ตอนที่ 385.2 เล่นหมากจบ คัดตัวอักษรเสร็จ

คนดูแลศาลของที่แห่งนี้ไม่ได้ปรากฏตัว ตอนนี้เฉินผิงอันมีตบะวิถีวรยุทธ์ขอบเขตห้า เพียงแต่ว่าอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี จึงมีทั้งข้อดีและข้อเสีย มีความหวังเสี้ยวหนึ่งที่จะช่วงชิงคำว่าแข็งแกร่งที่สุดอันเลือนรางล่องลอยนั้นมาได้ แน่นอนว่าก่อนที่จะเป็นเช่นนั้นต้องให้เฉาสือผู้มากพรสวรรค์แห่งราชวงศ์ต้าตวนเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกเสียก่อน กุญแจสำคัญของขอบเขตหกก็คือตามหาดีวีรบุรุษหนึ่งดวง ซึ่งค่อนข้างคล้ายคลึงโอสถทองของผู้ฝึกลมปราณ โดยรวมแล้วมีทางลัดอยู่สองอย่าง หนึ่งคือเข้าไปในศาลบุ๋นบู๊เพื่อเสี่ยงโชค ดูว่าจะได้รับความโปรดปรานจนได้รับมอบโชคชะตาบู๊ส่วนหนึ่งมาหรือไม่

นอกจากนี้ก็คือไปยังซากปรักหักพังของสนามรบโบราณ เข่นฆ่าสังหารวิญญาณวีรบุรุษบนสนามรบที่จิตหยินยังไม่แหลกสลาย แต่วิธีนี้ค่อนข้างจะอันตรายอย่างมาก ในซากปรักของสนามรบโบราณ น้อยมากที่วิญญาณวีรบุรุษจะเร่ร่อนอยู่เพียงลำพัง แม่ทัพบู๊วิญญาณวีรบุรุษที่สติปัญญาไม่จางหายเหล่านั้นจะต้องมีขุนพลหยินทหารหยินเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนไม่เท่ากัน ซึ่งรับมือได้ยากอย่างถึงที่สุด หนังสือเทพเซียนที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัวเล่มนั้นบันทึกไว้ว่าในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีซากปรักขนาดใหญ่มโหฬารอยู่แห่งหนึ่ง วิญญาณวีรบุรุษตนนั้นมีตบะเท่าเทียมได้กับขอบเขตสิบสองของผู้ฝึกยุทธ์ บวกกับที่เมื่ออยู่ในซากปรักจะเป็นเหมือนอริยะสำนักการทหารที่เฝ้าบัญชาการณ์สนามรบ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีตบะเท่ากับขอบเขตบินทะยานในตำนาน ขุนพลหยินทหารหยินที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาน่าจะมีมากหลายแสนตน เล่าลือกันว่าก่อนที่เทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์แต่ละรุ่นจะรับสืบทอดตำแหน่งล้วนต้องเดินทางไปฝึกประสบการณ์ ณ ที่แห่งนั้น ถึงขั้นที่ว่ามีโศกนาฎกรรมมากมายเกิดขึ้นที่นั่น

เฉินผิงอันไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับโชควาสนาอะไรจากศาลบุ๋นบู๊ และวันนี้ก็แค่มาเดินเล่นเท่านั้น เขาหวังไว้กับซากปรักหักพังของสนามรบโบราณที่มีชื่อในประวัติศาสตร์มากกว่า อาศัยสองหมัดของตัวเองช่วงชิงขอบเขตหกที่มั่นคงมา

เฉินผิงอันยืนอยู่ในห้องโถงของศาลบู๊เพียงลำพัง ศาลบู๊ของอำเภอเล็กเกินไป ไม่มีจุดให้เชิญธูป ล้วนเป็นพวกชาวบ้านที่พกธูปกันมาเอง เฉินผิงอันรู้สึกว่าหากใช้แค่สิบนิ้วพนมคงไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ จึงเลือกจะกุมหมัดคารวะ ใช้ตัวตนของผู้ฝึกยุทธ์ขออภัยอริยะบู๊ท่านนั้นเสียเลย จากนั้นจึงหมุนตัวเดินจากไป

