หลังจากคนสนิทอย่างหูหานและแม่ทัพสวี่สองคนทยอยกันจากไป อันที่จริงหันจิ้งซิ่นก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับสนามรบทางฝั่งนั้นเท่าไหร่นัก เขายังคงพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับท่านเจิงที่อยู่ข้างกายต่อไป
พูดคุยถึงสถานการณ์วุ่นวายทางภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้
หันจิ้งซิ่นเดี๋ยวก็พูดถึงเรื่องนั้น เดี๋ยวก็เอ่ยถึงเรื่องนี้ ไม่มีระเบียบแบบแผนแม้แต่น้อย
แต่ท่านเจิงผู้นั้นกลับไม่รู้สึกดูแคลนเขาเลยสักนิด
เมื่อบุรุษร่างเล็กเตี้ยคล้ายลิงผอมแห้งตัวหนึ่งผู้นั้นทะยานออกไปจากหลังม้าก็ไม่ได้กระโจนเข้าหาอีกฝ่ายในทันที แต่พลิ้วกายลงบนพื้นหิมะเบาๆ เดินอาดๆ เข้าหาม้าทั้งสามตัวคล้ายกำลังเดินเล่น
หม่าตู่อี๋รู้สึกตึงเครียดอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางเอ่ยเบาๆ ว่า “มาแล้ว”
ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ติดตามที่แข็งแกร่งข้างกายองค์ชายคนหนึ่ง มองดูแล้วยังน่าจะเป็นปรมาจารย์ในยุทธภพที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวอีกด้วย ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไป หากโดนประชิดตัวขึ้นมา ใครบ้างจะไม่ถูกผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เหมือนหมาบ้ากัดจนหนังหลุดไปหนึ่งชั้น นี่คือความรู้ความเข้าใจที่มีร่วมกันของผู้ฝึกตนบนภูเขาและยุทธภพล่างภูเขา ต่อให้หม่าตู่อี๋จะเชื่อใจท่านเฉินที่อยู่ข้างกายมากแค่ไหนก็ยังรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุข เจิงเย่ก็ยิ่งไม่กล้าหายใจดัง สำหรับเรื่องราวและวีรกรรมต่างๆ ที่ท่านเฉินเคยทำลงไปในอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยน เขาแค่เคยได้ยินมาเท่านั้น ไม่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ก่อนหน้านี้ยังต้องคอยปัดหิมะที่ตกลงมาบนร่างอยู่เป็นระยะ เวลานี้กลับมีเหงื่อร้อนๆ แตกท่วมตัว ไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นของลมหิมะเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันพลิกตัวลงจากหลังม้า สลัดเกล็ดหิมะที่อยู่บนไหล่ออกเล็กน้อย จากนั้นจึงม้วนชายแขนเสื้อขึ้น
เขาเองก็สาวเท้าเนิบช้าเดินหน้าเข้าหาปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่สู้กับคนในยุทธภพแคว้นสือหาวมาจนทั่วแล้ว แต่ก็ยังหาคู่ต่อสู้ไม่เจอผู้นั้น
ไม่มีบรรยากาศตึงเครียดลอยอบอวลอยู่แม้แต่น้อย กลับกันยังคล้ายสหายในยุทธภพสองคนที่จากกันไปนานและกลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง
หม่าตู่อี๋ได้แต่เจ็บใจที่ดวงวิญญาณของตัวเองไม่มั่นคง แม้ว่ายันต์หนังจิ้งจอกจะเป็นที่พักพิงกายที่มั่นคงสำหรับนาง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นพันธนาการอย่างหนึ่งด้วย จะดีจะชั่วตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นางก็เป็นถึงผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิต…
เพียงแต่พอคิดว่าแม้ตนจะมีขอบเขตถ้ำสถิต ทว่าคืนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะยังช่วยอะไรท่านเฉินไม่ได้อยู่ดี นี่จึงทำให้หม่าตู่อี๋รู้สึกหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย
ความคิดของสตรีวกวนลดเลี้ยวประหนึ่งสายน้ำอย่างแท้จริง
เจิงเย่เอ่ยถามอย่างขลาดๆ “แม่นางหม่า ท่านเฉินคงไม่เป็นอะไรหรอก ใช่ไหม?”
