เฉินผิงอันมองนาง เอ่ยเนิบช้า “ทะเลสาบซูเจี่ยนจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม เมื่อวันนั้นมาถึงจริงๆ หวังว่าท่านอาหญิงจะทำเหมือนตอนที่เพิ่งย้ายออกจากตรอกหนีผิงมายังเกาะชิงเสียที่ระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก คอยมองดูให้มาก มองดูว่าควรจะช่วยกู้ช่านขยับขยายกิจการของจวนชุนถิงให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมอย่างไร ในเมื่อทำเพื่อกู้ช่าน ถ้าอย่างนั้นข้าก็คิดว่าขนาดความลำบากที่ต้องเผชิญมาตลอดหลายปีในตรอกหนีผิงยังผ่านมาได้แล้ว สามปีที่เพิ่งมาอยู่เกาะชิงเสียก็เจอมาแล้ว วันหน้า เพื่อกู้ช่านแล้ว ท่านอาหญิงจะทนลำบากต่อไปอีกหน่อยได้หรือไม่? ย่อมมีสักวันที่ได้ลืมตาอ้าปาก ก็เหมือนปีนั้นที่เลี้ยงดูกู้ช่านจนเติบใหญ่ การกินอยู่ของเจ้าเด็กขี้มูกยืดไม่เคยแย่กว่าเด็กคนอื่นที่เป็นเพื่อนบ้านเลยแม้แต่น้อย ก็เหมือนเปลี่ยนจากบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงมาเป็นจวนชุนถิง ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจได้ครอบครองเกาะทั้งเกาะเป็นของตน ไม่ใช่แค่จวนเหิงโปที่ใหญ่กว่าจวนชุนถิงเท่านั้น ถูกไหม? แล้วนับประสาอะไรกับที่วันใดวันหนึ่งบิดาของกู้ช่านอาจจะมาพบพวกเจ้าที่ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ได้”
สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับอย่างแรง น้ำตาคลอดวงตา ดวงตาบวมแดงเล็กน้อย
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรอีก
สตรีแต่งงานแล้วนั่งอยู่อีกพักหนึ่งก็บอกลาจากไป เฉินผิงอันไปส่งนางที่หน้าประตูเรือน ทำอย่างไรสตรีแต่งงานแล้วก็ไม่ยอมรับเตาอุ่นมือใบนั้นมา บอกว่าไม่ต้อง ลมหนาวแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในตรอกหนีผิงมีความยากลำบากอะไรบ้างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน นางเคยชินมาตั้งนานแล้ว
เฉินผิงอันมองส่งนางจากไป แล้วจึงกลับเข้าไปในห้อง
สตรีแต่งงานแล้วเดินไปด้วยความยากลำบากแต่ไร้คำพร่ำบ่นตลอดทาง
รอจนนางขยับเข้าไปใกล้จวนชุนถิง สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นบึ้งตึง ริมฝีปากขยับน้อยๆ เพียงแต่ว่าเมื่อสาวใช้วิ่งเร็วๆ ออกมาหา สตรีแต่งงานแล้วกลับรีบคลี่ยิ้มทันที
เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ เหม่อลอยไร้คำพูด ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “ไม่มีประโยชน์ ถูกไหม เฉินผิงอัน?”