นอกห้องโถงใหญ่ แสงฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นงดงาม

เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูออกไป

ตอนนี้สะพานแห่งความเป็นอมตะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นแรกได้สำเร็จ ก็เท่ากับว่าเฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูของผู้ฝึกลมปราณเข้ามาแล้ว

แต่นี่ไม่ใช่โชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าอะไร ใต้หล้านี้มีเรื่องดีที่คนคนหนึ่งได้กินทั้งอุ้งตีนหมีและหูฉลามพร้อมกันน้อยมาก โดยเฉพาะคนที่ควบสองสถานะอย่างผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ยิ่งวิ่งก็ยิ่งห่างไกลเป้าหมาย ใช่ว่าจะไม่มีคนที่ฝึกควบสองอย่าง แต่กวาดตามองไปตามทั่วหล้าทั้งหลายกลับมีหร็อมแหร็มเพียงหยิบมือ ผู้ฝึกกระบี่บางคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นักพรตเรือนเตาซือ และยังมีตัวประหลาดทั้งหลายที่ชุยฉานเคยเอ่ยถึงเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ก็ถือว่าอยู่ในประเภทนี้ การที่การกระทำเช่นนี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องโง่เง่านั้นอยู่ที่ว่า ยิ่งเดินไปข้างหลังก็ยิ่งง่ายที่จะปรากฏช่องโหว่ที่ร้ายแรงถึงชีวิต เดิมทีการสร้างโอสถทองของผู้ฝึกลมปราณก็ไม่ง่ายอยู่แล้ว การฝ่าทะลุคอขวด การทำลายจิตมารของก่อกำเนิดก็ยากยิ่งกว่ายาก ร่างทองมิพ่ายที่ลัทธิพุทธฝึกฝน ร่างแก้วไร้มลทินที่ลัทธิเต๋าแสวงหา อันที่จริงก็คือการไล่ตามสองคำว่า ‘ไร้ที่ติ’ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเท่านั้น และการฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์ก็ยิ่งต้องมีคำว่าเต็มตัวนำหน้า

หากเลือกที่จะบุกเบิกทางสองเส้นในเวลาเดียวกันก็เท่ากับหาเรื่องลำบากให้ตัวเอง ง่ายที่จะไปไม่ถึงทั้งสองฝั่ง ความสำเร็จในท้ายที่สุดจึงมีจำกัด

และในขณะที่เท้าขวาของเฉินผิงอันก็กำลังจะข้ามออกไปจากธรณีประตูนั้นเอง ปราณวิญญาณระลอกหนึ่งก็กระเพื่อมไหวอยู่ด้านหลังเขาพร้อมเสียงทุ้มหนักดังขึ้น “เซียนซือโปรดหยุดก่อน”

เฉินผิงอันหดเท้าหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในตำหนักใหญ่ บนเทวรูปหลากสีมีแสงสีทองชั้นหนึ่งกระเพื่อมเป็นริ้ว จากนั้นก็มีแม่ทัพบู๊วัยกลางคนที่สวมเสื้อเกราะสีทองตนหนึ่งเดินออกมาจากในเทวรูป พลิ้วกายลงในตำหนักใหญ่