หม่าตู่อี๋หันหน้ามามองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่นิสัยซื่อตรงแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “หรือเจ้าหวังให้เกิดเรื่องกับเขา? หลังจากนั้นเจ้าจะได้เป็นคนช่วยกอบกู้สถานการณ์?”
เจิงเย่สะอึกอึ้งพูดไม่ออกทันที
มือกระบี่ที่อายุประมาณสี่สิบปีคนนั้นคล้ายจะสัมผัสอะไรได้ จึงมองประเมินความเคลื่อนไหวเบื้องหน้าพลางเอ่ยเนิบช้าไปด้วย “เส้นแนวสู้รบของคนเถื่อนต้าหลีลากมายาวเกินไป ขอแค่ราชวงศ์จูอิ๋งกัดฟันทนได้อีกหนึ่งปี ขัดขวางศัตรูไว้นอกประตูแคว้น ยับยั้งการรุกรานของกองทัพม้าสองกองภายใต้บัญชาการณ์ของเฉาผิงและซูเกาซานแห่งต้าหลี ป้องกันไม่ให้พวกเขาบุกเข้ามายังพื้นที่ใจกลางในรวดเดียวได้สำเร็จ สงครามครั้งนี้เราก็ยังพอจะสู้ได้ กองทัพม้าเหล็กต้าหลีราบรื่นมานานเกินไปแล้ว หลังจากนี้คลื่นลมมรสุมอาจจะเกิดขึ้นภายในค่ำคืนเดียว ราชวงศ์จูอิ๋งจะเอาชนะศึกครั้งนี้ได้หรือไม่ อันที่จริงประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง แต่อยู่ที่ว่าแคว้นใต้อาณัติหลายๆ แห่งจะสามารถถ่วงเวลาไว้ได้นานแค่ไหน ขอแค่ต้านทานประกายเฉียบคมของสองกองทัพใหญ่ของซูเกาซานและเฉาผิงไว้ได้ ต้าหลีก็ได้แต่ปล้นสะดมแถบแคว้นใต้อาณัติรอบนอกราชวงศ์จูอิ๋งไปเท่านั้น จากนั้นก็ต้องถอนทัพกลับขึ้นเหนือไปแต่โดยดี”
หันจิ้งซิ่นพูดหยอกล้อว่า “หากไม่เป็นเพราะรู้ชาติกำเนิดของท่านเจิงอย่างชัดเจน ข้าคงต้องสงสัยแน่ๆ ว่าท่านเจิงใช่โฆษกของราชวงศ์จูอิ๋งหรือไม่”
มือกระบี่วัยกลางคนยิ้มขื่นกล่าวว่า “ข้าก็เป็นแค่อาจารย์กระบี่ที่เชี่ยวชาญการควบคุมกระบี่ระดับล่างบางวิชา เป็นแค่คนในยุทธภพเท่านั้น คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวประเภทหนึ่งที่ผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาดูแคลนมากที่สุด ตอนที่ยังหนุ่ม ครั้งแรกที่เดินทางมาเยือนราชวงศ์จูอิ๋ง ข้ายังไม่กล้าสะพายกระบี่ออกจากบ้านด้วยซ้ำ ตอนนี้มานึกดูแล้ว นี่เป็นเรื่องน่าอับอายอย่างใหญ่หลวง ข้าควรจะอยากให้ราชวงศ์จูอิ๋งถูกกีบม้าเหล็กของต้าหลีเหยียบย่ำจนเละเทะถึงจะถูก ไม่ควรยุแยงให้องค์ชายซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงจูอิ๋งนานหลายปี รอให้สถานการณ์ใหญ่ชัดเจนดีแล้วค่อยย้อนกลับไปเก็บแผ่นดินแคว้นสือหาวกลับคืนมา หากไม่เป็นเพราะฮองเฮาเชื่อใจข้าน้อย ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าข้าจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน”
