ตอนที่ 379 พลังแห่งวัยเยาว์

บทที่ 379 พลังแห่งวัยเยาว์

หลินชิงเหอพอจะรู้ว่าพี่สาวใหญ่ต้องรู้สึกคับข้องใจ แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เธอไม่ใช่คนที่สนใจความคิดของผู้อื่น

มันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเธอที่ต้องเอาตัวเองไปคิดถึงคนอื่น คนที่เหมาะสมเธอก็รับไว้ คนที่ไม่เหมาะ เธอจะไม่ยอมใช้งานอย่างเด็ดขาด ต่อให้คนคนนั้นเป็นลูกของเธอเองก็ตาม สำหรับคำอธิบายน่ะเหรอ? ไม่มีให้หรอก

หลินชิงเหอวางแผนให้กังจือมาที่นี่ พอเขาเริ่มคุ้นเคยกับงานแล้ว เธอจะให้หู่จือพี่ชายของเขาลองออกไปตั้งร้านค้าแผงลอยดู

หลังจากฝึกงานไปสัก 1-2 ปีแล้ว เธอค่อยดูอีกทีว่าหู่จือมีความตั้งใจอยากจะออกไปทำธุรกิจเองหรือเปล่า

ถ้าตั้งใจอย่างนั้น เธอจะสนับสนุนเขาเอง

ส่วนที่ร้าน เธอก็แค่หาคนอื่นมาดูแลแทน

การที่เธอพาหลานชายและหลานสาวเหล่านี้มาที่นี่ ก็เพราะต้องการให้พวกเขาก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในยุคใหม่นี้ ไม่ใช่เป็นเพราะเธอต้องการให้พวกเขามาทำงานให้เธอไปชั่วชีวิต

เพียงชั่วพริบตาเดียวก็เข้าสู่เดือนมิถุนายน ถึงเวลาการสอบคัดเลือกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของโจวหยางและโจวอู่นีแล้ว

เนื่องจากพี่ชายสามและสะใภ้สามอยู่ในอำเภอ ทำให้พี่ชายใหญ่และสะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับโจวหยาง พวกเขาปล่อยให้พี่ชายสามและสะใภ้สามเป็นคนดูแลเรื่องให้ทั้งหมด

ความสัมพันธ์ระหว่างสะใภ้รองกับสะใภ้สามอยู่ในขั้นเลวร้ายก็จริง แต่สำหรับสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามแล้วยังดีอยู่มาก อีกทั้งการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากจึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะต้องช่วยดูแลให้

เนื่องจากการสอบมีหลายวิชา ทำให้ต้องใช้เวลาในการสอบถึง 3 วันจึงจะแล้วเสร็จ ทั้งโจวหยางและโจวอู่นีพยายามอย่างสุดความสามารถในการสอบครั้งนี้

พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมากในระหว่างการสอบ ตอนนี้เมื่อมันจบลงแล้ว พวกเขาก็สามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่เสียที

ไม่ว่าจะเป็นโจวหยางหรือโจวอู่นีต่างก็เตรียมตัวพร้อมที่จะเดินทางไปปักกิ่งเมื่อวันหยุดเริ่มต้นขึ้น

พอโจวหยางมาถึงที่บ้าน สะใภ้ใหญ่ก็บอกเรื่องที่จะให้พวกเขาพากังจือไปเมืองหลวงด้วยกัน

ดังนั้นโจวหยางจึงไปที่บ้านคุณป้ารองเพื่อแจ้งข่าวให้กังจือเตรียมตัว เพราะพวกเขาจะต้องออกเดินทางไปปักกิ่งด้วยกันในวันพรุ่งนี้

ทั้งนี้ การเดินทางต้องใช้เวลาหลายวัน ปิดเทอมภาคฤดูร้อนยาวนานกว่าช่วงอื่นก็จริง แต่ถ้าพวกเขาสอบผ่านก็ต้องกลับมารายงานตัวที่มหาวิทยาลัยล่วงหน้า ดังนั้นจึงเหลือเวลาไม่มากนัก

ทันทีที่สอบเสร็จและปิดเทอมแล้ว พวกเขาจึงได้รีบออกเดินทางไปเมืองหลวงให้เร็วที่สุด

เมื่อถึงเวลาประกาศผลสอบ พวกเขาก็แค่โทรศัพท์กลับมาสอบถามทางบ้าน

ดังนั้นในวันที่สองหลังการสอบเข้ามหาวิทยาลัย โจวหยางและโจวอู่นีซึ่งมีประสบการณ์ ก็พากังจือผู้ที่เพิ่งเคยเดินทางไกลเป็นครั้งแรกไปปักกิ่งด้วยกัน

ไม่ว่าจะเป็นรถโดยสารหรือรถไฟ สำหรับกังจือแล้วก็เปรียบได้กับสาวน้อยที่เพิ่งเคยได้นั่งเกี้ยวเป็นครั้งแรกในชีวิต ช่างเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากจริง ๆ

เขายิ่งคาดหวังถึงอนาคตในเมืองหลวงมากขึ้นกว่าเดิม

เขากำลังคิดว่า ถ้าเมืองหลวงยอดเยี่ยมแล้วละก็ ต่อไปในอนาคตเขาจะตั้งรกรากอยู่ที่นั่น และจะทำงานให้คุณอาของเขาไปตลอดชีวิตเลย!

