ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี – ตอนที่ 336 มหาปรมาจารย์ขั้นสอง ขั้นซ่อนจิตระยะกลาง

ภายในกระสวยเบิกดินแดนที่ลอยล่องอยู่ในทะเลลึก เยี่ยนจ้าวเกอนั่งตัวตรงอยู่ภายในนั้น มือทั้งสองผนึกกันเป็นมุทรา รวมอยู่บริเวณจุดตันเถียนตรงท้องน้อย

ระหว่างที่ปราณจิตราไหลเวียนทั่วร่างกาย ก็ยิ่งหนาหนักและทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ วนเวียนอยู่ภายในร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอตลอดเวลา

คล้ายกับว่ากระแสปราณที่ราวกับธาตุอากาศสลัว ค่อยๆ ขุ่นมัวขึ้นและหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

หนักอึ้งราวกับผืนแผ่นดินใหญ่อย่างไรอย่างนั้น สามารถรับน้ำหนักทุกสรรพสิ่งได้ และโอบอุ้มบ่มเพาะทุกสรรพสิ่งได้เช่นเดียวกัน

มหาปรมาจารย์ขั้นหนึ่ง ขั้นขั้นซ่อนจิตระยะต้น มีลักษณะพิเศษอยู่ที่ปราณจิตราซึ่งอิ่มเอิบด้วยพลังชีวิต ละรูปภายนอกกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิม กลายเป็นสิ่งที่เหมือนกับดินอย่างไรอย่างนั้น

ดินที่บ่มเพาะจิตวิญญาณวิถีวรยุทธ์ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าดินวิเศษ

บัดนี้เยี่ยนจ้าวเกอขับเคลื่อนวิชาที่ตนร่ำเรียน หลอมรวมปราณจิตราแล้วแปลงสภาพ ประหนึ่งดินที่อุดมสมบูรณ์เป็นพันลี้ รอคอยเพียงการเพาะเมล็ดพันธุ์

ถ้าหากเป็นวิชาเอกบริสุทธ์สายสำนักเขากว่างเฉิง แท้จริงแล้วตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอสามารถหลอมรวมเมล็ดพันธุ์วิเศษออกมา ย่างเหยียบสู่ระดับมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตระยะกลางได้แล้ว

ทว่าเมล็ดพันธุ์วิเศษที่เยี่ยนจ้าวเกอต้องการ หาได้ใช้วิชาเอกพิสุทธิ์เป็นรากฐานไม่ หากแต่จะต้องใช้คัมภีร์นภาไร้ขอบเขตเป็นรากฐาน

เมื่อทำเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าย่อมมีความยากขึ้นอย่างมาก เยี่ยนจ้าวเกอต้องคิดทบทวนไตร่ตรองอย่างระมัดระวัง จำเป็นต้องให้ลงตัวและสมบูรณ์แบบ

บนเส้นทางล่องเรือสู่ทะเลเหนือ นอกจากเยี่ยนจ้าวเกอจะควบคุมกระสวยเบิกดินแดนแล้ว ยังใช้เวลาเร่งทุ่มกำลังกับการฝึกฝนของตนเองตลอดเวลา

อาหู่ที่เดินทางติดตามมาด้วย ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากเยี่ยนจ้าวเกอ จึงสามารถควบคุมกระสวยเบิกดินของโดยส่วนใหญ่ได้แล้วเช่นกัน

ในตอนที่อาหู่ถือท้ายเรือ เยี่ยนจ้าวเกอก็จะนั่งสมาธิบำเพ็ญฝึกฝน

หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอหยุดบำเพ็ญลงชั่วคราว เขาก็รับช่วงต่อจากอาหู่ ให้อีกฝ่ายพักผ่อนชั่วคราว

กล่าวว่าพักผ่อน ทว่าอาหู่ก็กระทำเหมือนเช่นเยี่ยนจ้าวเกอ นั่งขัดสมาธิ หลับตาทั้งสองข้างลง แล้วตั้งใจบำเพ็ญฝึกฝน

ระหว่างที่เขากำหนดลมหายใจขับพิษ ก็เห็นปราณสีดำหลากสายพุ่งออกมาจากภายในจมูกและปาก ไม่ใช่หมอกควันแต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่คล้ายกับกระแสลม

เนื่องจากอาหู่กลืนเข้าและคายออกตลอดเวลา จึงดูเหมือนว่ารอบกายพัดกระพือลมพายุสีดำขนาดย่อม ค่อยๆ โอบล้อมเขาเอาไว้