หันจิ้งซิ่นพลันเอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุยกันเลย “ผู้คนต่างก็บอกว่าราชครูต้าหลีคิดคำนวณอย่างรอบคอบ ทว่าแม้แต่แคว้นใต้อาณัติใหญ่ๆ ของจูอิ๋งซึ่งรวมถึงแคว้นสือหาวของพวกเราก็ยังคร้านจะใช้กลยุทธ์อิงชัยภูมิที่ได้เปรียบมาทำการต้านทานอย่างเหนียวแน่น ดูท่าสายลับต้าหลีที่พยายามแทรกซึมเข้ามาในแคว้นใต้อาณัติอย่างพวกเราจะทำงานกันล้มเหลวเสียแล้ว แคว้นสือหาวของพวกเราก็มีแค่สกุลหวงกองทัพชายแดนเท่านั้นที่รู้สึกว่ามีโอกาสให้ฉกฉวย ไม่ยินดีเป็นฮ่องเต้ท้องถิ่นที่กินเม็ดทรายดมขี้ม้าอยู่ชายแดน อยากจะลองเดิมพันครั้งใหญ่ดูสักครั้ง นี่ถึงได้เกิดความคิดกะทันหัน ลากเอาตัวพี่ชายเสียนอ๋องคนนั้นของข้าให้ไปสวามิภักดิ์กับซูเกาซานด้วยกัน”
มือกระบี่วัยกลางคนส่ายหน้ายิ้มกล่าว “บนโลกนี้ไม่มีใครที่คิดคำนวณได้รอบคอบอย่างแท้จริง มีแต่คนที่วิเคราะห์ทิศทางของสถานการณ์ใหญ่ล่วงหน้าได้แม่นยำ จากนั้นก็วางแผนแต่ละก้าวให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น นี่ต่างหากจึงจะเป็นวิถีที่ถูกต้อง”
ใบหน้าของหันจิ้งซิ่นเต็มไปด้วยความนับถือจากใจจริง “ท่านเจิงช่างมีวิสัยทัศน์กว้างไกล”
มือกระบี่วัยกลางคนพลันขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา จ้องมองสนามรบห่างไปสี่สิบกว่าก้าวที่ศึกกำลังจะปะทุขึ้นเขม็ง
หูหานกับผู้ฝึกตนหนุ่มที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียว ต่างคนต่างหยุดเดินแล้ว
ม้าที่อยู่ด้านหลังหูหาน แม่ทัพบู๊แซ่สวี่ที่ในมือถือหอกยาวก็หยุดม้าลง ไม่ขยับเดินหน้าต่อเช่นกัน
หันจิ้งซิ่นกล่าวอย่างกังขา “คนหนุ่มผู้นั้นรนหาที่ตายหรือไร? เขาไม่เพียงแต่ไม่คิดจะถอยหนี ยังคิดอาศัยวิชาตระกูลเซียนมาชักนำหูหาน จากนั้นค่อยเรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่มีพลังพิฆาตยิ่งใหญ่หลายชิ้นออกมา เป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน? หรือคิดจะยอมแพ้ ประคองสาวงามหนังจิ้งจอกคนนั้นส่งให้ด้วยสองมือ? เทพเซียนบนภูเขากระดูกหนักกว่าคนธรรมดาล่างภูเขาไม่มากเท่าไหร่เลยนี่นา ต้องมาเจอกับเจ้านายเช่นนี้ ผีงามตนนั้นก็เหมือนสตรีที่แต่งงานกับบุรุษผิดคนจริงๆ นี่ไม่ควรเป็นเรื่องที่มีแค่บุรุษใจดำเลวระยำอย่างข้าที่ทำได้ลงคอหรอกหรือ?”
