พบเจอกันบนทางแคบ
ทหารม้าไม่ติดอาวุธหนักจำนวนสามสิบกว่าคนกองหนึ่งหยุดม้าลงช้าๆ หิมะเกาะเต็มธนูที่พวกเขาพกไว้บนกาย มองดูแล้วให้ความรู้สึกกร้าวแกร่งผิดไปจากปกติ
มีทหารประมาณครึ่งหนึ่งที่ถือคบไฟไว้ในมือ ทหารม้าหลายคนที่เป็นผู้นำไม่ได้สวมเสื้อเกราะ พวกเขายืนโอบล้อมบุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าประดุจหยกคนหนึ่ง ด้วยลมหิมะที่บดบังสายตา คนหนุ่มที่สวมชุดคลุมจิ้งจอกสีขาวหิมะจึงกำลังหรี่ตามองมาทางม้าสามตัวนั้น เม้มริมฝีปากบางเฉียบสีแดงสด ถือเป็นคุณชายสะโอดสะองคนหนึ่ง
ผู้ติดตามสามคนที่หยุดม้าขนาบสองฝั่งของคนผู้นี้ ทางฝั่งซ้ายมือคือชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำที่ในมือถือหอกยาว ประกายหอกคมกริบเปล่งแสงวาววับ เมื่อถูกสาดสะท้อนด้วยแสงไฟจากคบเพลิงในมือของทหารม้าที่อยู่ด้านหลังก็ยิ่งแวววาว
และยังมีชายฉกรรจ์ร่างผอมแห้งเหมือนลิงอีกคนหนึ่งที่ยกสองมือกอดอก ไม่มีทั้งธนูหรือดาบ แล้วก็ไม่ได้พกมีดหรือกระบี่ แต่สองฝั่งของอานม้าเขาห้อยศีรษะที่คราบเลือดแข็งเกรอะกรังไว้เป็นจำนวนมาก
ทางฝั่งขวามือมีอยู่คนเดียว อายุประมาณสี่สิบกว่าปี สีหน้าเฉยชา ด้านหลังสะพายกระบี่ยาวที่สอดอยู่ในฝักไม้ลายต้นสน ด้ามกระบี่เป็นรูปหลิงจือ บุรุษมักจะยกมือขึ้นปิดปากไออยู่บ่อยๆ
ดูเหมือนคนหนุ่มผู้นั้นจะสนิทกับชายวัยกลางคนทางฝั่งขวามือมากที่สุด เขานั่งอยู่บนหลังม้า แต่ร่างกลับโน้มเอียงเข้าหาคนผู้นี้น้อยๆ
หลังจากที่มือกระบี่ผู้นี้ไอก็ชำเลืองตามองม้าสามตัวที่อยู่ห่างออกไปประมาณห้าสิบกว่าก้าว แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “องค์ชาย เหมือนอย่างที่ข้าบอกไว้ก่อนหน้านี้ คือสองคนหนึ่งผีจริงๆ ผีสาวหน้าตางดงามสวมชุดคลุมหนังจิ้งจอกตนนั้น มีความเป็นไปได้มากว่าจะมาจากกระดาษยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกที่ทำขึ้นด้วยวิธีเฉพาะของสกุลสวี่นครลมเย็น”
มือกระบี่วัยกลางคนยื่นมือออกมาคล้ายจะรับเกล็ดหิมะ คาดไม่ถึงว่าบนฝ่ามือของเขาจะมีภูตตัวจิ๋วที่สูงแค่นิ้วมือ เรือนกายเป็นสีขาวหิมะ ด้านหลังมีปีกที่เต็มไปด้วยขนหนึ่งคู่ ร่างกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับหิมะปรากฏขึ้นมา ขนาดอยู่ใกล้ขนาดนี้ยังแทบมองไม่เห็นเจ้าตัวน้อย คิดดูแล้วนี่น่าจะเป็นหน่วยลาดตระเวนของตระกูลเซียน ประโยชน์ของมันก็คล้ายคลึงกับการมองภาพแม่น้ำภูเขาผ่านฝ่ามือ เพียงแต่ว่าหนึ่งอาศัยเวทคาถา อีกหนึ่งอาศัยสิ่งมีชีวิต