อริยะบู๊ในท้องถิ่นของแคว้นชิงหลวนท่านนี้กุมหมัดยิ้มกล่าวว่า “เรื่องครั้งนี้โชคดีที่ได้ลูกศิษย์คนนั้นของเซียนซือให้การช่วยเหลือ ถึงได้ทำให้ศาลบุ๋นบู๊ของพวกเขาผ่านพ้นหายนะมาได้ ไม่ทราบว่าเซียนซือจะให้โอกาสพวกเราได้ตอบแทนสักครั้งหรือไม่? หากเซียนซือต้องการสิ่งใดก็บอกมาได้เลย ขอแค่เป็นสิ่งที่พวกเราสองศาลทำได้ ย่อมไม่กล้าปฏิเสธแน่นอน”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลงมือช่วยเหลือครั้งนี้เป็นความต้องการของลูกศิษย์ข้าคนเดียว ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า อริยะบู๊ไม่ต้องขอบคุณข้า ครั้งนี้ข้าก็แค่ผ่านทางมาเท่านั้น รบกวนท่านแล้ว”

อริยะบู๊กล่าวอย่างจนใจ “แต่ข้ากลับอยากให้ท่านรบกวน”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้

ควันธูปขององค์เทพคือเรื่องที่มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด

เดิมทีเฉินผิงอันก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว จึงไปหยิบเบาะรองนั่งมาแล้วนั่งลง อริยะบู๊ร่ายเวทอำพรางตาเพื่อป้องกันไม่ให้คนธรรมดาแตกตื่น แล้วก็นั่งลงเช่นกัน

เฉินผิงอันสอบถามเรื่องประวัติความเป็นมาและกฎระเบียบเกี่ยวกับศาลบุ๋นบู๊ทั้งสองแห่ง แล้วก็ถามเกี่ยวกับเรื่องหัวใจบุ๋น คำถามข้อนี้ปะปนอยู่กับคำถามมากมายที่ฟังดูสะเปะสะปะ จึงฟังดูแล้วไม่กะทันหันสักเท่าไหร่

อริยะบู๊ตอบทุกเรื่องที่ตัวเองรู้ไปทีละคำถาม

เฉินผิงอันได้สิ่งที่ต้องการก็ลุกขึ้นเอ่ยขอบคุณแล้วบอกลา อริยะบู๊เพียงแค่มาส่งที่หน้าประตูของห้องโถงใหญ่ หลังจากที่เซียนซือหนุ่มผู้นั้นค่อยๆ จากไปไกลแล้ว ร่างทองก็หวนย้อนกลับไปพักพิงอยู่ในเทวรูปดินเผาอีกครั้ง

คนหนุ่มชุดขาวเดินอยู่บนถนน เดินผ่านต้นไม้สีเขียวขจี เดินผ่านสุนัขพันธ์พื้นบ้านที่นอนหมอบตากแดดอยู่บนพื้น เดินผ่านกลุ่มเด็กๆ ที่หัวเราะสนุกสนาน คนหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ ไปด้วย

“เจ้าอายุเท่านี้ ย่อมต้องมีเรื่องที่ทำไม่ได้ หรือบางทีพยายามแล้วทำได้ แต่ก็ทำได้ไม่ดี จะเป็นอะไรไป ไม่เป็นไรหรอก”

“แต่ทำไม่ดีกับทำผิดเป็นคนละเรื่องกัน อายุน้อยทำความผิดก็ไม่ต้องกลัว แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่รู้ว่าผิดแล้วไม่แก้ไข”

“หากเจ้ามีพ่อแม่คอยดูแล เมื่อทำผิดพวกเขาย่อมตีเจ้าดุเจ้า หากไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน อาจารย์ก็จะเอาไม้บรรทัดมาตีฝ่ามือเจ้า เป่าผิงน้อยมีอาจารย์ฉี มีพี่ใหญ่หลี่ซีเซิ่ง เฉาฉิงหล่างมีพ่อแม่ ตอนนี้ยังได้เรียนในโรงเรียน แต่เจ้าไม่มีเลยสักอย่าง ไม่เป็นไร ข้าจะสอนเจ้าเอง”

“แต่สอนอย่างไรถึงจะดีกับเจ้าที่สุดกันนะ? ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้าก็ไม่เคยมีใครสอนข้ามาก่อนเหมือนกัน”

คนหนุ่มต่างถิ่นผู้นี้เดินผ่านกลอนคู่ที่เขียนได้ธรรมดาสามัญ เดินผ่านเทพทวารบาลที่วาดอย่างหยาบๆ

เขาไม่ได้รีบร้อนกลับไปที่โรงเตี๊ยม

เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเดินเลี้ยวเข้าไปในตรอกที่เงียบสงบ หยิบยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากแผ่นหยกวัตถุจื่อชื่อ ก็คือยันต์แผ่นที่ผีงามโครงกระดูกของแคว้นไฉ่อีพักอาศัย ตอนที่อยู่บนเกาะกุ้ยฮวาเดินทางไปภูเขาห้อยหัว น้ากุ้ยกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองหม่าจื้อช่วยให้เขาทำสัญญากับนาง เพียงแต่ในอดีตเฉินผิงอันเคยเจอกับความยากลำบากที่ผีสาวชุดแต่งงานสร้างให้มาก่อน จึงรู้สึกไม่ชอบพวกวัตถุหยินที่สร้างความวุ่นวายตามสัญญาตญาณ นับตั้งแต่ออกจากเกาะกุ้ยฮวามาจนถึงทุกวันนี้จึงไม่เคยให้โอกาสผีสาวได้ปรากฎตัว

เวลานี้นางกลับมาได้เห็นแสงตะวันอีกครั้งก็ให้รู้สึกปรับตัวไม่ทัน ยืนอยู่ในเงามืด เรือนกายสะโอดสะอง แต่กลับแผ่ปราณอึมครึมเยียบเย็น

นางสวมชุดหรูหรางดงามชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ สองมือซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อ แต่เฉินผิงอันรู้ดีว่า นอกจากดวงหน้าที่งามล้ำแล้ว นับตั้งแต่ลำคอลงไปของผีสาวตนนี้ล้วนมีแต่กระดูกขาวโพลน

นางยอบกายคารวะ เผยให้เห็นข้อมือสองข้าง…ที่เป็นโครงกระดูกสีขาวหิมะ กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “บ่าวคารวะนายท่าน”

เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจที่จะพูด จึงเกิดลังเลใจตัดสินใจไม่ได้

ตอนที่ลงนามทำสัญญา เฉินผิงอันถึงเพิ่งจะรู้ว่าชื่อจริงของผีสาวคือสือโหรว

เฉินผิงอันคอยระวังว่าบริเวณใกล้เคียงมีคนผ่านทางมาหรือไม่พลางใคร่ครวญหาคำพูดไปด้วย

นางยิ้มกล่าว “นายท่านต้องการให้บ่าวทำเรื่องสกปรกบางอย่างหรือ? นายท่านไม่ต้องลังเลใจ เดิมทีนี่ก็เป็นงานในหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันถอนหายใจ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ได้จะให้เจ้าไปทำเรื่องสกปรกที่สู้หน้าใครไม่ได้ เจ้าเป็นสตรี ข้าอยากจะถามเรื่องบางอย่างที่พวกเจ้าถนัด”

ผีงามโครงกระดูกหรี่ตาลง “อ้อ? ขอถามนายท่าน เป็นเรื่องระหว่างชายหญิงหรือไม่?”

แล้วนางก็เริ่มหัวเราะ ยื่นมือกระดูกข้างหนึ่งโผล่มาจากชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ ยกขึ้นปิดปากหัวเราะ ทว่าสายตากลับเย็นชา “คิดไม่ถึงว่านายท่านจะมีความชื่นชอบในเรื่องนี้ด้วย นับว่าเป็นโชคดีของบ่าว”

เฉินผิงอันไม่ถือสาคำเหน็บแนมของนาง เพียงกล่าวอย่างหน่ายใจว่า “ข้าอยากถามเจ้าว่าตอนยังมีชีวิตอยู่ เคยแต่งงานเป็นภรรยาของบุรุษ เคยอบรมสั่งสอนบุตรหรือไม่? เข้าใจวิธีตั้งกฎเกณ์ให้กับลูกหลานหรือเด็กรุ่นหลังในตระกูลบ้างไหม”