มือกระบี่วัยกลางคนไม่ได้เอ่ยคล้อยตามประโยค ‘ซุกซน’ ประโยคสุดท้ายของหันจิ้งซิ่น สีหน้าของเขาเคร่งเครียดกว่าเดิมหลายส่วน “ทุกเรื่องล้วนผิดปกติไปหมด คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนจริง ไม่ผิดแน่ บนร่างของเขามีภาพบรรยากาศที่ปราณวิญญาณของฟ้าดินเล็กใหญ่สองแห่งไหลเวียนวน หากไม่เป็นเพราะตบะตื้นเขินเกินไป เป็นแค่ห้าขอบเขตล่าง ดังนั้นการไหลเวียนของปราณวิญญาณถึงได้ติดขัดไม่คล่องแคล่ว ไม่อย่างนั้นก็เป็นคนที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำ ขอบเขตสูงถึงขอบเขตชมมหาสมุทรแล้ว หรืออาจสูงถึงขั้นเป็นผู้ฝึกตนประตูมังกร ดังนั้นแม้แต่ข้าก็ยังมองไม่ออก หากเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่อยู่เหนือจากความคาดคิดจริงๆ ปณิธานหมัดก็ถึงขอบเขตที่ผสมผสานรวมกันได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว แต่ข้าคอยสังเกตท่าเดินของคนผู้นี้นับตั้งแต่เขาลงมาจากหลังม้า ฝีเท้านับว่าค่อนข้างมั่นคง แต่ ‘ความหมาย’ ที่มีเฉพาะบนร่างของผู้ฝึกยุทธอย่างพวกเรานั้นกลับ…หละหลวมยิ่งนัก เรียกได้ว่าเป็นพวกนอกสาขาที่ไม่มีอาจารย์ที่ดีคอยนำทางให้ แต่ว่า ไม่พูดถึงความเป็นไปได้สองอย่างนี้ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าแน่ใจได้ คนหนุ่มผู้นั้นไม่คิดจะคุยกับพวกเราดีๆ แน่นอน”
หันจิ้งซิ่นสอดสองมือประกบกัน เอาแผ่นหยกนั้นแนบติดไว้กลางฝ่ามือแล้วถูเบาๆ เขายิ้มกล่าวว่า “จะเป็นคนโง่ที่เหมือนลูกวัวเพิ่งเกิดใหม่ก็เลยไม่กลัวเสือหรือไม่? หรือจะเป็นพวกที่ภูเขาและสำนักอยู่แถวชายแดน วางอำนาจบาตรใหญ่มาจนชินแล้ว ก็เลยมองไม่ออกถึงความน่ากลัวของหูหาน?”
มือกระบี่วัยกลางคนส่ายหน้า “ไม่เหมือน”
แต่เพียงไม่นานท่านเจิงผู้นี้ก็เปลี่ยนความคิด เขาส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ใช่”
หันจิ้งซิ่นรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง เขาจึงพ่นลมหายใจให้เป็นกลุ่มควันสีขาวกลุ่มใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า “พวกเราอย่าเดาส่งเดชเลย ไอ้หมอนั่นจะเป็นลาหรือเป็นม้า หมัดเดียวของหูหานก็รู้เรื่องแล้ว”
หันจิ้งซิ่นกดเสียงลงต่ำ พูดกลั้วหัวเราะแผ่วๆ “หากหูหานเจอกับตะปูแข็งเข้าจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องร้าย เงินรางวัลสองก้อนที่ข้าจะมอบให้ ไม่แน่ว่าหูหานอาจรู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ นี่ถือเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก”
มือกระบี่วัยกลางคนหลุดหัวเราะพรืด พยักหน้ารับเบาๆ
คำพูดบางอย่างที่แสดงถึงนิสัยใจคอของหันจิ้งซิ่นทำให้คนอื่นจำต้องนับถือเขาจริงๆ
องค์ชายที่ยังไม่ทันย้ายไปอยู่พื้นที่ศักดินาก็สามารถควบคุมหูหานจอมพยศ และแม่ทัพบู๊ที่หยิ่งทระนงได้แล้วผู้นี้ ไม่ได้อาศัยแค่สถานะของตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น
มองคนแบกหาบแล้วรู้สึกเหนื่อยแทน (มาจากสำนวนมองคนแบกหาบไม่รู้สึกเหนื่อย เปรียบเปรยว่าไม่รู้ความยากลำบากของผู้อื่น) นั่นต่างหากจึงจะเป็นเรื่องประหลาด หันจิ้งซิ่นมีใจอยากรอชมเรื่องสนุก ทว่าแม่ทัพบู๊แซ่สวี่ที่ถือหอกยาวกลับเกิดคลื่นถาโถมในใจไม่หยุด
มีเพียงหูหานที่อยู่ในสถานการณ์เท่านั้นที่ตอนแรกยังคันไม้คันมือ ลิงโลดสุดขีด ทว่ายิ่งขยับเข้าใกล้คนหนุ่มผู้นั้นมากเท่าไหร่ หูหานก็ยิ่งสัมผัสได้โดยตรงยิ่งกว่าท่านเจิงที่ยืนชมศึกอยู่ด้านหลังไกลๆ
จนกระทั่งทั้งสองฝ่ายต่างหยุดเดิน อยู่ห่างกันไม่ถึงห้าก้าว
หูหานถึงขั้นเกิดความรู้สึกอันตรายขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง เพียงแต่ว่ารอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน เขาชำเลืองตามองดาบไม้ไผ่และกระบี่โบราณที่อีกฝ่ายห้อยไว้ตรงเอวข้างหนึ่ง “ไอ้หนู เจ้าคงไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหรอกกระมัง?”
ผลกลับกลายเป็นว่าเป็นคนหนุ่มสวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวพยักหน้ารับ แล้วถามย้อนกลับว่า “เจ้าว่าบังเอิญหรือไม่?”
หูหานยิ้มตาหยี “บังเอิญสิ ทำไมจะไม่บังเอิญล่ะ ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นคนในยุทธภพ ถ้าอย่างนั้นข้าก็อดไม่ไหวที่จะพูดถึงหลักคุณธรรมในยุทธภพสักหน่อย พวกเรามาปรึกษากัน เจ้ากับเด็กหนุ่มผู้นั้นจากไปได้ตามสบาย แค่ทิ้งผีสาวหนังจิ้งจอกตนนั้นไว้ก็พอ ตกลงไหม?”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด
หูหานขยับสายตาไปมองประเมินความตื้นลึกของรอยเท้าในกองหิมะที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน
คนปกติจะมองความแตกต่างไม่ออก แต่ในฐานะที่หูหานคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ด สายตาของเขาย่อมต้องดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด และมองจุดที่เล็กละเอียดที่สุดออก นับตั้งแต่ที่คนหนุ่มลงจากหลังม้า จนกระทั่งเดินมาถึงที่นี่ ระดับความตื้นลึกของรอยเท้าไม่เท่ากัน เดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ไม่ต้องมองแล้ว เจ้ามองความจริงไม่ออกหรอก ตอนที่ข้าออกเดินทางท่องเที่ยวครั้งที่สองเพียงลำพัง ได้นั่งโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียน ก็รู้มานานแล้วว่าควรจะอำพรางความตื้นลึกของฝีเท้าและลมหายใจช้าเร็วอย่างไร คนเราไม่ควรมีใจคิดร้ายต่อคนอื่น แต่ห้ามขาดใจระมัดระวังผู้อื่น ดังนั้นยิ่งฝึกหมัดนานเท่าไหร่ ความเคยชินนี้ก็กลายเป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น บางครั้งตัวข้าเองยังไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ”
หูหานอึ้งตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะจุ๊ปากพูดว่า “ไอ้น้องชาย นี่เจ้าคือยอดฝีมือหรือนี่!”
เฉินผิงอันทั้งไม่ได้ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ “เจ้าคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง? แต่รากฐานปูมาได้เหยาะแหยะไปหน่อย ไม่ต่างอะไรจากกระดาษเปียก”
หูหานหัวเราะร่า “ประโยคนี้ของน้องชายช่างทำร้ายจิตใจคนนัก ระวังข้าไม่พอใจแล้วจะดึงลิ้นของเจ้าออกมา”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ต้องโทษข้า เกือบครึ่งปีมานี้คบค้าสมาคมกับคนตายมากเกินไป ก็เลยเคยชินกับการพูดคุย อันที่จริงเมื่อก่อนเวลาข้าเผชิญหน้ากับศัตรูไม่ได้เป็นแบบนี้เลย”
หูหานทำท่ากระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่า ไม่เป็นไรๆ ในฐานะผู้อาวุโสในยุทธภพ ข้านิสัยตรงข้ามกับน้องชายพอดี ข้าชอบพูดคุยกับคนอื่นพลาง…”
“ฆ่าคนไปด้วย!”
พื้นหิมะใต้ฝ่าเท้าของหูหานพลันมีเกล็ดหิมะปลิวว่อน
หมัดหนึ่งต่อยเข้าที่ท้องของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันที่ม้วนชายแขนเสื้อสองข้างเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งเอื้อมไปกดหมัดนั้นไว้เบาๆ แค่แตะแล้วก็ปล่อยออก ทว่าเรือนกายกลับอาศัยแรงส่งนี้พลิ้วไปด้านหลังสี่ห้าก้าว
หูหานที่ปล่อยหมัดไปโดนความว่างเปล่าก็ขยับร่างตามติดเป็นเงา แล้วสาวหมัดปล่อยไปอีกครั้ง
ลมหิมะที่อยู่สองข้างกายของชายฉกรรจ์ร่างเล็กล้วนถูกพายุหมัดที่พลังเข้มข้นเปี่ยมล้นม้วนหอบให้เอนเอียงตามไปด้วย
เฉินผิงอันใช้ข้อศอกยันหมัดของหูหาน และก็ถอยหลังออกไปอีกหลายก้าว หากขยับไปอีกสองก้าวเล็กๆ ก็จะชนเข้ากับม้าตัวที่เขาขี่แล้ว
หูหานรู้สึกว่าพอจะหยั่งเชิงจนรู้รากฐานที่แท้จริงของคนหนุ่มลึกลับผู้นี้ได้คร่าวๆ แล้ว ในขณะที่เขาไม่คิดจะอำพรางฝีมืออีกต่อไป แต่จะลงมือสังหารศัตรูอย่างว่องไวนั้นเอง ศอกนั้นของคนหนุ่มกลับไม่เพียงแต่ต้านทานหมัดของตนเอาไว้ได้ ยังระเบิดพลังรุนแรงเหมือนทำนบน้ำที่พังเขื่อนทลายออกมาในฉับพลัน ทำเอาหูหานตกใจจนรีบสยบลมปราณที่แท้จริงเฮือกนั้นในร่างกายตนเอาไว้ ถอยหลังหนีไปหลายก้าว แน่นอนว่าต่อให้ถอยร่น ทว่าในฐานะปรมาจารย์วิถีวรยุทธขอบเขตร่างทอง เขาก็ยังคงทำได้อย่างพลิ้วไหวสง่างาม ไม่เสียมาดเลยแม้แต่น้อย
หลังจากหยุดฝีเท้าลงแล้ว หูหานก็มีสีหน้าเหมือนคนได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่ “เจ้าตัวดี เสแสร้งได้เหมือนจริงยิ่งนัก ขนาดข้าก็ยังถูกเจ้าหลอกได้!”
—–