ทั้งสองคนสลับหมุนเวียนกันไป โดยใช้วิธีเปลี่ยนกะเช่นนี้ ฝึกฝนบำเพ็ญไปพลาง ข้ามผ่านทะเลตะวันออกและทะเลเหนือ มุ่งหน้าสู่แดนเหนือไปพลาง

วันหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอเป็นผู้ถือท้ายเรือ ควบคุมกระสวยเบิกดินแดนโผล่ขึ้นมาสู่ผิวน้ำทะเล

ขณะนี้อยู่ที่ทะเลเหนือ บนผิวน้ำเต็มไปด้วยน้ำแข็งลอยล่องไปทั่วทั้งผืน ลมเย็นยะเยือกหลายสายพัดโชยผ่านทั่วบริเวณ ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์เช่นเยี่ยนจ้าวเกอนี้ ล้วนยังรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บเข้ากระดูก

ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงคนทั่วไปหรือจอมยุทธ์ระดับหลอมกาย ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ที่มีพลังฝึกปรือค่อนข้างต่ำ อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ก็ยังสามารถถูกทำให้หนาวตายได้จริงๆ

ซึ่งสถานนี้ ตอนนี้ยังคงเป็นเพียงแค่ชายขอบของแดนเหนือเท่านั้น

แดนเหนือถูกขนานนามว่าสถานที่อันเลวร้ายเช่นเดียวกับมหาทะเลทรายแดนตะวันตก วังสุสานทุ่งร้างแดนใต้และอื่นๆ

เยี่ยนจ้าวเกอหันหน้ากลับไปมองอาหู่ เขาเห็นว่าระหว่างที่อาหู่กลืนเข้าและคายปราณจิตราออกรอบกาย ลมสีดำหลากสายก็ทะลักออกมาเหนือร่างเขา

จุดลมปราณทั่วร่างอาหู่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ากำลังเปิดปิดพร้อมกัน ทุกๆ จุดลมปราณราวกับมีประตูบานหนึ่ง เมื่อประตูปิด คลื่นนิ่งลมสงบ แต่เมื่อประตูเปิด ภายในพลันมีลมกระโชกเหมือนพายุนิมิตทมิฬอันน่าพรั่นพรึงพัดออกมาภายนอก

เฉกเช่นเยี่ยนจ้าวเกอ ขณะนี้อาหู่ได้มาถึงด่านสุดท้ายแล้วเช่นกัน

ดินวิเศษสำเร็จสมบูรณ์อย่างยิ่งแล้ว รอเพียงออกผลเมล็ดพันธุ์ของตนเองออกมา ก็สามารถย่างเหยียบระดับมหาปรมาจารย์ขั้นสอง ขั้นซ่อนจิตระยะกลางได้สำเร็จ

ทว่า อาหู่ก็ไม่ได้รีบร้อนจะสืบเท้าออกจากขั้นนี้ ยังคงกำลังขัดเกลาตนเองอย่างละเอียด

เยี่ยนจ้าวเกอมองเขาแวบหนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “ปล่อยความคิดให้นิ่งลงสักหน่อย ต้องใช้จิตใจที่เงียบสงบ ขับเคลื่อนธาตุลมที่ระส่ำระสาย เปลี่ยนพลังปราณแห่งฟ้าดินเป็นวัตถุนิ่ง สุดท้ายกลับจะสามารถระเบิดพลังอันเหี้ยมโหดอีกทั้งน่าตื่นตะลึง ประหนึ่งกับคลื่นคลั่งออกมาได้”

“การเคลื่อนไหวกับความสงบ เป็นแก่นแท้ของมัน”

อาหู่นั่งขัดสมาธิทำสมาธิอยู่ภายในกระสวยเบิกดินแดน ดวงตาทั้งสองข้างยังคงปิดสนิท ทว่าก็ผงกศีรษะเล็กน้อย

เคราะห์หนักของเขากว่างเฉิงก่อนหน้านี้ โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้เหลือรอดสำนักเขานิมิตทมิฬ ไม่ว่าจะเข้าร่วมภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตหรือไม่ ล้วนร่วมกันบุกเข้ามาโจมตีเขากว่างเฉิง

ผลสุดท้าย แน่นอนว่าพังทลายย่อยยับทั้งกองกำลัง ยอดฝีมือเหลือรอดสำนักเขานิมิตทมิฬสองคนที่มีระดับพลังฝึกปรือสูงที่สุด ระดับมหาปรมาจารย์ขั้นเก้า ขั้นรูปญาณระยะท้าย ล้วนสิ้นชีพอยู่ที่เขากว่างเฉิงทั้งสิ้น