นางมึนงงสับสน เห็นได้ชัดว่าความคิดของเฉินผิงอันอยู่เหนือจากการคาดการณ์ของนางไปมาก ในอดีตจิตวิญญาณของนางถูกกักไว้ในม้วนภาพวาด ถูกเซียนซือผู้เฒ่าคนนั้นใช้ให้ทำเรื่องชั่วร้าย เรื่องน่าสะอิดสะเอียนที่ขัดต่อเจตจำนงของตนจนเคยชิน เพราะถึงอย่างไรก็ดีกว่าต้องทนเห็นดวงวิญญาณของพี่สาวน้องสาวแหลกสลาย ดวงวิญญาณของพี่น้องที่น่าสงสารเหล่านั้นยังต้องถูกผู้เฒ่าใช้ ‘วิชานั่งเทียน’ หนึ่งในเวทอาคมของตระกูลเซียนอันโหดเหี้ยมอำมหิตมาทำเป็นไส้ตะเกียง ค่อยๆ หลอมละลายไปทีละนิด น่าสังเวชอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด นอกจากนาง ใครจะกล้าละเมิดกฎไม่ทำตามอีก?

ตอนนี้นางได้เปลี่ยนเจ้านายคนใหม่แล้ว แต่เหตุใดถึงเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้?

นางผ่อนลมหายใจโล่งอก ก่อนจะส่ายหน้า “ตอนมีชีวิตอยู่บ่าวไม่เคยแต่งงาน ยิ่งไม่เคยรู้เรื่องที่นายท่านพูดถึง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เก็บนางกลับเข้าไปในยันต์ แล้วใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

ในความมืดมิดของกรงขังยันต์ ร่างของผีสาวล่องลอย นางมีสีหน้ามึนงง นี่คือจบเรื่องแล้ว?

นางไม่พอใจเล็กน้อย หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ควรจะหลอกเขาสักหน่อย นี่มันนานเท่าไหร่แล้วที่ตนไม่เคยเห็นทัศนียภาพของฟ้าดินด้านนอกเลย?

ต่อให้ต้องเจ็บปวดเพราะถูกลมพายุพัดเป่าเหมือนถูกกรีดเนื้อ โดนสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิฟาดผ่าประหนึ่งถูกเถือกระดูก นางก็ยินดี

เฉินผิงอันเดินออกจากตรอก สุดท้ายไปนั่งกอดเข่าเหม่อลอยอยู่บนบันไดนอกประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิท

ครอบครัวหนึ่งที่มีกันสามคน แต่ละคนสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายเดินผ่านมา เด็กน้อยไร้เดียงสา ไร้ทุกข์ไร้กังวล แต่สตรีแต่งงานแล้วกลับตาแดงก่ำคล้ายกำลังน้อยเนื้อต่ำใจ บุรุษยิ้มประจบ พูดจาหวานหู ในมือถือเนื้อชิ้นยาวที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมัน ทว่ายิ่งบุรุษทำตัวกระตือรือร้นเช่นนี้ สตรีแต่งงานแล้วก็ยิ่งโมโห สุดท้ายจึงจูงมือลูกเดินเร็วๆ จากไป ทิ้งบุรุษให้ยืนอยู่เพียงลำพัง

บุรุษห่อไหล่งอเอว รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย กลับบ้านเดิมพร้อมภรรยาครั้งนี้ ลูกเขยทั้งหลายมารวมตัวกัน บางคนทำงานในที่ว่าการ บางคนเป็นอาจารย์สอนหนังสือในบ้านคนรวย แน่นอนว่ายังมีชาวไร่ชาวนาอย่างเขา พ่อตามอบของขวัญกลับคืนมาให้ ลูกเขยอีกสองคนต่างก็ได้ขาหมู แต่เขากลับได้เนื้อยาวๆ มาชิ้นเดียว ในใจเขาย่อมมีโทสะ แต่ภรรยาโทษเขา เขาเป็นบุรุษจะให้ทะเลาะกับนางต่อหน้าลูกอย่างนั้นหรือ? จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะเขาไม่เอาถ่านเองไม่ใช่หรือไง? บุรุษถอนหายใจ พลันสังเกตเห็นว่าหน้าประตูห่างไปไม่ไกลมีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งนั่งอยู่ บุรุษจึงยืดเอวตั้งตรงตามจิตใต้สำนึก คลี่ยิ้มให้เฉินผิงอันแล้วถึงวิ่งเหยาะๆ ไล่ตามภรรยาที่เดินห่างไปไกลทุกที

เฉินผิงอันมองภาพนี้ แม้ว่าจะพูดภาษาถิ่นของที่นี่ไม่ได้ แต่เดิมทีเขาก็มีชาติกำเนิดยากจนจากตรอกหนีผิงอยู่แล้ว รู้ดีถึงการกระทบกระทั่งในกลุ่มชาวบ้านชนชั้นล่าง รู้ดีถึงเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยที่บั่นทอนใจคนไปอย่างช้าๆ พวกนั้นดี ดังนั้นเฉินผิงอันจึงพอจะเดาได้คร่าวๆ ว่า รอให้เด็กคนนั้นโตขึ้นอีกหน่อย เกรงว่าคงจะรู้ได้ถึงความทุกข์ยากของพ่อแม่เขาบ้างกระมัง ตอนที่เรียนหนังสือในโรงเรียนก็น่าจะขยันมากขึ้น รอยยิ้มในช่วงเวลาปกติอาจจะน้อยลงไปมาก อาจจะรู้สึกว่าบิดาที่ค้ำฟ้ายันดินได้ในใจของเขา แท้จริงแล้วค่อนข้างจะไม่ได้เรื่อง จะรังเกียจพ่อเหมือนกับแม่เขาไปด้วย แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าระหว่างทางที่กลับบ้านวันนี้จะช่วยพ่อเขาแบกเนื้อชิ้นนั้น จากนั้นพ่อแม่ของเขาก็จะกลับมาดีกันดังเดิม รู้สึกว่าถึงท้ายที่สุดแล้วชีวิตก็ยังผ่านพ้นไปได้

ล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น

……

เผยเฉียนคัดตัวอักษรอยู่ในห้องของตัวเอง

คัดตัวอักษรเสร็จแล้ว นางก็ย่องมายืนอยู่ตรงหน้าประตูเงียบๆ แอบฟังความเคลื่อนไหวจากข้างนอก

เพียงแต่ว่ารออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า

นางจึงนั่งหันหลังให้กับประตู มองปลายเท้าตัวเอง

ตอนแรกๆ ที่ยังไม่ชินกับทางเดินบนภูเขา ใต้ฝ่าเท้าของนางเต็มไปด้วยตุ่มแผลผุพอง แต่นางกลับไม่กล้าใช้หนามบ่งให้แตก

มีคนคนหนึ่งมานั่งอยู่ข้างกายนาง ช่วยบ่งตุ่มน้ำให้นางทีละตุ่มทีละตุ่ม จากนั้นพอทายาสมุนไพรที่ถูกบดจนเละก็จะไม่เจ็บแล้ว

ตอนที่เผยเฉียนกำลังนั่งเหม่อ ด้านนอกประตูก็มีเสียงที่คุ้นเคยถามขึ้น “คัดตัวอักษรของวันนี้แล้วหรือยัง?”

เผยเฉียนรีบกระโดดผลุงขึ้น ตะโกนตอบเสียงดัง “คัดเสร็จแล้ว!”

เสียงฝีเท้าค่อยๆ ห่างออกไป จากนั้นก็เป็นเสียงประตูห้องด้านข้างที่ปิดลงเบาๆ

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset