกเงิน ดีไหม?”
คนจิ๋วดอกบัวกลิ้งตัวออกไปนั่งขัดสมาธิอยู่ห่างไปไกล ท่าทางเหมือนตอนที่เฉินผิงอันนั่งอ่านหนังสืออย่างมาก
เผยเฉียนเหลือกตามองบน พูดสั่งสอนอย่างจริงใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้ามีเงินมากแค่ไหน? ข้ามีกล่องใบหนึ่งที่เรียกกันว่ากล่องเก็บสมบัติ ด้านในใส่สมบัติเอาไว้มากมาย วันหน้าเจ้าต้องหัดเคารพข้าให้มากกว่านี้หน่อย เข้าใจไหม? หากเจ้าเป็นเด็กดี ยอมเป็นลูกสมุนของข้า ไม่แน่ว่าวันไหนข้าอาจแสดงความเมตตา หยิบเหรียญทองแดงสวยๆ เหรียญหนึ่งออกมาจากด้านใน โบกมือแล้วพูดเลียนแบบเหล่าเว่ยว่า ตบรางวัล!”
สีหน้าของคนจิ๋วดอกบัวไม่เปลี่ยนแปลง
เผยเฉียนจึงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าตัวขาดทุนน้อยผู้นี้ ทำไมถึงได้ไม่รู้ความเอาเสียเลย? เชื่อหรือไม่ว่าคืนนี้ข้าก็จะเรียนวิชากระบี่ล้ำโลกได้สำเร็จแล้ว และทุกครั้งที่เจ้าโผล่หัวออกมาก็จะต้องทิ่มหัวเจ้าให้ปูดบวม? เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าสามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าหลบอยู่ตรงไหนในใต้ดิน?”
คนจิ๋วดอกบัวเริ่มหวาดกลัวเล็กน้อยจึงหันหน้าไปมองเฉินผิงอันด้วยท่าทางน่าสงสาร
เผยเฉียนรีบยิ้มประจบทันที “ล้อเจ้าเล่นหรอกน่า ทำไมเจ้าถึงทนการหยอกล้อไม่ได้เลยนะ?”
เฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าประตูวัดเริ่มสงบใจได้แล้ว
ในเมื่อรู้ว่าบนยอดเขาลูกนั้นมีคนสองคนชมไฟชายฝั่งอยู่ อย่างน้อยก็พอจะมั่นใจได้บ้าง ไม่กลัวว่าจะถูกฆ่าตายโดยไม่ทันตั้งตัว
เขาเดาได้ว่าคนหนึ่งในนั้นมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาที่เฝ้าพิทักษ์เมืองเซิ่นจิ่ง
วิญญูชนเจิ้งเหรินเขาเคยพบเจอมาก่อนแล้ว คนผู้นั้นก็คือจงขุย
ปากอมกฎสวรรค์ของอริยะสำนักศึกษาก็เคยได้ยินมาที่หมู่บ้านกระบี่แคว้นซูสุ่ย
คิดดูแล้วครั้งนี้เขาก็แค่มาเจอกับวิญญูจนจอมปลอมคนหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องประหลาดใจ
ความรู้เล็กหรือใหญ่ก็แน่เสมอไปว่าจะเกี่ยวข้องกับคุณธรรมมากหรือน้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาต่างก็กำลังฝึกตน บนเส้นทางของการบำเพ็ญตน ยิ่งเดินขึ้นจุดสูงของภูเขาไปเป็นเทพเซียน ลมฝนบนภูเขาก็จะยิ่งพัดรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าสิ่งล่อลวงใจมากเท่าไหร่ อันตรายก็ยิ่งมากตามไปด้วย การที่จะรักษาจิตใจดั้งเดิมของตัวเองไว้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ตอนนั้นที่อยู่จวนปี้โหยว ได้เห็นปีศาจใหญ่ใต้ลำคลองที่เปิดฉากสังหารอยู่กับเจ้าแม่เทพวารี เฉินผิงอันก็รู้สึกประหลาดใจแล้วว่า เหตุใดทางราชสำนักถึงปล่อยปละละเลย ไม่สนใจปีศาจตัวนี้
