ตอนที่ 405 รูปถ่ายลูกเขย

บทที่ 405 รูปถ่ายลูกเขย

“เขามีใจให้หนูจริง ๆ นะ หนูอยู่กับเขาแล้วทำตัวดี ๆ อย่าได้คิดที่เลิกกันเลยหากว่าเข้ากันไม่ได้ ไม่มีใครที่ไหนทำอะไรแบบนี้หรอก” ท่านแม่โจวบอก

โจวเอ้อร์นีหน้าแดงและตอบกลับ “คุณย่าคะ มันก็แค่กินข้าวนะคะ”

“หนูพาเขามากินข้าวกับเราแบบนี้แล้วจะเรียกว่าแค่กินข้าวได้อย่างไรล่ะ?” ท่านแม่โจวบอก “ต้องทำตัวดี ๆ กับเขานะเข้าใจไหม?”

โจวเอ้อร์นีจนใจที่จะพูด มันก็แค่รับประทานอาหารมื้อเดียว แต่ทำไมหล่อนถึงรู้สึกว่าคุณย่าของหล่อนได้เอนเอียงเข้าข้างชายเจ้าเล่ห์คนนี้ไปเต็มตัวแล้วล่ะ?

แค่มื้อเดียวนางก็เอนเอียงได้ขนาดนี้ ไม่ใช่แค่ท่านแม่โจวเท่านั้น ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมยก็พลอยเป็นไปกับนางด้วย

ส่วนท่านพ่อโจวนั้นให้การสนับสนุนเขาอยู่แล้ว

หลังจากหวังหยวนไปส่งโจวเอ้อร์นีกลับ โจวเสี่ยวเหมยก็เอ่ยขึ้นมา “คนนี้ไม่เลวเลยนะคะ ถ้าเอ้อร์นีได้แต่งงานกับคนแบบนี้ ในอนาคตข้างหน้าหล่อนต้องสบายแน่นอน”

“ใช่…ใช่…ดีมาก!” ซูต้าหลินพยักหน้า

“ลูกอมมะพร้าวที่คุณอาคนนั้นเอามาให้เมื่อคราวที่แล้วอร่อยมากเลยครับ พี่สามชอบมันมากเลย” คราวนี้เป็นซูเฉิงกับซูสวิ่นที่เอ่ยขึ้นมา

พวกเขาทุกคนชอบกินลูกอมมะพร้าวรสชาติหอมหวานแสนอร่อยกันหมด

“ไม่ใช่คุณอาแล้วล่ะ อีกไม่นานพวกลูกต้องเรียกเขาว่าพี่เขยแล้ว” โจวเสี่ยวเหมยยิ้ม

“ยังไม่รู้เลยนะว่าพวกเขาสองคนจะไปกันรอดไหม” ท่านแม่โจวเอ่ยขึ้นแม้ในใจจะรู้สึกพึงพอใจก็ตาม

“เขาออกจะตั้งใจขนาดนั้น ดูท่าทางของเอ้อร์นีแล้วก็ใช่ว่าหล่อนจะไม่ชอบเขาด้วย จะไปกันไม่รอดได้ยังไงล่ะคะ แถมพี่สี่กับพี่สะใภ้สี่ก็ไม่ขัดอะไรอีกต่างหาก” โจวเสี่ยวเหมยพูด

ในเมื่อพี่สะใภ้สี่บอกว่าไม่เป็นไร ดังนั้นมันก็น่าจะประสบความสำเร็จไปแล้วแปดส่วน

มากกว่านั้นพวกเขายังเคยเห็นคน ๆ นี้แล้วด้วย เป็นคนที่ไร้ที่ติจริง ๆ ถ้าเขายังไม่เป็นคนที่ใช่สำหรับหล่อน แล้วคนแบบไหนกันที่หล่อนต้องการ?

“ดีกว่าคนที่เชิ่งเหม่ยเลือกเยอะเลยค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยพูดต่อพลางเม้มปาก

หล่อนไม่มีความประทับใจดี ๆ กับสวี่เชิ่งเหม่ยและจ้าวจวินเลยจริง ๆ

ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ได้

ดังนั้นหลังมาร่วมโต๊ะอาหารได้สองมื้อ ทั้งครอบครัวโจวก็จำหน้าหวังหยวนได้ขึ้นใจ

โจวชิงไป๋มีความประทับใจที่ดีต่อหวังหยวนไม่น้อย ความพยายามของหวังหยวนแสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้วตรงที่ตอนนี้เขาไม่ได้กินอาหารข้างนอกอีก แทนที่เลิกงานแล้วจะกลับบ้าน เขากลับตรงดิ่งมากินอาหารที่ร้านเกี๊ยวกับพวกเขา

เขาไม่ได้เอ่ยถึงค่าอาหารเลย เพราะนั่นจะเป็นการถือว่าเขาเป็นคนนอก แต่กลับซื้อฟิล์มมาให้โจวกุยหลายถุงหนึ่งและบอกให้เขาถ่ายรูปได้มากตามที่ต้องการ

โจวกุยหลายถึงกับรู้สึกลิงโลด

เมื่อหลินชิงเหอรู้เรื่องเข้า เธอก็พึมพำกับโจวเอ้อร์นี “แค่มากินอาหารที่นี่เขาถึงกับต้องซื้อฟิล์มมาให้เลยเหรอ เด็กตัวเหม็นนั่นกำลังถูกตามใจจนเสียคนแล้วนะ”

โจวเอ้อร์นียิ้มและเอ่ยตอบ “เขาอยากซื้อก็ให้เขาซื้อเถอะค่ะ ไม่อาจปล่อยให้เขามากินเปล่า ๆ ได้หรอก”

“ตอนนี้เขาถือเป็นครึ่งหนึ่งของเราแล้วนะ แค่ชามกับตะเกียบเพิ่มมาอีกชุดหนึ่งเอง” หลินชิงเหอตอบ จากนั้นก็แนะนำโจวเอ้อร์นี “หนูหาเวลาโทรศัพท์คุยกับแม่หน่อยสิ เมื่อวานนี้ที่โรงเรียนอาคุยกับหล่อนไปหมดทุกเรื่องแล้ว”

เรื่องแบบนี้จะปิดบังสะใภ้ใหญ่กับพี่ชายใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ได้อย่างไรล่ะ? พวกเขาจะต้องรู้เรื่องนี้ด้วย

เมื่อวานนี้หลินชิงเหอโทรไปหาแล้ว สะใภ้ใหญ่ถึงกับอึ้งไปโดยไม่แปลกใจ หล่อนบอกผ่านโทรศัพท์ว่าครอบครัวอีกฝ่ายมีฐานะสูงส่งเกินไปจนกลัวว่าเอ้อร์นีจะลำบากหากภายหน้าต้องแต่งงานเข้าตระกูลนั้น

สะใภ้ใหญ่ไม่ได้มาร่วมงานแต่งงานของสวี่เชิ่งเหม่ย แต่หล่อนรู้ว่าหลานเขยจากเมืองหลวงอย่างจ้าวจวินไม่ได้ให้ความเคารพชื่นชมต่อบ้านของพี่สาวใหญ่ซึ่งเป็นแม่ยายเลย

เนื่องเพราะตอนที่จ้าวจวินกับสวี่เชิ่งเหม่ยพาครอบครัวของพี่สาวใหญ่ไปเมืองหลวง เรื่องนี้ก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งหมู่บ้าน

เล่ากันว่าสวี่เชิ่งเหม่ยได้ยกระดับฐานะตัวเองด้วยการแต่งงานกับสามีจากเมืองหลวง

คนที่จิตใจดีบางคนไม่ได้พูดอะไร ขณะที่คนขี้อิจฉาและไม่ชอบหน้าครอบครัวนี้กล่าวกันว่า “ลูกเขยจากเมืองหลวงคนนี้ดูจะรังเกียจครอบครัวของหล่อนจริง ๆ เขาไม่แตะอาหารที่บ้านหล่อนเลยสักนิด แต่กลับไปกินข้าวที่ภัตตาคารในเมืองแทน”

ไม่กินอาหารของบ้านหล่อนเลยสักมื้อเดียว แสดงว่าเขาต้องไม่ชอบครอบครัวของหล่อนมากขนาดไหนกัน?