ผ่านสงครามครั้งนี้ไป สายเขานิมิตทมิฬผู้มีอิทธิพลของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในอดีตที่เอาชีวิตไปวันๆ มาถึงตอนนี้ไม่พูดว่าล่มสลายจนหมดสิ้น ก็ไม่ต่างจากนั้นเท่าใดนัก

ซึ่งในสงครามครั้งนี้ สายกว่างเฉิงในฐานะฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ สังหารผู้เหลือรอดเขานิมิตทมิฬที่บุกรุกเขาได้ก็สังหาร หากจับกุมได้ก็จับกุม จึงได้รับสิ่งของของพวกเขาอยู่บ้างเช่นกัน

หนึ่งในสิ่งที่ได้รับซึ่งค่อนข้างใหญ่หลวง ก็คือได้การสืบทอดวรยุทธ์ระดับสุดยอดที่สุดของสายเขานิมิตทมิฬ

ปราณม่วงแดนตะวันตกอยู่ที่สำนักเขานิมิตทมิฬ ก็เหมือนดั่งเช่นวิชาเอกพิสุทธิ์ครึ่งส่วนหลังที่อยู่ที่สำนักเขากว่างเฉิง และปราณสุริยันแท้ที่อยู่ที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

เคล็ดวิชาเทพวายุนิมิตทมิฬ วิชาที่อาหู่ฝึกฝนก่อนหน้านี้ เมื่อมาถึงส่วนที่ลึกซึ้ง ก็ก้าวพรวดๆ มาทางวิชาปราณม่วงแดนตะวันตก

เยี่ยนจ้าวเกอถ่ายทอดวิชาปราณม่วงแดนตะวันตกให้กับอาหู่ ด้วยหวังที่จะให้อีกฝ่ายเพาะเมล็ดพันธุ์วิญญาณในขั้นนี้ ซึ่งจะยิ่งเป็นผลดีต่อรากฐานของเคล็ดวิชาเทพวายุนิมิตทมิฬ

หลังจากผ่านศึกใหญ่ของเขากว่างเฉิง จวบจนวันนี้ อาหู่ฝึกฝนโดยที่ไม่ได้หยุดพัก ปัจจุบันวิชาปราณม่วงตะวันตกค่อยๆ ใช้การได้แล้ว หากแต่ยังต้องรอการขัดเกลา

ชายหนุ่มสังเกตอย่างละเอียด ก่อนจะเห็นว่าระหว่างที่อาหู่บำเพ็ญฝึกฝน ภายในลมพายุสีดำที่เขาดูดกลืนและคายออกมารอบกายนั้น มีกระแสปราณสีม่วงจางๆ ไหลวนตามลมสีดำสายต่อด้วยอีกสายแล้ว

ดูไปแล้วเหมือนเป็นแสงสีม่วงหลาย ปะปนอยู่ภายในลมพายุสีดำ เคลื่อนไหวขวักไขว่อยู่ตลอดเวลา

ในตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอฝึกฝนเอง ปราณจิตราราวกับกลุ่มธาตุสลัว ค่อยๆ จมลง คล้ายว่าเปลี่ยนเป็นปราณขุ่นมัวเป็นชั้นๆ ก่อตัวเป็นแผ่นดินใหญ่ ประหนึ่งกับดินอุดมสมบูรณ์หมื่นลี้อย่างไรอย่างนั้น

ทว่าหลังจากจมลงจนถึงที่สุดแล้ว ปราณจิตราของเยี่ยนจ้าวเกอกลับเปลี่ยนเป็นกว้างใหญ่และรางเลือน ราวกับปราณสะอาดหลายสาย ล่องลอยขึ้นเป็นท้องฟ้า

การเปลี่ยนแปลงระหว่างทั้งสองอย่าง ปรากฏออกมาได้อย่างขัดแย้งกันอีกทั้งยังเหนือความคาดหมาย ถ้าหากมีคนรอบข้างได้เห็นล่ะก็ คงรู้สึกได้เพียงว่ายากที่จะเข้าใจ

ทว่าเวลานี้ ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้กลับเกิดขึ้นบนร่างของเยี่ยนจ้าวเกอจริงๆ

ปราณสะอาดล่องลอยขึ้นกลายเป็นท้องฟ้า ปราณขุ่นมัวจมลงกลายเป็นผืนดิน ทั้งสองเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ประกอบกันเป็นหนึ่งเดียว ราวกับฟ้าดินอันสมบูรณ์แบบ โดยแปรสภาพมาจากปราณจิตราของเยี่ยนจ้าวเกอทั้งสิ้น

ปราณสะอาดบนท้องฟ้า ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นจุดหนึ่งที่มีรูปลักษณะของเมล็ดพันธุ์ ส่วนดินวิเศษเบื้องล่างนั้นกว้างใหญ่หนักแน่น

ทั้งสองตั้งอยู่แยกกันแล้วก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียว สุดท้ายผสานอยู่ด้วยกัน!

เยี่ยนจ้าวเกอลืมตาขึ้น สูดลมหายใจเฮือกหนึ่งฉับพลัน

อาหู่ที่ควบคุมกระสวยเบิกดินแดนอยู่ข้างๆ ตื่นตะลึงเพราะรู้สึกได้ถึงพลังชีวิตที่มาจากนอกกระสวยเบิกดินแดน บนผืนน้ำแข็งทะเลแดนเหนือและฟ้าดินอันกว้างใหญ่ไพศาล ทั้งหมดรวมตัวกันเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยมีเยี่ยนจ้าวเกอเป็นศูนย์กลาง

“คุณชาย ท่านเลื่อนขั้นเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นสอง ขั้นซ่อนจิตระยะกลางแล้ว!” อาหู่มองเยี่ยนจ้าวเกอ ถึงแม้ว่าเขาจะยกการแสดงตัวเป็นสุนัขรับใช้อันดับหนึ่งของเยี่ยนจ้าวเกอ และยกการประจบประแจงเยี่ยนจ้าวเกอเพื่อให้สบายมาเป็นหนึ่งในแรงผลักดันในการทุ่มเทพยายามตลอดมา แต่ตอนนี้ก็พูดไม่ออกอยู่บ้างชั่วขณะหนึ่งเช่นกัน

เวลาผ่านไปไม่นานนัก เนื่องด้วยความเกี่ยวเนื่องกันของอายุและระยะเวลาในการบำเพ็ญฝึกฝน ทำให้ระดับพลังฝึกปรือระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอกับเขาห่างชั้นกันมาก กระนั้นบัดนี้ นึกไม่ถึงว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะเหนือชั้นกว่าเขาแล้ว

ถึงแม้จะมีความชื่นชมประเภทที่คุณชายไม่คู่ควรที่จะเป็นคุณชาย แต่อาหู่ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึงจนไม่อาจผละออกจากภวังค์ได้เช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอระบายยิ้มพลางเอ่ย “หากข้ามองไม่ผิดล่ะก็ เจ้าเองก็จะเลื่อนขั้นในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว”

อาหู่แยกแยะรสชาติในปาก พลางรำพึงรำพันชื่นชม

พวกเขามุ่งหน้าตลอดเส้นทาง ข้ามผ่านทะเลน้ำแข็ง จนมาถึงแผ่นดินอีกครั้ง

เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่เก็บกระสวยเบิกดินแดนแล้วขึ้นฝั่ง

แดนเหนือแห่งนี้ น้อยนักจะมีคนมาถึง

ก็ควรจะเป็นเช่นนี้ถึงจะถูกต้อง…

กระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่กลับค้นพบคนอื่น อีกทั้งยังมีจำนวนมากอีกด้วย

คนของตำหนักอัสนีสวรรค์

………….

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

Score 7.9
Status: Ongoing Artist: Native Language: Chinese
อ่านเรื่อง ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีชายหนุ่มข้ามมิติกาลเวลาครั้งแรกมาสู่ยุคสมัยที่อารยธรรมวรยุทธ์รุ่งเรืองจนถึงที่สุด มุมานะศึกษาและฝึกฝนคัมภีร์สุดยอดวิชาที่เก็บรวบรวมไว้ในวังเทพมากมาย แต่แล้วยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ก็ต้องพบพานกับวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายจนหมดสิ้น ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็พาตนเองและสมองที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ของสุดยอดวิชา ข้ามมิติกาลเวลาอีกครั้งไปสู่ยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยนี้มีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขัดใจยิ่งนัก นั่นก็คือทุกอย่างช่างง่ายดายไปเสียหมด จนทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่คุณชายแห่งยุค เหนือกว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้ใดในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในเวลาชั่วพริบตา กระนั้น แม้เขาจะยอดเยี่ยมอย่างไร เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสต่อศิษย์น้องในสำนักเพียงใด มีชื่อเสียงขจรไกลไปถึงหนแห่งไหน สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนปากกล้าและอวดดี กังขาในความสามารถของเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักเจียมตัวก็แล้วไปเถอะ แต่จะหาเรื่องคนที่มีพลังแก่กล้ากว่าตนอยู่อักโขเช่นนี้ ก็คงต้องประมือกันสักตั้งแล้ว “หากชอบรนหาที่ตายนัก ข้าจะสนองให้พวกเจ้าเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset