ตอนที่ 405.1 จิตใจใฝ่หา

ชุยตงซานวางตะเกียบคู่นั้นลงอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะก้มหน้าจัดวางตะเกียบทั้งสองให้เป็นระเบียบ เงยหน้าแล้วยิ้มกล่าวว่า “ดูท่าเจ้าคงมั่นใจแล้วว่าข้าไม่มีทางเปิดฉากสังหารเจ้าที่นี่?”

ชุยตงซานตบมือหัวเราะร่า ลุกขึ้นยืนช้าๆ “เจ้าเดิมพันถูกแล้ว ข้าไม่มีทางสังหารคนพร่ำเพื่อตามแต่ใจตัวเอง ถึงอย่างไรข้าก็ยังต้องกลับไปที่สำนักศึกษา ช่างเถิด ลูกหลานก็มีโชคของลูกหลาน ข้าที่เป็นบรรพบุรุษคงช่วยพวกเจ้าได้แค่นี้”

ไช่จิงเสินกลับผายมือบอกเป็นนัยให้ชุยตงซานนั่งกลับลงไป ถามว่า “เจ้าจะพิสูจน์อย่างไรว่าคำพูดของตัวเองจะใช้ได้ผล ใช้ได้ผลในราชสำนักต้าสุยก็จะใช้ได้ผลในราชสำนักต้าหลีเหมือนกัน?”

ชุยตงซานเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ยื่นมือมาลูบและหมุนจอนผมตัวเองเล่น “พิสูจน์ได้ยาก”

ไช่จิงเสินจึงได้แต่ถอยให้อีกก้าว พูดเสียงหนักอย่างลังเล “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะดึงไช่เฟิงออกมาอย่างไร อีกทั้งต้องไม่ทิ้งโรคร้ายไว้ภายหลัง ไม่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของเขาในภายภาคหน้าด้วย? ข้าจำเป็นต้องเตือนเจ้าข้อหนึ่ง ห้ามไม่ให้ไช่เฟิงหันอาวุธเข้าห้ำหั่นพวกกันเองเด็ดขาด ขายเพื่อนเพื่อหวังความก้าวหน้าจะเป็นอุปสรรคขัดขวางปิดตายเส้นทางแห่งการถูกแต่งตั้งเป็นเทพที่ถูกต้องของไช่เฟิง ในอนาคตอีกร้อยปีพันปี ไช่เฟิงจะต้องผูกติดอยู่กับโชคชะตาบุ๋น ฮวงจุ้ยและชะตาของแคว้นต้าสุย ทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ ได้รับเกียรติยศตอนมีชีวิตอยู่นั้นไม่ยาก แต่ตายไปแล้วกลับจะถูกควันธูปของต้าสุยผลักไส”

ชุยตงซานยิ้มบางๆ “คนบนภูเขาย่อมต้องมีแผนการอันมหัศจรรย์เป็นของตัวเอง วางใจเถอะ ข้ารับรองว่าในขณะที่ไช่เฟิงยังมีชีวิตอยู่จะมีตำแหน่งขุนนางสูงถึงเจ้ากรมของหกกรม เว้นจากกรมพิธีการ ตำแหน่งนี้สำคัญเกินไป ข้าผู้อาวุโสไม่ใช่ฮ่องเต้ต้าหลี และพอตายไปแล้ว ในร้อยปีเขาจะได้เป็นเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครองใหญ่แห่งหนึ่ง เว้นจากสถานที่มังกรผงาดอย่างเกอหยางของสกุลเกา ตกลงไหม?”