ลูกเขยจากเมืองหลวงฟังดูยอดเยี่ยมแต่ช่างเอาใจยากเหลือแสน ถ้าลูกสาวต้องแต่งงานเข้าไปในครอบครัวแบบนี้ มันคงเป็นเรื่องลำเค็ญอย่างแน่นอน

สะใภ้ใหญ่อนุญาตให้ลูกสาวของหล่อนไปเมืองหลวงแต่ไม่ได้ต้องการให้หล่อนยกระดับฐานะตัวเอง หล่อนถึงกับวางแผนไว้ว่าจะให้ลูกชายคนโตกลับไปสอนหนังสือในอำเภอ แล้วก็คอยดูว่าจะมีคุณครูคนไหนของโรงเรียนประจำอำเภอเหมือนกับเขาบ้าง จากนั้นก็ค่อยแนะนำพวกหล่อนให้เขา

หล่อนไม่เคยคิดเลยว่าจู่ ๆ ลูกสาวของหล่อนจะมีคนรักจากเมืองหลวง และฐานะของชายหนุ่มก็อยู่ในระดับดีเยี่ยมด้วย

สะใภ้ใหญ่ไม่กล้าจินตนาการเลยแม้แต่น้อย

เมื่อโจวเอ้อร์นีโทรศัพท์กลับมาหา สะใภ้ใหญ่ก็รับสายและถามไถ่ในเรื่องนี้

“คุณปู่กับคุณย่าเห็นหน้าเขาแล้วค่ะ อาเล็กกับอาเขยเล็กก็กินข้าวกับพวกเราด้วย” โจวเอ้อร์นีพูดอย่างเอียงอาย

“โอ้ สาวน้อย แม่ไม่รู้จะพูดอะไรกับลูกดี แม่แค่กังวลน่ะ กลัวว่าอนาคตแต่งงานเข้าตระกูลเขาไปแล้วจะต้องเจอปัญหามากมาย” สะใภ้ใหญ่ถอนหายใจ

“ไม่น่ามีมั้งคะ เขาซื้อบ้านอยู่ด้วยตัวเอง ไม่ไกลจากบ้านของคุณปู่คุณย่าเลยค่ะ เขาบอกหนูว่าถ้าแต่งงานกันแล้วเราจะอยู่ที่นั่น” โจวเอ้อร์นีเอ่ยด้วยความขัดเขินเล็กน้อย

หล่อนเลี่ยงคำพูดของเขาไว้ประโยคหนึ่ง ตรงที่หวังหยวนบอกว่าเขาจะไปขโมยอาหารที่บ้านของคุณปู่กินเพื่อที่หล่อนจะได้ไม่ต้องทำอาหารเอง แล้วพวกเขาก็แค่จ่ายค่าอาหารเท่านั้น

เขาช่างหน้าหนาเหลือเกิน ไม่ว่าไปที่ไหนก็เอาแต่จะลักอาหารบ้านคนอื่นกิน

สะใภ้ใหญ่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ลูกเขยจากเมืองหลวงคนนี้รวยเหลือเกิน เพียงบอกว่าจะซื้อบ้านเขาก็ซื้อทันที

หลังวางสายและเดินกลับมาถึงบ้านแล้ว หล่อนก็ทอดถอนใจกับพี่ชายใหญ่ “ฉันไม่รู้เลยค่ะว่าเรื่องนี้จะดีหรือเปล่า”

“คุณพ่อ คุณแม่ รวมถึงอาสี่กับสะใภ้สี่ก็เคยเจอเขาแล้ว พวกเขาให้การยอมรับหมดทุกคน มันก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่ ถ้าคุณกังวลนักก็รอจนกว่าหยางหยางจะกลับมาตอนวันหยุดแล้วให้เขาไปเมืองหลวงช่วงปีใหม่จับตาดูไว้ก็ได้” พี่ชายใหญ่ตอบ

ตอนนี้ข้าวสาลีฤดูหนาวได้รับการลงกล้าเรียบร้อย แต่พวกเขาก็ยังยุ่งอยู่ เพราะว่าบ้านใหม่ของพวกเขากำลังจะสร้างเสร็จแล้ว

“ความคิดนั้นก็ไม่เลวนะคะ” สะใภ้ใหญ่ตอบอย่างรวดเร็วหลังได้ยินดังนี้ “ถ้าหยางหยางกลับมาแล้ว ฉันจะให้เขาไปดูเลยค่ะ!”

เป็นเพราะยังไม่มีการแต่งงานอย่างเป็นทางการ พี่ชายใหญ่กับสะใภ้ใหญ่จึงไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ส่วนโจวหยางก็ไม่ได้กลับมาที่บ้านจนกระทั่งถึงวันที่ 25 ในเดือนธันวาคม

ตอนนี้นับว่าเป็นช่วงสิ้นปีอย่างแท้จริง

เดิมทีพี่ชายใหญ่กับสะใภ้ใหญ่อยากให้ลูกชายของพวกเขาเดินทางไปปักกิ่ง แต่ในเมื่อเขากลับมาช้าขนาดนี้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปที่นั่นอีก

ทว่าพวกเขาต้องขอบคุณในความฉลาดของโจวกุยหลายที่ได้ส่งรูปถ่ายส่วนหนึ่งของเอ้อร์นี หวังหยวน และรูปหมู่ของท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวมาให้ ทันทีที่ล้างฟิล์มกับอัดรูปเสร็จเขาก็ส่งมันกลับมาให้ทางบ้านนี้

มีรูปถ่ายแล้วก็ไม่จำเป็นที่ลูกชายของพวกเขาต้องเดินทางไปไกลขนาดนั้นแล้วถูกไหม?

ไม่ต้องเอ่ยก็รู้ว่าหวังหยวนในรูปดูเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ คน ๆ นี้รู้จักแต่งตัวและทำตัวเองให้ทันสมัยเป็นพิเศษ

พี่ชายใหญ่กับสะใภ้ใหญ่นั่งดูรูปทีละใบ รู้สึกทั้งมีความสุขและเป็นกังวล

ลูกเขยคนนี้ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน

พวกเขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลย คนแบบนี้จะมาเป็นลูกเขยของพวกเขาจริง ๆ งั้นเหรอ?

แม้ลูกสาวของพวกเขาจะเปลี่ยนไปมากและดูเหมือนเด็กสาวชาวกรุงคนหนึ่ง แต่หล่อนก็มีทะเบียนบ้านอยู่ที่ชนบท

ดังนั้นเมื่อโจวเอ้อร์นีโทรศัพท์กลับมาถามว่าได้รับรูปถ่ายแล้วหรือยัง สะใภ้ใหญ่ก็บอกว่าตรวจดูแล้ว

“เขาก็เป็นอย่างที่เห็นล่ะค่ะ คนในรูปกับตัวจริงไม่ต่างกันมากนักหรอก ดูเหมือนคนไม่มีมารยาทคนหนึ่งน่ะค่ะ” โจวเอ้อร์นีดูถูกเขาผ่านโทรศัพท์

แม้จะเป็นอย่างนั้น สะใภ้ใหญ่ก็ยังได้ยินถึงความสนิทสนมในน้ำเสียง หล่อนกลืนคำพูดที่กำลังจะพูดกลับลงไปและเอ่ยตอบ “แม่ไม่อนุญาตให้ลูกเดินรอยตามญาติคนนั้นนะเข้าใจไหม?”

หลังหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง โจวเอ้อร์นีก็หน้าแดงเมื่อเข้าใจว่าแม่ของหล่อนหมายถึงอะไร

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจ้าสามฉลาดมากค่ะ ในเมื่อมาหาลูกเขยที่เมืองหลวงไม่ได้ก็ส่งรูปถ่ายไปซะเลย สมกับเป็นลูกแม่

ท่าทางจะได้เห็นพิธียกน้ำชาในเร็ว ๆ นี้แล้วล่ะค่ะ พร้อมใจไฟเขียวกันทั้งบ้านขนาดนี้

ไหหม่า(海馬)

Comment

Options

not work with dark mode
Reset