ไม่แน่ว่าสิ่งที่วิญญูชนผู้นั้นต้องการอาจจะไม่ได้อยู่ที่หลักการของอริยะปราชญ์มานานแล้ว ไม่ได้มีความคิดที่จะอบรมสั่งสอนให้ปวงประชาทำความดี แต่แสวงหาความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลายของตัวเอง หรือไม่ก็ของนอกกายอย่างอื่น ยกตัวอย่างเช่น…คาถาเซียนที่ ‘สามารถหล่อหลอมหมื่นสรรพสิ่ง’ บนแผ่นหยกชิ้นนั้น
ทรัพย์สินของมีค่าทำให้ใจคนสั่นคลอนได้เสมอ
หากความปรารถนาในการเป็นอมตะจะทำให้จิตใจของวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาท่านหนึ่งที่อายุมากแล้วหวั่นไหวจนเลือกเดินทางผิด แล้วจะแปลกอะไรเล่า
ลูกศิษย์ใหญ่ของอริยะอย่างชุยฉาน ตอนที่อยู่ในจุดสูงสุดของชีวิต ได้เป็นเซียนเหรินขอบเขตสิบสองก็เลือกเดินเส้นทางหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
แต่คนที่เฉินผิงอันกริ่งเกรงมากที่สุดกลับเป็น ‘นักพรตหนุ่มแห่งภูเขาไท่ผิง’ ที่เพียงแค่ลงมือครั้งเดียวก็ทำให้ตนตกอยู่ในอันตรายได้แล้วคนนั้น
และก็เป็นคนผู้นี้ที่เดินทางมาเยือนจุดพักม้าเมืองฉีเห้อ เป็นคนมอบป้ายหยกลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ถึงมือเฉินผิงอันด้วยตัวเอง
จนกระทั่งหลิวจงที่คิดว่าตัวเองกุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคงจึงเผยความลับออกมาเสี้ยวหนึ่ง ถึงทำให้เฉินผิงอันตระหนักได้ถึงความผิดปกติ
การที่คราวนี้เฉินผิงอันที่ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังรอบคอบมาโดยตลอดถูกคนผลักจนล้มเค้เก้ไม่เป็นท่า ก็เพราะก่อนหน้านี้ความรู้สึกที่เขามีต่อภูเขาไท่ผิงดีเยี่ยมมากเกินไป
สะพายกระบี่ปราณยาวเล่มที่เป็นของเฉินชิงตูผู้ฝึกกระบี่ใหญ่ไว้ด้านหลังจับผลัดจับผลูเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว ถงชิงชิงและฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซินอาศัยกระจกทองแดงบานนั้น ร่างกายและจิตวิญญาณจึงผสานรวมเป็นหนึ่ง กลายมาเป็นนักพรตหญิงหวงถิง
ความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อนางดีมาก
หลังจากนั้นก็เป็นเทียนจวินผู้เฒ่าบรรพจารย์แห่งภูเขาไท่ผิงคนนั้น เพื่อสังหารวานรขาวสะพายกระบี่ เขาถึงกับปล่อยให้กระบี่เซียนสองเล่มซึ่งประกอบกันเป็นค่ายกลใหญ่พิทักษ์ขุนเขาถูกทำลายลงโดยไม่เสียดาย และเพื่อช่วยดวงวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของจงขุยเอาไว้ ก็ถึงกับยอมให้ขอบเขตตัวเองถดถอยอย่างไม่อาลัย
ความประทับใจที่มีต่อเขาจึงยิ่งดีเยี่ยม
ครั้งแรกสุดที่ได้รู้จักภูเขาไท่ผิงก็คือตอนที่ไปเยือนป้อมอินทรีบินร่วมกับลู่ไถ ทำลายแผนการร้อยปีของผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองที่ชั่วร้ายซึ่งเป็นตัวการร้ายของหายนะทุกอย่างในป้อมอินทรีบิน ผู้ฝึกตนนอกรีตขอบเขตโอสถทองผู้นั้นเกือบจะใช้ภูเขากดทับสังหารเฉินผิงอันได้สำเร็จ และพยายามจะเลี้ยงทารกผีให้ก่อกำเนิดขึ้นในหัวใจของฮูหยินแห่งป้อมอินทรีบิน ก่อนหน้านั้นนักพรตแห่งภูเขาไท่ผิงที่ไล่ฆ่าโอสถทองเฒ่าผู้นี้ก็น่าจะเป็นหวงถิงที่ยังไม่ใช้ตัวตนเจ๋อเซียนไปเยือนพื้นที่มงคล
ย้อนกลับไปนานยิ่งกว่านั้น ตามคำบอกของลู่ไถ เป็นเพราะนักพรตใหญ่ก่อกำเนิดของภูเขาไท่ผิงคนหนึ่งที่ไร้ความหวังว่าจะได้เป็นอมตะ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตวิญญาณล้วนเสื่อมโทรม เขารู้ดีว่าอายุขัยของตัวเองใกล้สิ้นสุดลงจึงเริ่มออกเดินทางท่องไปทั่วหล้า พยายามทำความดีให้แก่ล่างภูเขาให้ได้มากที่สุด
ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเกิดความขัดแย้งกับเซียนดินโอสถทองที่นิสัยดุร้ายคนหนึ่งของสำนักฝูจีเข้า ทั้งสองฝ่ายประหัตประหารกันอย่างรุนแรง ฝ่ายหลังคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายที่มีพลังชีวิตเบาบางจะเป็นถึงก่อกำเนิดท่านหนึ่ง
ถูกไล่ฆ่าไปจนถึงบริเวณใกล้เคียงกับภูเขาก่อนที่จะกลายมาเป็นป้อมอินทรีบินในปัจจุบัน เขายอมให้พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย จึงร่ายใช้วิชาอัญเชิญเทพของสำนักฝูจี แต่กลับไม่ได้เชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงมา กลับกลายเป็นว่าใช้แก่นเลือดแห่งชะตาชีวิตเป็นค่าตอบแทน ร่ายเวทลับเรียกร่างจำแลงของปีศาจยักษ์ใหญ่แห่งยุคบรรรพกาลตัวหนึ่งมาแทน ต่อสู้กันจนสุดท้ายตายดับตามกันไป
สู้กันจนพื้นที่ใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสองมีปราณหยินมารวมตัวกัน แทบไม่ต่างจากเศษซากสนามรบที่ฝังกระดูกของทหารหลายแสนนายเอาไว้
ถึงได้มีแผนการชั่วร้ายของผู้ฝึกตนนอกรีตโอสถทองซึ่งผลักเรือตามน้ำตามมาในภายหลัง
ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนักพรตของภูเขาไท่ผิง ไม่ว่าจะเป็นได้ยินมากับหู หรือได้เห็นมากับตาล้วนทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเลื่อมใส
ขนาดดาบแคบหยุดหิมะที่อยู่ในมือของหลูป๋ายเซี่ยงตอนนี้ก็ยังเป็นของตกทอดของเซียนดินก่อกำเนิดที่รบตายอย่างกล้าหาญคนนั้น
ดังนั้นพอได้ป้ายหยกศาลบรรพจารย์แผ่นนั้นมา เฉินผิงอันจึงไม่คิดอะไรมาก คิดเพียงว่าหลังจากบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิงไปจากจุดพักม้าแล้วเกิดใจอยากปกป้องเขา หรือไม่ก็เป็นจงขุยที่ช่วยพูดให้ ถึงได้ให้กระบี่บินนำของมาส่งอย่างรีบร้อน แล้วมอบหมายให้นักพรตที่อยู่บริเวณใกล้เคียงนำแผ่นหยกป้องกันตัวมามอบให้แก่เฉินผิงอัน
ตอนนี้ดูท่าแล้วน่าจะเป็นเขาเฉินผิงอันที่คิดเองเออเอง
—–