ไช่จิงเสินถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นทางเลือกและชื่อเสียงของตระกูลไช่ข้าล่ะ?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ถึงเวลานั้นข้าจะให้เจ้าและตระกูลไช่ร่วมมือแสดงแผนทรมานตัวเอง ไม่ว่าใครก็ต้องยกนิ้วโป้งให้เจ้าไช่จิงเสิน ในหนังสือประวัติศาสตร์ของรุ่นหลังก็จะมีแต่ชื่อเสียงที่ดีงาม”

ไช่จิงเสินทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป

ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “จะให้ข้าลงนามสัญญาภูเขาแม่น้ำของพวกเซียนดินกับเจ้า? ไช่จิงเสิน ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าทำเรื่องที่เกินความจำเป็นจะดีกว่า”

ไช่จิงเสินนึกถึงภาพดวงตาสีทองตั้งตรงคู่นั้น ในใจก็พลันหวาดผวา แม้การที่ตนกับตระกูลไช่ต้องตกอยู่ในกำมือของผู้อื่นจะทำให้ในใจรู้สึกอัดอั้นคับแค้น แต่เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายจนมิอาจรับได้ไหว เนื่องจากไช่เฟิงคนเดียวกระชากคนทั้งตระกูลให้ร่วงลงไปในหุบเหวลึกหมื่นจั้ง หรืออาจถึงขั้นเดือดร้อนการฝึกตนของบรรพบุรุษอย่างเขา ความอัดอั้นตันใจเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ก็ไม่ได้เกินจะทนสักเท่าไหร่

ในเมื่อกลายมาเป็นพันธมิตรกันชั่วคราว

ไช่จิงเสินจึงคิดจะแสดงความจริงใจของตัวเองออกมาบ้าง “ปีนั้นท่านชุยอยู่ในสำนักศึกษาแล้วถูกคนใช้ด้ายสีทองลอบสังหาร ก่อนจะใช้ยันต์ตัวตายตัวแทนหนีพ้นหายนะไปได้ ท่านชุยไม่อยากรู้เลยหรือว่าใครเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง? หรือจะบอกว่าเจ้าคิดว่าเป็นคนกลุ่มเดียวกัน?”

ชุยตงซานชำเลืองตามองไช่จิงเสิน

ไช่จิงเสินถูกอีกฝ่ายมองจนเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่เข้าใจว่าตัวเองพูดผิดตรงไหน

ชุยตงซานลุกขึ้นยืน หิ้วเหล้าหมักที่เก็บซ่อนไว้ใต้ดินมานานซึ่งยังไม่เปิดผนึกกานั้นขึ้นมา “ปีนั้นข้าอยู่ในสำนักศึกษารู้สึกอุดอู้จนแทบจะไปแขวนคอตายอยู่บนยอดเขาแล้ว กว่าจะรอคอยให้เกิดเรื่องน่าสนใจขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าเห็นหรือไม่ว่าหลังจากนั้นข้าทำอย่างไร? รออยู่นานแล้ว ไม่เห็นพวกเขาแอบมาลอบสังหารต่อสักที ข้าก็ได้แต่เป็นฝ่ายวิ่งไปยืดคอให้อีกฝ่ายตัดที่ชิงเซียวตู้ ผลกลับกลายเป็นว่าก็ยังไม่มีใครกล้าลงมือ ข้าเลยได้แต่ขนเอาไม้ไผ่มรกตของชิงเซียวตู้หลายคันรถมาปูพื้นที่สำนักศึกษา เป็นเงินเท่าไหร่ ข้าก็จ่ายไปเท่านั้น ทำไมต้องทำอย่างนั้น? ก็ข้าซาบซึ้งใจที่พวกเขามาช่วยแก้เบื่อให้ข้า เพื่อรับมือกับการลอบสังหารครั้งที่สอง ข้าต้องวางแผนหาทางหนีทีไล่ไว้ตั้งมากมาย แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้นำออกมาใช้ แต่ระหว่างที่ต้องใช้สมองคิดแผนการก็ช่วยฆ่าเวลาที่น่าเบื่อหน่ายไปได้บ้าง”