“ลำบากเจ้าแล้ว” บุรุษคลี่ยิ้มให้เจ้าตัวน้อยที่อยู่บนฝ่ามือ หยิบขวดกระเบื้องใบเล็กลายครามประณีตงดงามใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ภูติจิ๋วพุ่งพรวดเข้าไปในขวด จากนั้นบุรุษก็เก็บขวดกระเบื้องกลับไปไว้ในชายแขนเสื้อช้าๆ
คนหนุ่มที่ถูกมือกระบี่คนนี้เรียกอย่างเคารพว่า ‘องค์ชาย’ เลิกคิ้วขึ้นสูง สายตาฉายประกายเร่าร้อน ร่างยิ่งโน้มเอียงไปมากกว่าเดิม พูดกลั้วหัวเราะว่า “ท่านเจิง ข้าเคยได้ยินชื่อของสกุลสวี่นครลมเย็นมาก่อน เพียงแต่ว่าเสด็จแม่ตัดใจปล่อยให้ข้าออกจากเมืองหลวงไปอยู่พื้นที่ศักดินาไม่ได้ จึงถูกถ่วงเวลามานานถึงแปดปี ข้าที่อยู่ในจวนของเมืองหลวง เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา แล้วก็เพื่อประหยัดเงินค่าน้ำหมึกให้กับพวกขุนนางทัดทานฝ่ายตรวจการเหล่านั้นจึงไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสกับเซียนซือบนภูเขาอะไรมาก่อน ยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกนี้คืออะไรกันแน่ มีความมหัศจรรย์ตรงที่ใด ท่านเจิงมีความรู้กว้างขวาง อีกทั้งยังเคยเดินทางไกลไปครึ่งทวีปแล้ว ช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่?”
ตอนที่คนหนุ่มกำลังพูด มือกระบี่วัยกลางคนที่อาจเป็นเพราะลมหิมะรุกราน ร่างกายไม่อาจทนรับความทรมานได้ไหวจึงควักขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา เทยาสีเขียวใสแวววาวขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองออกมาสองเม็ด ยกมือตบเข้าปากเบาๆ สีหน้าของเขาถึงได้แดงปลั่งมีเลือดฝาดขึ้นมาหลายส่วน หลังจากกินยาเข้าไปแล้ว บนใบหน้าของชายวัยกลางคนยังคงมีรอยยิ้ม เขากล่าวว่า “สกุลสวี่ได้ครอบครองเนินจิ้งจอกพันปีแห่งหนึ่งที่มีจิ้งจอกเฒ่าอยู่อาศัย มันเป็นพันธมิตรกับสกุลสวี่ ทุกปีจะต้องมอบหนังจิ้งจอกหลายผืนที่มีอายุตั้งแต่ร้อยปีไปจนถึงสามร้อยปีให้นำมาสร้างเป็นยันต์ แล้วเอาออกขายไปตามสถานที่ต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีป ได้รับความนิยมไปเกินครึ่งทวีป จวนเซียนดินที่ไม่ต้องกลุ้มเรื่องเงินเทพเซียน ส่วนใหญ่ล้วนมีสาวงามหนังจิ้งจอกหลายคนทำหน้าที่เป็นสาวใช้ ยันต์สาวงามนี้ เมื่อสัมผัสกับพื้นก็ไม่ต่างจากคนที่มีชีวิต ในกระดาษยันต์ยังสามารถให้ภูตผีจิตหยินพักพิงได้ สาวใช้ที่อยู่ตรงหน้าก็น่าจะเป็นเช่นนี้ หากเป็นตระกูลเซียนบนภูเขาที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลสวี่นครลมเย็น ก่อนจะซื้อยันต์หนังจิ้งจอกยังสามารถส่งภาพเหมือนของสตรีที่ตัวเองชื่นชอบไปให้ได้ แล้วสกุลสวี่ก็จะจ้างให้คนนำภาพนั้นสลักลงไปในหนัง ผู้ถวายงานผู้เฒ่าหลายคนที่เชี่ยวชาญวิชานี้ล้วนไม่เคยทำให้คนซื้อผิดหวังมาก่อน”
ชายหนุ่มพลันกระจ่างแจ้ง มอง ‘สตรี’ ที่หยุดม้าอยู่ห่างไปไกลแล้วสายตาก็ยิ่งฉายความกระหายอยากครอบครอง
แม้ว่าหลายปีมานี้เขาจะไม่ได้ออกจากเมืองหลวงไปอยู่พื้นที่ศักดินาตามกฎของบรรพบุรุษ แต่ช่วงเวลาที่อยู่ในเมืองหลวงก็ไม่เคยปล่อยให้เสียเปล่า งานอดิเรกที่เขาชื่นชอบมากที่สุดก็คือปลอมตัวเป็นบัณฑิตตกอับที่พลาดการสอบเดินทางออกจากกรงขังที่ในประวัติศาสตร์สองครั้งเคยกลายเป็น ‘จวนมังกรซ่อน’ หรือไม่บางครั้งก็แต่งกายเป็นจอมยุทธพเนจรต่างถิ่นที่มาท่องเที่ยวในเมืองหลวง เคยได้ลิ้มรสชาติของสตรีมานับร้อยนับพันรูปแบบ โดยเฉพาะสตรีในครอบครัวของพวกตาแก่ขุนนางทัดทานฝ่ายตรวจการทั้งหลายที่หากพอจะหน้าตาดีสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นสตรีแต่งงานแล้วหรือเด็กสาวก็ล้วนถูกเขาหลอกเอาทั้งตัวและทั้งหัวใจ ดังนั้นฎีการ้องเรียนบนโต๊ะทรงพระอักษรจึงมีมากมายดุจเกล็ดหิมะปลิวปราย เขายังถึงขั้นจงใจหยิบมาอ่านเป็นพิเศษ ช่วยไม่ได้ ครอบครัวเชื้อพระวงศ์ที่มองดูเหมือนเข้มงวดน่ากลัวก็ยังคงรักบุตรชายคนเล็กมากที่สุดเหมือนกัน อีกอย่างเสด็จแม่ของเขาก็มีฝีมือไม่ธรรมดา เสด็จพ่อจึงถูกกำไว้ในมือนางอย่างพอเหมาะพอดี เวลาส่วนตัวที่สามคนในครอบครัวกินข้าวร่วมโต๊ะกัน กษัตริย์ผู้ปกครองหนึ่งแคว้น ต่อให้ถูกเสด็จแม่สัพยอกต่อหน้าเหมือนเขาเป็นลาที่เชื่อฟังตัวหนึ่งก็ยังไม่รู้สึกเสียเกียรติ กลับกันยังหัวเราะเสียงดังชอบใจ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจฎีกาที่เอามาใช้ฆ่าเวลาอันน่าเบื่อหน่ายเหล่านั้นจริงๆ ถึงขั้นรู้สึกว่าหากไม่ถูกเจ้าพวกตะพาบเฒ่าเหล่านั้นด่าสักคำสองคำ เขาจะต้องละอายใจจนไม่อาจเหลือที่ยืนไว้ให้ตัวเอง
ทว่ามีชีวิตที่สุขสบายเช่นนี้มานานเกินไปก็มักจะรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง
เขาคือคนที่ต้องขึ้นเป็นฮ่องเต้ ดังนั้นจึงไม่อาจเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางได้ แล้วก็ทนรับความยากลำบากในการฝึกฝนเรือนกายและการฝึกหมัดฝึกเดินไม่ไหว จะให้เป็นปรมาจารย์ในยุทธภพจริงๆ ก็ทำไม่ได้ ส่วนเรื่องที่จะให้เขานำทัพทำสงคราม ฆ่ากันไปฆ่ากันมา เขาก็ยิ่งไม่มีอารมณ์
ดังนั้นเขาจึงอดตำหนิเสด็จแม่ไม่ได้ รัชทายาทไม่ใช่เขา แม้แต่ตำแหน่งเสียนอ๋องก็ยังไม่ใช่ของเขา นี่เสด็จแม่รักเขาจริงๆ หรือ? ไม่ใช่แค่จงใจเลี้ยงเขาให้เป็นเศษสวะอยู่ข้างกายหรอกนะ? พี่ชายสองคนของเขาล้วนเป็นกากเดนที่อดีตฮองเฮาทิ้งเอาไว้ หันมามองสภาพอันน่าสังเวชของตนในเวลานี้ที่ถูกเสด็จแม่หาข้ออ้างทำให้กลายเป็นเหมือนสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง มีบ้านก็กลับไปไม่ได้ ได้แต่เตร็ดเตร่ไปมาอยู่นอกเมืองหลวง หญิงสาวชาวบ้านที่มีกลิ่นอายบ้านนอกบ้านนาติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็กินจนเอียนแล้ว ต่อให้สตรีพวกนี้จะงดงามแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่รู้จักปรนนิบัติคนอื่นอย่างสตรีในตระกูลชนชั้นสูง หากเพียงแค่นี้ก็ยังพอว่า ตอนที่ตนแอบออกมาจากเมืองหลวงอย่างเงียบเชียบ เสด็จแม่ยังออกคำสั่งเด็ดขาดว่า เขาต้องนำพาคนไปสังหารกองลาดตระเวนของต้าหลีด้วยตัวเองให้จงได้ นี่ไม่ใช่บีบให้เขาไปตายหรอกหรือ? อันที่จริงเขาไม่เห็นดีกับราชวงศ์จูอิ๋งที่ดีแต่วางท่าใหญ่โตไปวันๆ ส่วนลึกในใจของเขาอยากสวามิภักดิ์ต่อคนเถื่อนต้าหลีที่กองกำลังแข็งแกร่งมากกว่า หากตอนนี้เขาเป็นคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ป่านนี้ก็คงเปิดประตูใหญ่ของเมืองหลวงให้ซูเกาซานผู้นั้นจูงม้าเข้าเมืองมาตั้งนานแล้ว สงครามน่าสนุกตรงไหน เขาอยากเห็นภาพการเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกตนนับพันนับหมื่นมากกว่า นั่นต่างหากถึงจะเป็นเทพเซียนตีกันที่แท้จริง การเข่นฆ่าสังหารบนหลังม้าก็แค่มดสองรังต่อสู้กันไม่ใช่หรือ?
แต่การออกจากบ้านมาผ่อนคลายอารมณ์ครั้งนี้ก็ถือว่าไม่เลว เพราะตนได้เจอกับผีงามหนังจิ้งจอกที่แทบไม่ต่างอะไรจากคนเป็นๆ
องค์ชายหนุ่มอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
ม้าสามตัวของฝ่ายตรงข้ามหยุดนิ่งอยู่นานแล้ว และก็คุมเชิงอยู่กับกองทัพม้าที่ฝีมือแกร่งกล้าทั้งอย่างนี้
องค์ชายที่มีนามว่าหันจิ้งซิ่น คือเชื้อพระวงศ์ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สุดในราชสำนัก เวลานี้รอยยิ้มของเขายิ่งกดลึกเข้มข้น
นับว่ามีความกล้าหาญ เพราะอีกฝ่ายถึงขั้นไม่ยอมหลบทางให้แต่โดยดี
ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ได้ครอบครองสาวงามหนังจิ้งจอก หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระที่ไร้ขื่อไร้แปของทะเลสาบซูเจี่ยน ก็ต้องเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลในขอบเขตแคว้นสือหาว อายุน้อยเลือดลมพลุ่งพล่าน นี่ก็พอจะเข้าใจได้
น่าเสียดายก็แต่เมื่ออยู่ในป่าชานเมืองเช่นนี้ สถานะหรือตัวตนล้วนใช้ไม่ได้ผล
สังหารคนในค่ำคืนที่ลมหิมะพัดกระโชก หันจิ้งซิ่นรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างถึงที่สุด การไล่ฆ่าที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่นานก็แค่เป็นการทะเลาะวิวาทกันเล็กๆ น้อยๆ ก็แค่สังหารขุนนางฝ่ายตรวจการที่ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงได้ลาออกจากตำแหน่งกลับคืนสู่บ้านเกิด จากนั้นก็เดินทางออกจากเมืองหลวงลงใต้อย่างเชื่องช้าเหมือนเต่าคลานเท่านั้น จะโทษก็โทษที่เมล็ดพันธ์เขาไม่ดี ให้กำเนิดบุตรสาวที่รูปร่างหน้าตาพอไปวัดไปวาไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้รับสตรีที่หน้าตาพอจะเข้าทีมาเป็นภรรยา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีเรื่องให้ต้องพูดคุยกันแล้ว ด่าตนได้คล่องปากขนาดนั้น แม้แต่เสด็จพ่อเสด็จแม่ของตนก็ยังไม่ละเว้น ต้องเดือดร้อนไปพร้อมกับตนด้วย ส่วนเขาก็ได้ชื่อเสียงดีงามในหมู่ปัญญาชนว่าเป็นขุนนางผู้มีวาจาเก่งกล้าไปเปล่าๆ หากแค่นี้ก็ยังพอทำเนา ตาแก่นั่นไม่ได้เป็นขุนนางแล้ว แต่ตลอดทางที่เดินทางไปยังชอบบ่นนั่นบ่นนี่ ไม่เพียงแต่เดินทางอืดอาดเดี๋ยวหยุดเดี๋ยวพัก ยังจะคอยปรึกษาถกเถียงปัญหาปัจจุบันแล้วหาทางแก้ไขกับพวกปัญญาชนที่ไม่มีปัญญาจะเป็นขุนนางอีกด้วย
หันจิ้งซิ่นที่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงคิดจะเป็นลูกกตัญญูดูสักครั้ง เขาจึงไล่ตามกองทหารคุ้มกันกองนั้นไป แล้วคว้านท้องตาแก่จนเละด้วยมือตัวเอง ต้องฟังคำตำหนิมานานหลายปีจนหูด้านชาไปหมดแล้ว ก็เลยอยากจะดูว่าในท้องเจ้านั่นจะมีคำบ่นคำตำหนิอยู่มากแค่ไหน เพียงแต่เขารู้สึกว่าตัวเองจิตใจมีเมตตายิ่งนัก พอเห็นตาแก่กุมท้องอยู่ในกองหิมะ น่าเวทนาอย่างยิ่ง ก็เลยเงื้อดาบฟันคอตาเฒ่าเสียขาด และตอนนี้หัวของอีกฝ่ายก็แขวนอยู่ด้านหนึ่งของอานม้าปรมาจารย์วิถีวรยุทธท่านนั้น ระหว่างทางที่เดินทางกลับท่ามกลางลมหิมะ หัวนั่นอ้าปากค้างแต่ไร้คำพูดใดๆ หลุดออกมา นี่ทำให้หันจิ้งซิ่นรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง
หันจิ้งซิ่นเล่นหยกประดับชิ้นหนึ่งอยู่ในมือ นี่ก็เป็นแค่สิ่งของบนภูเขาที่ได้มาโดยบังเอิญเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นสมบัติอาคมตระกูลเซียนที่แท้จริง เพียงแต่ว่าเมื่อกุมอยู่ในมือ หน้าหนาวจะอุ่นร้อน หน้าร้อนจะเย็นสบาย ว่ากันว่ามาจากภูเขาเมฆาเรือง พอจะถือว่าเป็นวัตถุวิเศษได้ มือข้างที่ว่างอยู่ของหันจิ้งซิ่นยกขึ้นโบก บอกเป็นนัยให้ม้าสามตัวนั้นหลบทางไป
ม้าสามตัวค่อยๆ หันหัวขยับเปิดทางให้จริงๆ
หันจิ้งซิ่นอารมณ์ดีโดยพลัน ใต้หล้านี้มีผู้ฝึกตนที่ไร้เดียงสาขนาดนี้อยู่จริงหรือ?
ทางฝั่งนั้น
หม่าตู่อี๋เอ่ยเตือนเสียงเบา “ท่านเฉิน อีกฝ่ายดูไม่เหมือนคนของทางการที่ยึดมั่นในหลักทำนองคลองธรรมสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้ทั้งหม่าตู่อี๋และเจิงเย่รู้สึกไม่คุ้นเคย ทว่ากลับเข้ากับลมหิมะหนาวเย็นเสียดกระดูกในคืนนี้ได้ดีที่สุด
“ข้ารู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางยอมเลิกรา ลองแสร้งทำเป็นถอยให้เขาสักก้าวหนึ่ง ตอนที่พวกเขาลงมือจะได้ยิ่งใจกล้ามากกว่าเดิม”
เจิงเย่สีหน้าแข็งค้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความหนาวของลมหิมะที่ทำให้หน้าแข็ง หรือเพราะตกใจประโยคนี้กันแน่
เฉินผิงอันไม่ได้หันไปมองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มีท่าทางขลาดกลัว เพียงเอ่ยเนิบช้าว่า “ความสามารถไม่พอ คนที่ตายก็คือพวกเราสองคน หม่าตู่อี๋ยิ่งน่าอนาถ มีแต่จะอยู่ไม่สู้ตาย แค่ข้อนี้ยังคิดไม่เข้าใจ วันหน้าก็ตั้งใจฝึกตนอยู่บนภูเขาให้ดีเถอะ อย่าออกมาท่องยุทธภพเลย”
หันจิ้งซิ่นทำท่ามืออีกครั้ง ทหารม้าด้านหลังก็พากันกรูออกมาอย่างคล่องแคล่ว แต่กลับไม่ได้เริ่มโจมตี ทำเพียงแค่ตีวงเป็นรูปหน้าพัดเล็กๆ ขัดขวางทางไปของอีกฝ่าย
เห็นได้ชัดว่า
การที่บอกให้ม้าสามตัวหลีกทางก็เป็นแค่การละเล่นเล็กๆ เหมือนแมวจับหนูเท่านั้น คืออาหารเรียกน้ำย่อยที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ อาหารจานหลักที่แท้จริงต้องไม่รีบยกขึ้นโต๊ะทันที
เฉินผิงอันพลันถามว่า “เจิงเย่ หากคืนนี้ข้ากับหม่าตู่อี๋ไม่อยู่ข้างกายเจ้า มีแค่เจ้ากับซูซินไจสองคนกับม้าสองตัวเท่านั้นที่เผชิญหน้ากับกองทหารกลุ่มนี้ เจ้าควรจะทำอย่างไร?”
เจิงเย่แค่ใช้ความคิดเล็กน้อย หน้าผากก็มีเหงื่อผุดออกมาทันที
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรอีก
หลักการเหตุผลบางอย่างก็ไม่ชวนให้คนชื่นชอบเช่นนี้ คนอื่นพูดมากแค่ไหน ขอแค่คนฟังไม่เคยผ่านประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันมาก่อนก็ยากที่จะมีความรู้สึกร่วมได้ เว้นเสียจากว่าหายนะมาเยือนจริงๆ
แต่คนที่ฟังเหตุผลหลักการบางอย่างไม่เข้าหู แท้จริงแล้วก็ถือว่าเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่ง
เพราะคนที่ผ่านประสบการณ์โชคร้ายมาแล้ว ขอแค่เจอกับเรื่องราวคล้ายคลึงกันก็ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นพูดอะไร เพราะในใจจะตระหนักรู้ได้เองก่อนแล้ว
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ เรื่องที่ทำให้เฉินผิงอันยิ่งคิดก็ยิ่งสะพรึงกลัวก็คือ เขาค้นพบว่าเมื่อเทียบกับคนดีที่มีจิตใจดีงามแล้ว ดูเหมือนว่าคนที่เต็มไปด้วยจิตคิดร้ายต่อโลกใบนี้จะสามารถอดทนต่อความยากลำบากแล้วจดจำฝังใจได้ดียิ่งกว่า ถึงขั้นที่ว่าเมื่อต้องเสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ ให้กับคนที่ฉลาดกว่า ไม่ได้รับความสุขที่เดิมทีก็ไม่ใช่ของตัวเอง พวกเขาก็จะเริ่มใคร่ครวญถึงหลักการเหตุผลในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นบนโลกใบนี้ ครุ่นคิดหาวิธีในการคลี่คลายแก้ไขสถานการณ์ยากลำบากหลากหลายรูปแบบอย่างจริงจัง เหมือนจิ้งจอกห่มหนังเสือเพื่อข่มขู่รังแกผู้อื่น สี่ตำลึงปาดพันชั่ง (เป็นศัพท์ทางวิชาไทเก๊ก คือการใช้แรงเพียงเล็กน้อยเพื่อเอาชนะแรงที่มากกว่า) พิจารณาว่าควรจะทำลายคนอื่นเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตนได้อย่างไร ทำอย่างไรให้คนหนึ่งบรรลุเซียนแล้วหมูหมากาไก่รอบตัวก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์ไปด้วย ทุกอย่างล้วนต้องดูที่สภาพจิตใจของคนและการชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย…
เฉินผิงอันหวังว่าความคิดของตัวเองจะผิด ยิ่งผิดเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
เหตุใดต้องเรียกร้องให้คนดีจำเป็นต้องฉลาดกว่าคนเลว ถึงจะสามารถมีชีวิตที่ดีได้?
—–