เขานวดคลึงข้างแก้มของตัวเอง “ถ้าอย่างนั้นก็ทำเรื่องที่มีประโยชน์สักหน่อย”
เฉินผิงอันก้มหน้าค้อมเอวขยับกระถางไฟมาใกล้ วางเท้าไว้ด้านบน ยังคงถือเตาอุ่นมือเอาไว้ ฟุบตัวลงบนโต๊ะ งีบหลับไปอย่างสะลืมสะลือ
กึ่งหลับกึ่งตื่น คล้ายย้อนกลับไปยังบ้านเกิดอีกครั้ง
เสียงผ่าฟืน เสียงหมาเห่ายามดึกดื่น เสียงเด็กร้องกะจองอแงรบกวนคนนอนหลับฝัน เสียงทุบผ้าของหญิงชราหลังค่อม
หลายคนต่างก็รู้สึกรำคาญ
ตอนนั้นที่อยู่ในตรอกหนีผิง เฉินผิงอันก็รำคาญเหมือนกัน แต่ก็ได้แค่ทนรับ
ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเพียงเรื่องเล็ก
อีกทั้งยิ่งนานวัน เรื่องที่คิดว่าเล็กน้อยเท่าไหร่ วันนี้พอมาย้อนนึกดูกลับรู้สึกคิดถึงอย่างบอกไม่ถูกเท่านั้น
เสียงตุ้บดังขึ้น เตาอุ่นมือร่วงตกลงบนพื้น เฉินผิงอันสะดุ้งตื่น หยิบเตาอุ่นมือขึ้นมาวางฝั่งหนึ่งของโต๊ะยาว
นอนหลับไปตื่นหนึ่ง
พอสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นกลางดึกแล้ว เขาตื่นเพราะเสียงเคาะประตู
เฉินผิงอันเดินไปเปิดประตู เกือบทนไม่ไหวสบถด่าออกไป
นึกไม่ถึงว่าผู้ที่มาเคาะจะเป็นเจ้าเกาะจูไช หลิวจ้งรุ่น
เฉินผิงอันเปิดประตู แต่ไม่ได้เปิดทางให้นางเดินเข้ามา
หลิวจ้งรุ่นเลิกคิ้ว “ทำไม จะไม่ให้ข้าเข้าไปสักหน่อยหรือ?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “ให้เจ้าเข้ามา วันหน้าข้าจะไปพบหม่าหย่วนจื้อแห่งจวนจูเสียนได้อย่างไร?”
หลิวจ้งรุ่นชูขวดกระเบื้องในมือขึ้น “เรื่องสำคัญขนาดนี้ พวกเราจะยืนคุยกันหน้าประตูจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “เจ้าจงใจ?”
หลิวจ้งรุ่นยิ้มตาหยีพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “เจ้าเกาะหลิว เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? นี่ไม่ใช่กฎในการทำการค้า เข้าใจไหม?”
หลิวจ้งรุ่นยิ้มกล่าว “อย่าคิดใช้เหตุผลกับสตรี”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ก่อนจะยิ้มเจื่อน “มีเหตุผล”
แล้วเขาก็เปิดทางให้หลิวจ้งรุ่นเดินเข้ามาในห้อง เฉินผิงอันไม่กล้าปิดประตู ผลคือหลิวจ้งรุ่นกลับยกเท้าตวัดถีบ ประตูห้องปิดสนิททันที
หลิวจ้งรุ่นก้มหน้าลงมองแผ่นหินสีเขียวก้อนใหญ่ ชำเลืองตามองหีบหนังสือตรงมุมห้อง รวมไปถึงไม้ไผ่ม่วงหกลำที่ถูกผ่าครึ่งวางเอนพิงไว้ริมผนัง สุดท้ายเส้นสายตากลับมาที่แผ่นหินสีเขียวอีกครั้ง “ท่านเฉินหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ทั้งวันก็เพื่อทำของเล่นที่น่าสะพรึงกลัวพวกนี้น่ะหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หลิวจ้งรุ่นเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะ ก้มหน้าลงมองกระถางไฟแวบหนึ่ง “ของสิ่งนี้ นับว่าหายาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากชาวบ้านได้เห็นมังกรดินในเรือนใหญ่โตโอ่อ่าของพวกเจ้าจะยิ่งรู้สึกว่าหายากกว่านี้”
ในฐานะเซียนดินโอสถทองที่จงใจอำพรางตนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน หลังจากนั่งลงแล้ว หลิวจ้งรุ่นก็เอาเท้าทั้งสองข้างวางไว้ข้างกระถาง “โอ้โห อุ่นไม่เบาเลย เดี๋ยวกลับไปข้าต้องหาไปไว้ในหอแสงอัญมณีสักใบ”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าเกาะหลิวคิดดีแล้วหรือ?”
หลิวจ้งรุ่นยังคงกวาดตามองไปรอบด้านด้วยความสงสัยใคร่รู้ ปากก็ตอบไปว่า “คิดดีแล้ว นักบัญชีท่านหนึ่งที่สามารถทำให้บรรพจารย์หลิวคุ้มครองมาส่งด้วยตัวเอง ข้าหรือจะกล้าเพิกเฉย รนหาที่ตายหรือไร?”