ชุยตงซานเดินวนอ้อมโต๊ะมาตบไหล่ไช่จิงเสิน “เสี่ยวไช่ เจ้ายังอายุน้อยเกินไป ไม่รู้จักนิสัยของข้า วันหน้าอยู่ด้วยกันนานวันเข้า เจ้าก็จะค้นพบเองว่าตัวเองมีบรรพบุรุษที่ดี มีเวลาว่างก็ลองไปดูที่หลุมศพบรรพบุรุษของตระกูลเจ้าดูสิ รับรองว่าต้องมีควันเขียวลอยขึ้นมาแน่นอน หากช่วงนี้บรรพบุรุษตระกูลไช่มาเข้าฝันเจ้า น้ำตานองหน้าด้วยความซาบซึ้งใจในบุญคุณของข้า เจ้าก็บอกพวกเขาไปว่าไม่ต้องขอบคุณข้า ทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นเป็นรากฐานในการศึกษาหาความรู้ของข้าคนนี้มาโดยตลอด”

ไช่จิงเสินตีหน้าเคร่ง แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยิน

ปีศาจวัวเหลืองที่เป็นเผ่าพันธุ์วัวดินตัวนั้นไปพักผ่อนที่ ‘คอกวัว’ นานแล้ว

แต่เว่ยเซี่ยนกลับนั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกับชุยตงซานและไช่จิงเสินตลอดเวลา ไม่พูดคำใด เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว

เว่ยเซี่ยนเดินตามชุยตงซานกลับไปยังที่พัก

คนทั้งสองนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ชุยตงซานก็ใช้กระบี่บินสีทองเล่มนั้นวาดบ่อสายฟ้าสกัดกั้นการลอบสังเกตการณ์ของไช่จิงเสิน

ชุยตงซานเตะรองเท้าหุ้มแข้งทิ้ง นั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ ยิ้มถามว่า “เจ้าช่วยใช้สองสามประโยคมาเป็นข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแก่ข้าที”

เว่ยเซี่ยนเอ่ยเนิบช้า “นกบินสูงตายเพราะอาหาร ปลาในน้ำลึกตายเพราะเหยื่อล่อ”

ในสายตาของเว่ยเซี่ยน พวกคนอย่างไช่จิงเสินเป็นพวกลังเลเอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่มีค่าพอให้พูดถึง

ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ดุจน้ำป่าไหลซัดสาดถาโถม ต่อให้เป็นเซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่งก็ยังไม่ต่างจากตั๊กแตนที่พยายามขวางหน้ารถอยู่ดี

ก่อนจะเข้ามาในเขตการปกครอง ชุยตงซานได้ให้เว่ยเซี่ยนอ่านรายงานลับเรื่องวงในเกี่ยวกับต้าสุยจำนวนมาก เรื่องแผนการลับของไช่เฟิงในเมืองหลวง เมื่อเปรียบเทียบกับความลับที่ไช่ชิงเสินผู้ถวายงานรับใช้สกุลเกาซุกซ่อนเอาไว้แล้วก็เป็นแค่เรื่องเล็กเท่านั้น

ปีนั้นสกุลเกาต้าสุยสามารถร่วมมือกับราชวงศ์สกุลหลูกดข่มการลุกผงาดของต้าหลีที่มีทั้งราชครูชุยฉานและสำนักศึกษาซานหยาเอาไว้ได้นานหลายสิบปี

ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเพียงแค่ว่าฮ่องเต้สกุลเกาต้าสุยเป็นคนมองการณ์ไกลเท่านั้น

ตอนนั้นต้าหลีมียอดฝีมือสายหนึ่งของลัทธิเต๋าและสกุลลู่สำนักหยินหยางช่วยกันสร้างหอที่เลียนแบบป๋ายอวี้จิง ปีนั้นต้าสุยและสกุลหลูก็มีเงาของผู้ฝึกตนใหญ่จากเมธีร้อยสำนักหลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังคอยให้คำชี้แนะ

ไช่จิงเสินก็คือหมากตัวหนึ่งที่ฝังไว้ค่อนข้างลึก และขณะเดียวกันก็เป็นหมากที่ค่อนข้างสำคัญ