เนื่องด้วยปีนี้พวกเขาต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงได้ปิดภาคเรียนเร็วกว่าปกติ

ตอนที่โจวหยาง โจวอู่นีและกังจือเดินทางมาถึงนั้น ยังไม่ถึงกำหนดวันหยุดของหลินชิงเหอเลย วันหยุดของเธอจะเริ่มในอีกราว ๆ ครึ่งเดือนต่อจากนั้น

เมื่อทั้ง 3 คนเดินทางมาถึง หลินชิงเหอดีใจมาก

เธอขอให้โจวชิงไป๋ทำอาหารเพิ่มขึ้นอีก 3 อย่างนอกเหนือจากอาหารตามปกติ รวมทั้งมีเครื่องดื่มบนโต๊ะอาหารด้วย ถือว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับพวกเขา

ระหว่างการรับประทานอาหารบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก ตอนที่โจวหยางและคนอื่นมาถึง สวี่เชิ่งเหม่ยไม่ได้อยู่ด้วย ร้านเสื้อผ้าปิดแล้ว สวี่เชิ่งเหม่ยจึงไปที่บ้านของคุณตาคุณยาย

หล่อนจึงยังไม่รู้ว่ามีคนเดินทางมาที่นี่

แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหล่อน ทางท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวมีอาหารสำหรับในส่วนของหล่อนให้แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ไปตามหล่อนกลับมา

“ไปหาคุณปู่คุณย่าที่บ้านโน่นก่อน แล้วค่อยกลับมาเอาเสื้อผ้าไปโรงอาบน้ำนะ” หลินชิงเหอกล่าวพลางโบกมือไล่เมื่อจบจากมื้ออาหารแล้ว

โจวเฉวี่ยนอยู่ต่อเพื่อทำความสะอาด โจวกุยหลาย หู่จือและโจวเอ้อร์นีเป็นคนพาพวกเขาไป

เมื่อพวกเขามาถึง ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวมีความสุขมากเมื่อได้เจอหลานที่เพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จ และหลานชายจากทางฝั่งลูกสาว

“กินอะไรกันมาหรือยังจ้ะ?” ท่านแม่โจวเอ่ยถามขึ้นมาทันที

“พวกเรากินกันมาจากที่บ้านคุณน้าแล้วครับ อาหารอย่างกับเป็นงานเลี้ยงใหญ่โตเลย!” กังจือตอบ

พี่สามของเขาไม่ได้หลอกเขาจริง ๆ ด้วย อาหารยอดเยี่ยมเสียจนเขาปลาบปลื้มมาก จากที่กลัวว่าจะไม่พอกิน กลายเป็นได้กินจนแน่นท้อง!

โจวเสี่ยวเหมยก็ดีใจมากเช่นกัน “อาไม่แปลกใจที่โจวหยางกับโจวอู่นีมาที่นี่ แต่กังจือนี่สิ ทำไมแม่ของเธอถึงเต็มใจให้มาด้วยล่ะ? ใกล้จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวประจำฤดูร้อนเต็มทีแล้ว”

“คุณน้าสะใภ้เป็นคนเรียกตัวผมให้มาที่นี่ แม่ก็เลยเห็นด้วยครับ” กังจือให้คำตอบที่น่าอัศจรรย์ใจ

ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวถึงกับตกตะลึง พวกเขาคิดว่าหลานชายแค่มาเที่ยวเปิดหูเปิดตาเท่านั้น สะใภ้สี่อนุญาตให้กังจือมาอยู่ที่นี่งั้นหรือ?

“อาไม่เคยได้ยินพี่สะใภ้สี่พูดถึงเรื่องนี้เลย เธอจะมาทำงานที่ร้านไหนล่ะ? ดูเหมือนว่าจะไม่มีร้านไหนขาดคนอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?” โจวเสี่ยวเหมยถามพร้อมกับมองไปที่หู่จือ

“คุณน้าสะใภ้บอกว่าจะให้กังจือมาทำงานแทนผม แล้วจะให้ผมออกไปตั้งร้านแผงลอยที่ถนนเองเพื่อฝึกความกล้าครับ” หู่จือตอบขณะที่เกาศีรษะของตนเองไปด้วย

เขารู้สึกว่าตัวเองมีความกล้ามากแล้ว แต่กลับยังไม่ถึงความคาดหวังที่คุณน้าสะใภ้ตั้งไว้ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องฝึกฝนต่อไป

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเชื่อฟังคุณน้าสะใภ้ของเธอนะ” โจวเสี่ยวเหมยพูด

การจัดการของพี่สะใภ้สี่ไม่มีทางจะผิดพลาดได้ เธอต้องมีเหตุผลบางอย่าง

“ในเมื่อเธอมาที่นี่แล้ว ก็ต้องตั้งใจทำงานให้ดี ดีนะที่เชิ่งเหม่ยไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ไม่อย่างนั้นจะต้องมีความเห็นในเรื่องนี้แน่ ๆ” โจวเสี่ยวเหม่ยตั้งข้อสังเกต

“เชิ่งเหม่ยจะมีความเห็นอะไรได้?” ท่านแม่โจวถาม

“พี่สาวใหญ่ต้องการให้เชิ่งเฉียงมาที่นี่ แต่พี่สะใภ้สี่ไม่เห็นด้วย ตอนนี้กลับอนุญาตให้กังจือมา แล้วพี่สาวใหญ่กับเชิ่งเหม่ยจะไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ได้ยังไงล่ะคะ?” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ยออกมาตรง ๆ

หล่อนรู้สึกว่าพี่สะใภ้สี่กำลังทำในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นคุณค่า การช่วยส่งเสริมคนในครอบครัวของตัวเองกลับทำให้เกิดปัญหาขึ้นมากมาย

“ถ้าพวกเขามีความสามารถมากพอก็มาที่นี่ได้ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องมา” ท่านพ่อโจวพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย

“ความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้สี่กับพี่สาวใหญ่ของแกก็ไม่ได้แย่ นี่ต้องเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของเฉียงจือเอง ไม่อย่างนั้นทำไมพี่สะใภ้สี่ของแกถึงยอมให้เชิ่งเหม่ยมา แต่ไม่ยอมให้เฉียงจื่อมาล่ะ?”

โจวเสี่ยวเหมยยิ้มพลางพูดสั่งสอนว่า “พี่สะใภ้สี่ไม่ใช่คนที่ชอบพูดอธิบายอะไรกับคนอื่น หล่อนเรียนหนังสือด้วยตัวเองโดยที่คนทั้งหมู่บ้านไม่รู้เรื่อง พากันคิดไปว่านี่เป็นผู้หญิงที่ขี้เกียจที่สุดในหมู่บ้าน เรื่องเคยเป็นแบบนี้ และตอนนี้มันก็ยังคงเป็นแบบนี้อยู่ พี่สะใภ้สี่เป็นคนที่ดีจริง ๆ ตราบใดพวกเธอที่ไม่ทำตัวเหลวไหลและมีเล่ห์เหลี่ยม ไม่ว่าจะเป็นหลานชายหรือว่าหลานสาว หล่อนก็จะให้ความสำคัญอย่างเท่าเทียมกันหมด ได้แต่หวังว่าเด็ก ๆ อย่างพวกเธอจะไม่รู้สึกอึดอัดใจ แล้วมาทำร้ายความจิตใจของพี่สะใภ้สี่ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องนะ”

“คุณอาเล็กคะ จะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่ค่ะ” โจวเอ้อร์นีสั่นศีรษะ

“ใช่ครับ คุณน้าเล็กไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลยครับ” หู่จือรีบพูดยืนยัน

คุณน้าสะใภ้เป็นคนเข้มงวดและยุติธรรมมาโดยตลอด เธอปฏิบัติต่อพวกเขาดีหรือไม่ พวกเขาต่างรู้อยู่แก่ใจ แม้แต่หู่จือก็ยังรู้สึกเลื่อมใสคุณน้าสะใภ้ของเขา

แม้ว่าในชีวิตนี้ เขาจะไม่เคยได้เห็นผู้หญิงมามากมายนัก แต่เขารู้ดีว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะหาผู้หญิงแบบคุณน้าสะใภ้ได้ในโลกกว้างใหญ่ใบนี้

แล้วเรื่องที่ทำให้ไม่พอใจล่ะ? แน่นอนว่าไม่มี

หลังจากที่ได้เห็นพวกเขาแสดงความคิดเห็นของตัวเองแล้ว โจวเสี่ยวเหมยก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ จากนั้นเธอก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้จึงถามว่า “อ๋อ ใช่ แล้วเชิ่งเหม่ยล่ะ อยู่ที่ไหน?”

“หล่อนไปบ้านที่อยู่ติดกันนี่แหละ แม่เฒ่าหูขอให้ไปช่วยทำพื้นรองเท้าให้ สายตาของหล่อนเห็นไม่ชัด” ท่านแม่โจวบอก

เนื่องจากหล่อนไปบ้านที่อยู่ติดกัน นางจึงไม่ได้ไปตาม กลุ่มเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวนั่งอยู่ที่นี่กันอีกสักพัก ก่อนจะถือกระเป๋าไปโรงอาบน้ำ

พวกเขาเดินคุยเล่นและหัวเราะกันไปตลอดทาง ช่างดูมีชีวิตชีวาและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งวัยเยาว์

………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เห็นเด็ก ๆ เข้ากันดีแล้วรู้สึกดีใจไปด้วยเลยค่ะ กังจือดูเป็นหนุ่มช่างเจรจาอยู่นะคะ ถ้าเจอกับเจ้าสามนี่คงพากันพูดน้ำไหลไฟดับแน่

ทำไมรู้สึกว่าแม่เฒ่าหูเหมือนแมงมุมชักใยดักเหยื่อกันนะ?

ไหหม่า(海馬)

Comment

Options

not work with dark mode
Reset