เฉินผิงอันกลับกล่าวว่า “ข้อตกลงของพวกเรา อาจต้องชะลอไว้ก่อนชั่วคราว”
หลิวจ้งรุ่นกล่าวอย่างเดือดดาล “เฉินผิงอัน เจ้าปั่นหัวข้าอย่างนั้นรึ? ก่อนหน้านี้ใครกันที่เป็นฝ่ายวิ่งไปทำการค้ากับข้าถึงหอแสงอัญมณี ตอนนี้ข้ามาให้คำตอบกับเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับเริ่มวางท่าใส่ข้างั้นรึ? ทำไม สนิทกับบรรพจารย์หลิวแล้วก็เลยคิดจะยกมูลค่าให้ตัวเอง? ได้ เจ้าเสนอราคามาเลย! ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมีหน้าพูดจาน่าอายคิดเอาทั้งเงินและคนอย่างไร”
เฉินผิงอันจ้องมององค์หญิงใหญ่ที่แคว้นล่มสลายตรงหน้า “หากไม่เป็นเพราะก่อนหน้านี้มีเจ้าเกาะมากมายแวะมาเยี่ยมเยียนบนเกาะชิงเสีย การที่เจ้าเดินทางมาคืนนี้ ข้าก็คงไม่ปล่อยให้เจ้ามานั่งด่าคนอยู่ที่นี่ แต่จะขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับเจ้าอย่างจริงจังแล้ว เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแสร้งทำเป็นเลอะเลือน? เจ้าสามารถอดทนรออยู่บนเกาะจูไชได้อย่างง่ายๆ สบายๆ การที่เจ้าวาดงูเติมขาเช่นนี้ มีแต่จะทำร้ายให้เกาะจูไชถูกผลักเข้าไปในน้ำวน หากข้าล้มเหลว อย่าว่าแต่เกาะจูไชจะย้ายออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนเลย แม้แต่กิจการในตอนนี้ก็คงรักษาไว้ไม่อยู่! หลิวจ้งรุ่น ข้าจะถามเจ้าคำถามเดิมอีกครั้ง เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หลิวจ้งรุ่นยิ้มกล่าว “ขนาดยามที่แคว้นล่มสลาย ครอบครัวแตกแยก ข้ายังผ่านมันมาได้ ตอนนี้ไม่มีโอกาสที่แคว้นจะล่มสลายอีกแล้ว อย่างมากก็แค่ครอบครัวแตกแยก ยังต้องกลัวอะไรอีกเล่า?”
จิตของเฉินผิงอันพลันขยับไหว มองไปทางประตูห้อง
หลิวจ้งรุ่นประหลาดใจเล็กน้อย หรือว่าเฉินผิงอันคือผู้ฝึกกระบี่โอสถทองอย่างที่ภายนอกเล่าลือกันจริงๆ? ไม่อย่างนั้นเหตุใดเขาถึงได้มีสัมผัสที่เฉียบไวขนาดนี้?
เพราะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญแอบมาทำลับๆ ล่อๆ อยู่นอกประตู คล้ายกับชายสกปรกโสมมที่ชอบไปแอบฟังอยู่ตามมุมกำแพงบ้านคนอื่น
เฉินผิงอันขยิบตาให้หลิวจ้งรุ่น จากนั้นก็เอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าเกาะหลิว ข้าขอย้ำอีกครั้ง ข้าไม่มีทางรับผู้ฝึกตนหญิงของเกาะจูไชเป็นสาวใช้ประจำตัวเด็ดขาด! นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าใช้เงินเทพเซียนมากหรือน้อย…”
ผลกลับกลายเป็นว่าหลิวจ้งรุ่นไม่ได้รับคำ กลับกันยังร้องโอดครวญขึ้นว่า “ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าเฉินผิงอันจะเป็นคนใจร้ายผิดคำสัญญาเช่นนี้ ข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ!”