อย่าเห็นว่าคืนนี้ไช่จิงเสินมีท่าทางขลาดกลัว สถานการณ์ทั้งหมดล้วนอยู่ในกำมือของชุยตงซาน ในความเป็นจริงแล้วแม้แต่การ ‘ลาออกจากตำแหน่งด้วยความไม่พอใจ’ ย้ายบ้านออกจากเมืองหลวงเพราะดูเหมือนไม่อาจยอมรับความอัปยศของไช่จิงเสินก่อนหน้านี้ ก็น่าจะมียอดฝีมือคอยให้คำแนะนำอยู่เช่นกัน

ตอนนี้ต้าหลีกับต้าสุยลงนามเป็นพันธมิตรแห่งขุนเขาที่มีระดับขั้นสูงสุด ฝั่งหนึ่งใช้ภูเขาตงหัวอันเป็นที่ตั้งของสำนักศึกษาซานหยา จุดศูนย์รวมของเส้นทางมังกรกลิ่นอายราชัน ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็ใช้ภูเขาพีอวิ๋นที่เป็นขุนเขาเหนือแห่งใหม่ล่าสุดของราชวงศ์เป็นสถานที่ลงนามสัญญาป่าวประกาศแก่ฟ้าดิน มองดูเหมือนทุกคนต่างปิติยินดี ต้าสุยไม่ต้องปะทะกับกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีจังๆ ช่วงชิงช่วงเวลาอันดีที่สามารถหยุดพักรักษาตัวได้นานร้อยกว่าปี ก็แค่ต้องยกแคว้นใต้อาณัติอย่างพวกแคว้นหวงถิงให้แก่ต้าหลี ส่วนต้าหลีก็สามารถรักษากำลังเอาไว้บุกลงใต้ได้อย่างเต็มที่ เข่นฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้าให้พังราบเป็นหน้ากลองไปจนถึงชายแดนของราชวงศ์จูอิ๋ง

แต่เบื้องหลังความเงียบสงบปลอดภัยนั้น สกุลซ่งต้าหลีและสกุลเกาต้าสุยย่อมต้องมีความคิดแตกต่างกันไป

โดยเฉพาะหลังจากที่ซ่งเจิ้งฉุนฮ่องเต้ต้าหลีตายไปแล้ว ต่อให้ทางศูนย์กลางของต้าหลียังเก็บเป็นความลับไม่แพร่งพรายออกมา แต่เชื่อว่าทางฝั่งของต้าสุยนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะพอสัมผัสได้ ถึงได้ทำท่าเหมือนอยากจะลงมือเต็มแก่

แม้ว่าตอนนี้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะบุกตะลุยไปเบื้องหน้าดุจผ่าลำไม้ไผ่ ควบรวมแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปเอาไว้ เพียงแต่ว่าสถานการณ์ยังไม่มั่นคงนัก หากเรือนหลังของต้าหลีและต้าสุยเกิดไฟไหม้ขึ้นมาพร้อมกัน บวกกับที่สำนักศึกษากวานหูและทางฝั่งของราชวงศ์จูอิ๋งออกฤทธิ์ออกเดชกะทันหัน สถานการณ์หมากล้อมที่มองดูเหมือนดำเนินไปในทิศทางที่ดีของต้าหลีก็จะถูกสังหารมังกรใหญ่ (ศัพท์ทางหมากล้อม หมายถึงหมากถูกกินไปแถบใหญ่) ในชั่วพริบตา เมื่อถึงเวลานั้นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเหยียบย่ำอาณาเขตแถบทิศเหนือจนพังราบ แต่ในสายตาของยอดฝีมือที่อยู่เบื้องหลังซึ่งถอยออกมาดูสถานการณ์แล้วค่อยจู่โจมจนกระทั่งได้รับชัยชนะ ทุกจุดล้วนเป็นเนื้อติดมันชิ้นใหญ่ที่สามารถส่งเข้าปากได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

ชุยตงซานบอกกับเว่ยเซี่ยนอย่างตรงไปตรงมาว่าการลงมือของเขาไม่มีจุดหมายที่แน่นอน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา จะเรียกหามา จะสยบสังหาร หรือจะนำมาทำเป็นเหยื่อล่อก็อยู่แค่ว่าไช่จิงเสินจะรับมืออย่างไร

เว่ยเซี่ยนไม่กล้าพูดว่าชุยตงซานต้องเอาชนะบุคคลบนยอดเขาที่อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นได้แน่นอน

แต่ไช่จิงเสินคนเดียวย่อมไม่คนามือ มีแต่จะถูกชุยตงซานเอามากุมเล่นในฝ่ามือเท่านั้น

ดังนั้นเว่ยเซี่ยนถึงได้กล่าวว่านกและปลาตายเพราะละโมบในอาหาร

ชุยตงซานส่ายหน้า เขายื่นสองนิ้วออกมาประกบกันแล้วเขียนคำหกคำอยู่กลางอากาศ

พยัคฆ์ย่อตัวหมอบเพื่อโจมตี แมวเสือดาวห่อตัวเพื่อล่าเหยื่อ (เปรียบเปรยว่าคนใจกว้างและมีปณิธานยอมข่มกลั้นความอัปยศชั่วคราวก็เพื่อสั่งสมกำลังไว้รอแสดงความมุ่งมาดปรารถนาออกมาในอนาคต)

เว่ยเซี่ยนขมวดคิ้ว “ต้าสุยคิดจะทำลายสัญญาพันธมิตรแล้วยอมทุ่มหมดหน้าตักก็เพราะคิดอยากจะเข้ามาแทนที่ต้าหลีน่ะหรือ?”

ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ แล้วชี้ไปที่ตัวเอง

เว่ยเซี่ยนอึ้งตะลึง ก่อนกุมหมัดคารวะ “ราชครูมองการณ์ไกลล้ำลึก หาใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบเคียงได้”

ชุยตงซานบ่นอย่างไม่พอใจนิดๆ “วันหน้าเจ้าเรียกข้าว่าท่านชุยก็แล้วกัน เรียกว่าราชครูอย่างนั้นอย่างนี้ รู้สึกเหมือนเจ้าที่เป็นฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนกำลังเอาเปรียบข้าอย่างนั้นแหละ”

เว่ยเซี่ยนทอดถอนใจ “แคว้นหนันเยวี่ยนเล็กๆ ก็เทียบได้แค่เขตการปกครองเล็กๆ แห่งหนึ่งของต้าหลีเท่านั้น ตอนนั้นก็เคยมีเจ๋อเซียนปรากฎตัวแล้วทิ้งถ้อยคำบางอย่างเอาไว้เช่นกัน ดังนั้นข้าถึงได้สั่งให้คนของแคว้นหนันเยวี่ยนไปซ่อนตัวอยู่ตามหุบเขา ไม่ก็ออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียน แต่พอได้มาเยือนใต้หล้าไพศาลอย่างแท้จริงกลับยังคงจินตนาการความยิ่งใหญ่ของฟ้าดินแห่งนี้ไม่ออกเลย”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีบัณฑิตคนหนึ่งที่ร้ายกาจมากเคยกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า ยัดเมล็ดพันธ์ผักเล็กๆ หนึ่งเมล็ดเข้าไปในแผ่นดินก็พอดี (มาจากประโยคเดิมว่ายัดเมล็ดพันธ์ผักเล็กๆ หนึ่งเมล็ดเข้าไปในเขาพระสุเมรก็พอดี เปรียบเปรยถึงพระธรรมที่ยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด และยังสามารถบรรยายได้ถึงกวีนิพนธ์ที่เปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย แสดงให้เห็นถึงความคิดอันโดดเด่น) วันหน้าหากมีโอกาสจะพาเจ้าไปพบเขา ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยทอดถอนใจในความเป็นกบใต้บ่อของตัวเองก็จะเหมาะสมกับกาลเทศะพอดี”