หลิวจ้งรุ่นลุกพรวดขึ้นยืน เปิดประตูห้องแล้วพุ่งตัวออกไปทันที
เฉินผิงอันสีหน้าอึ้งค้าง
เขาแข็งใจลุกขึ้นยืน เดินมาที่หน้าประตู ครู่หนึ่งต่อมาผู้ฝึกตนผีหม่าหย่วนจื้อแห่งจวนจูเสียนก็เดินหัวเราะร่าเข้ามา
เฉินผิงอันกำลังจะอธิบาย หม่าหย่วนจื้อที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงระคนยินดีและเบิกบานใจกลับตบไหล่เฉินผิงอันอย่างแรง “ไม่ต้องอธิบาย ข้าเข้าใจดี องค์หญิงใหญ่จงใจทำให้ข้าโกรธ ต้องการให้ข้าหึงหวง เฉินผิงอัน น้ำใจครั้งนี้ถือว่าข้าติดค้างเจ้า วันหน้าเมื่อข้ากับองค์หญิงใหญ่ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันเมื่อไหร่ เจ้าก็จะกลายเป็นขุนนางใหญ่ที่มีคุณความชอบอันดับหนึ่ง!”
หม่าหย่วนจื้อเดินถูมือหัวเราะร่าจากไป
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม พึมพำกับตัวเองว่า “แบบนี้ก็ได้หรือ?”
แล้วเขาก็จุ๊ปากให้อีกฝ่าย
เดินมาหยุดอยู่ริมท่าเรือ ทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบหิมะขึ้นมา คิดดูแล้วก็ปั้นเป็นตุ๊กตาหิมะซะเลย หลังจากเสียบถ่านไม้สองสามชิ้นให้เป็นตาและจมูกแล้วก็ปัดมือ
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ปั้นตุ๊กตาหิมะอีกตัวขึ้นมาข้างกัน เพียงแต่ว่าตัวนี้มองดูแล้ว ‘บอบบางอรชร’ กว่าเล็กน้อย
ปั้นเสร็จแล้วถึงได้รู้สึกพึงพอใจ
เกี่ยวกับความรักชายหญิง เมื่อก่อนเฉินผิงอันไม่เข้าใจ ‘หลักการ’ ในเรื่องนี้จริงๆ ได้แต่คิดอย่างไรก็ทำไปตามสิ่งนั้น ต่อให้ออกเดินทางไกลทั้งสองครั้ง และหนึ่งในนั้นยังเป็นการเดินทางผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลาสามร้อยปีของพื้นที่มงคลดอกบัวอีกด้วย แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เขาฉงนสนเท่ห์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโจวเฟยแห่งพื้นที่มงคลดอกบัวที่ปัจจุบันคือเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกที่เขาคิดร้อยตลบก็ไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดสตรีที่โดดเด่นงดงามมากมายขนาดนั้นในตำหนักคลื่นวสันต์ของพื้นที่มงคลดอกบัวถึงยินดีมอบหัวใจรักอย่างสุดจิตสุดใจ และชื่นชอบบุรุษที่แทบจะเรียกได้ว่าใช้ความรักอย่างสิ้นเปลืองผู้นี้อย่างจริงใจ
ทว่าตอนนี้เขาเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
นี่ก็คล้ายคลึงกับคำกล่าวว่าเชี่ยวชาญหนึ่งวิชาก็ปรุโปร่งหมื่นวิชา
คนข้างกายไม่ใช้เหตุผล อีกทั้งคนข้างกายยังมีศักยภาพพอที่จะรังแกคนอื่น กลับกลายเป็นว่าอยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจมากว่า
ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ราชสำนักและยุทธภพ บนภูเขาล่างภูเขา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หรือต่อให้บวกกับอนาคตเข้าไปก็จะยังมีคนแบบนี้อยู่อีกมาก
ในพื้นที่มงคลดอกบัว โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไกลในยุทธภพ แต่เหตุใดสุดท้ายแล้วกลับทำให้สตรีมากมายขนาดนั้นหลงรักเขาอย่างหัวปักหัวปำ นี่ก็คือเหตุผลหนึ่งในนั้น
โลกนี้ทั้งรังเกียจแล้วก็ทั้งเคารพเลื่อมใสผู้แข็งแกร่งไปในคราวเดียวกัน
นี่ก็คือหนึ่งในสันดานเดิมของมนุษย์
ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นสตรีทุกคนบนโลก แต่พูดถึงแค่สตรีที่อยู่ในตำหนักคลื่นวสันต์เหล่านั้น ส่วนลึกในจิตใจของพวกนางคล้ายกลับมีเสียงสะท้อนเสียงหนึ่งดังก้องอยู่นอกประตูหัวใจไม่ขาดสาย เสียงนั้นคอยล่อลวงพวกนาง ประหนึ่งเสียงสวดมนต์ของพระภิกษุที่จริงใจที่สุด คล้ายเสียงอ่านตำราของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ตั้งใจที่สุด เสียงนั้นบอกกับพวกนั้นอย่างต่อเนื่องว่า เพียงแค่มอบหนึ่งนั้นของตัวเองไปให้แก่โจวเฝยทั้งกายและใจ โจวเฝยก็จะสามารถช่วงชิงหนึ่งนั้นที่มากกว่าเดิมมาจากที่อื่นได้ และในความเป็นจริงแล้ว หากพูดถึงแค่พื้นที่มงคลดอกบัวที่คอขวดของการเรียนวรยุทธไม่สูงแห่งนั้น ความจริงก็เป็นเช่นนี้พอดี พวกนางคิดถูกแล้วจริงๆ ต่อให้ตำหนักคลื่นวสันต์ในพื้นที่มงคลดอกบัวย้ายมาอยู่ใบถงทวีป โจวเฝยกลายมาเป็นเจียงซ่างเจิน ก็ยังคงใช้ได้ผลอยู่เหมือนเดิม
เว้นเสียแต่ว่าเจียงซ่างเจินไปมีเรื่องกับคนประเภทตู้เม่าหรือจั่วโย่ว
ก็เหมือนการกระทำของกู้ช่านที่สามารถโน้มน้าวตัวเขาเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ โน้มน้าวได้แม้กระทั่งคนรอบกายของเขา
เหตุผลของกู้ช่าน เมื่ออยู่กับเขาแล้วเรียกว่าไร้ช่องโหว่ ดังนั้นแม้แต่เฉินผิงอัน คนที่กู้ช่านใส่ใจมากที่สุดก็ยังไม่อาจเกลี้ยกล่อมกู้ช่านได้ จนกระทั่งกู้ช่านและหนีชิวน้อยได้มาเจอกับหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว
เจ้าไม่ชอบใช้เหตุผล เมื่ออยู่ในกฎเกณฑ์บางอย่าง อาจจะมีชีวิตที่เปี่ยมสุขสาแก่ใจได้เป็นพิเศษ ทว่ามหามรรคายาวไกล สุดท้ายแล้วต้องมีสักวันหนึ่งที่ไม่ว่าหมัดของเจ้าจะใหญ่แค่ไหน ก็จะต้องมีคนที่หมัดใหญ่ยิ่งกว่าเจ้าซึ่งสามารถสังหารเจ้าได้ง่ายดายอยู่เสมอ
เฉินผิงอันเจอกับตู้เม่า คือความบังเอิญ คือความจำเป็น
กู้ช่านเจอกับหลิวเหล่าเฉิงกลับคือความจำเป็น เพียงแต่ว่าครั้งนั้นหลิวเหล่าเฉิงปรากฏตัวเร็วเกินไป เร็วจนเฉินผิงอันไม่ทันได้ตั้งตัว
แต่ก็เหมือนอย่างที่หลิวเหล่าเฉิงพูดบนเรือลำนั้น ไม่ว่าจิตใจคนจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตนกับโชควาสนาของคน สุดท้ายแล้วจะผูกเป็นบุญสัมพันธ์หรือผลกรรมร้ายกันแน่
หากบอกว่ากู้ช่านเจอกับหลิวจื้อเม่าคือสิ่งจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้าเช่นนั้นการที่เฉินผิงอันมาเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน พาตัวเองมาตกอยู่ในทางตันสถานการณ์ตาย หาเรื่องลำบากใส่ตัว ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกหรือ?
ใช่เหมือนกัน
ถึงขั้นที่ว่าต่อจากนี้จะยังมีสิ่งจำเป็นที่เลี่ยงไม่ได้อีกสารพัดอย่างกำลังรอให้เฉินผิงอันไปเผชิญหน้า บ้างก็ดี บ้างก็ร้าย
นี่ก็คือคำกล่าวของลัทธิเต๋าที่ว่าโชคและภัยไร้ประตู มีแต่คนที่ไปเรียกหามันมา
เพียงแต่ว่าเรื่องซับซ้อนที่เกี่ยวกับว่าใช้หรือไม่ใช้เหตุผลนี้
เฉินผิงอันเพิ่งจะเข้าใจเมื่อไม่นานมานี้ คือวันที่หยุดเรืออยู่ใจกลางทะเลสาบ เอาตะเกียบเคาะชาม กินลมเย็นจนเต็มอิ่ม นั่นคือวันที่เขาเพิ่งจะคิดได้กระจ่างแจ้งเล็กน้อย
นั่นก็คือเรื่องที่น่าสนใจที่สุด ในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้คนที่หมัดใหญ่ที่สุดก็หนีไม่พ้นปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง และพวกเขาสองคนก็เป็นคนที่สามารถใช้เหตุผลได้มากที่สุดในใต้หล้านี้พอดี
ต่อให้พอมาเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วเฉินผิงอันจะรู้สึกผิดหวังต่อจิตใจคนเป็นอย่างมาก แต่จากนั้นก็เริ่มมีประกายความหวังเกิดขึ้นอีกเล็กน้อย ทว่าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เพราะนาทีนั้น ชั่วพริบตานั้น เฉินผิงอันพลันรู้สึกชื่นชอบใต้หล้าแห่งนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
เขาคิดว่าสักวันหนึ่งในอนาคต หากได้ไปเยือนอุตรกุรุทวีปแล้ว จะไปเยือนภูเขาห้อยหัวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้ง หลังจากนั้นก็ต้องไปทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไปพบท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ไปพูดคุยเรื่องความสุขความทุกข์ที่พบเจอหลังพวกเขาแยกจากกันให้จงได้ ซึ่งคราวหน้าเขาจะต้องดื่มเหล้าดีๆ กับท่านอาจารย์ผู้เฒ่าสักมื้อ จะไม่ปล่อยให้ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าต้องดื่มคนเดียวอย่างเดียวดายอีก
ถึงขั้นยังจะปลุกความกล้าให้ตัวเอง สอบถามท่านอาจารย์ผู้เฒ่าว่า พาตนไปพบกับอาจารย์ผู้เฒ่าที่แก่กว่าสองท่านนั้นได้ไหม แน่นอนว่าเขาสามารถรอให้อริยะทั้งสองท่านมีเวลาว่างเสียก่อน
พอความคิดที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่ากำเริบเสิบสานและไร้มารยาทนี้เกิดขึ้น ใบหน้าของนักบัญชีหนุ่มก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา
วิถีบนโลกดีหรือเลว? สำคัญมากหรือ? สำคัญมาก
แต่สำคัญมากขนาดนั้นจริงๆ หรือ? ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก
ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง มองตุ๊กตาหิมะสองตัวที่อยู่เคียงข้างกันแล้วคลี่ยิ้มเจิดจ้า ทำหน้าทะเล้นใส่พวกมันทั้งสอง “ถูกไหม เจ้าคนแซ่เฉิน แล้วก็แม่นางหนิง เอ๊ะ? พวกเจ้าคุยกับข้าสิ อย่าเอาแต่กระหนุงกระหนิงกันสองคน รู้หรอกว่าพวกเจ้าต่างก็ชอบกันและกันมาก…”
……
ช่วงปลายปี ใกล้จะถึงวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว ทว่านักบัญชีแห่งเกาะชิงเสียกลับพาเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่มีนามว่าเจิงเย่ออกเดินทางหาประสบการณ์ให้ตนเองเป็นครั้งที่สาม
เขาออกไปจากอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยน ข้ามผ่านด่านทางใต้ของแคว้นสือหาว ตรงดิ่งไปทางทิศเหนือ
วันนี้เขามาค้างคืนอยู่ที่อารามหลิงกวาน
—–