ชุยตงซานเอาสองมือจับที่วางแขนของเก้าอี้แล้วโยกตัว เก้าอี้จึงเริ่ม ‘ออกเดิน’ มองเหมือนว่าชุยตงซานกำลังขี่ม้าที่กระเด้งกระดอน เป็นภาพที่ชวนขบขันอย่างถึงที่สุด

เพียงแต่ช่วงที่ผ่านมาเว่ยเซี่ยนได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชุยตงซานจึงเคยชินเสียแล้ว สำหรับในเรื่องเช่นนี้ เว่ยเซี่ยนและอวี๋ลู่ต่างก็ปรับตัวได้เร็วกว่าเซี่ยเซี่ยมากนัก

นี่คงเป็นจิตใจที่กว้างขวางของคนเป็นกษัตริย์และรัชทายาทกระมัง

ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้า “เคยบอกคำตอบแก่เจ้าไปแล้ว ถึงอย่างไรคนที่อยู่เบื้องหลังต้าสุยกับต้าหลีต่างก็กำลังแข่งขันกันเรื่องแผนรับมือในภายหลัง ทหารตัวเล็กๆ อย่างไช่เฟิงจะเป็นหรือตาย รวมไปถึงพวกคนอย่างไช่จิงเสินจะยอมสวามิภักดิ์หรือไม่ ล้วนไม่อาจก่อคลื่นลมอะไรได้ และการที่ข้ารั้งรออยู่ในเขตการปกครอง ไม่ได้กลับสำนักศึกษาที่เมืองหลวง อันที่จริงก็ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิด อาจารย์ของข้าเอ็นดูเป่าผิงน้อยที่สุด เหมาเสี่ยวตงเป็นพวกเก็บคำพูดไม่อยู่ จะต้องบอกเขาถึงแผนการลับที่ไม่มีเกียรตินี้ของต้าสุยอย่างแน่นอน หากเวลานี้ข้าทะเล่อทะล่าโผล่ไป ย่อมต้องถูกอาจารย์พาลโมโหใส่ ด่าว่าข้าไม่รู้จักทำเรื่องที่ถูกที่ควรเป็นแน่”

“และหากข้าพูดเรื่องงานใหญ่ของแผ่นดินกับอาจารย์ก็จะยิ่งถูกเขาเกลียดขี้หน้า ไม่แน่ว่าอาจไม่ได้เป็นอาจารย์และลูกศิษย์กันอีกเลย แต่งานก็ยังต้องทำ จะให้ข้าเอาแต่พูดว่าอาจารย์ท่านโปรดวางใจ เด็กๆ กลุ่มของหลี่เป่าผิงหลี่ไหวนี้ต้องไม่เป็นอะไรแน่ ความรู้ของอาจารย์ในทุกวันนี้ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ จากลำดับขั้นตอนในช่วงแรกเริ่มสุด มาถึงดีเลวอันเป็นจุดหมายในช่วงท้ายสุด รวมไปถึงการเลือกเส้นทางเดินระหว่างนั้น ล้วนมีเค้าโครงให้เห็นคร่าวๆ แล้ว หากข้าเอาถ้อยคำเรื่องความดีความชอบที่ฟังเหมือนคำพูดของพ่อค้าหน้าเลือดมาใช้รับมือกับเขา จะต้องเปลืองแรงอย่างมาก”

“ดังนั้นจึงไม่สู้มาหลบอยู่ที่นี่ ทำความดีลบล้างความผิด เอาผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริงออกมาให้เห็น ช่วยตัดขาดความเชื่อมโยงบางอย่าง แล้วค่อยไปรับผิดที่สำนักศึกษา อย่างมากก็แค่ถูกซ้อมรอบหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ดีกว่าปล่อยให้อาจารย์เกิดปมในใจ แบบนั้นข้าต้องจบเห่แน่ หากถูกเขาหมายหัวว่าข้ามีจิตคิดไม่ซื่อ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากจะช่วยได้ แม้ซิ่วไฉเฒ่าจะออกหน้าช่วยขอร้องให้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ผล”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset