ประมุขปฐวีที่เหมือนกับชายแก่ชรา ประสานมือคารวะทวนพระอังคาร “ขอให้ท่านโปดรรอสักครู่ จักรพรรดิแพรไม่มีทางผิดนัด”
“เขากำลังรีบกลับมาจากมิติต่างแดน เวลาจึงอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง”
ทวนพระอังคารกลายร่างเป็นยักษ์เพลิง ใบหน้าถูกไฟปกคลุม มองไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์
ทว่าเขาเบือนหน้ามามองประมุขปฐวีเล็กน้อย “หวังเจิ้งเฉิง เจ้าไม่ต้องพูดมากความ พวกเจ้าเป็นคนกำหนดวัน ถ้าหากผิดนัด คนที่ขายหน้าย่อมเป็นตัวฟู่อวิ๋นฉือเอง แต่อย่างไรเสียข้าก็ไม่ยอมเลิกราอยู่ดี”
“ท้องทะเลแห้งเหือดเป็นผืนนา กาลเวลาผันแปร เรื่องราวมากมายแตกต่างไปจากตอนนั้นจริงๆ”
“แต่ว่าหลายวันมานี้ ข้าค่อยๆ รู้จักโลกซ้อนโลกในปัจจุบันขึ้นมาบ้างแล้ว ในใจกลับมีข้อสงสัยมากกว่าเดิม คิดขอคำชี้แนะจากพวกเจ้า!”
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินก็หันไปมองมู่จวินที่อยู่ด้านข้าง
มู่จวินส่งกระแสเสียงว่า ‘หวังเจิ้งเฉิง เป็นชื่อของประมุขปฐวี’
ประมุขปฐวีเป็นลูกศิษย์ที่กษัตริย์ดินถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเอง มีชื่อเสียงมาหลายปี
พูดถึงเรื่องวัยวุฒิ กษัตริย์ดินกับนักพรตเสวียนจง อาจารย์ปู่ของจักรพรรดิแพรเป็นสหายรุ่นเดียวกัน
ประมุขปฐวีมีศักดิ์สูงกว่าอาจารย์ของจักรพรรดิแพรฟู่อวิ๋นฉือหนึ่งขั้น ฟู่อวิ๋นฉือจึงถือเป็นคนรุ่นหลานของเขา
ทว่าถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้มาจากสำนักเดียวกัน ดังนั้นหากว่ากันตามปกติ ย่อมต้องพูดเรื่องวัยวุฒิแยกออกไป
ต่อให้มาจากต้นกำเนิดเดียวกัน กฎเกณฑ์มากมายก็ไม่อาจใช้กับจักรพรรดิได้
ทว่าประมุขปฐวีหวังเจิ้งเฉิงมีอายุมากกว่าจักรพรรดิแพรไม่น้อย เขามีชื่อเสียงโด่งดังมาหลายปี ก่อนจักรพรรดิแพรจะสร้างชื่อเสียอีก
ดูเหมือนตอนนี้เขาจะถูกคนรุ่นหลังจำนวนไม่น้อยเช่นจักรพรรดิแพรแซงหน้า แต่นั่นก็มีเหตุผลพิเศษอยู่
จะว่าไปแล้ว สถานการณ์ของหวังเจิ้งเฉิงคล้ายคลึงกับหยวนเจิ้งเฟิงเมื่อครั้งยังอยู่ในโลกแปดพิภพ
หลายปีก่อนหน้านี้เขาได้รับบาดเจ็บหนัก อาการบาดเจ็บส่งผลถึงพื้นฐาน จนทำให้ติดอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสิบมาโดยตลอด
ภัยพิบัติเซียน หากข้ามได้แล้วจะก้าวสู่ระดับเซียน หากข้ามไม่ได้ จะถูกทำลายเป็นฝุ่นผง
เขาได้รับบาดเจ็บตอนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับประมุข สถานการณ์สาหัสกว่าหยวนเจิ้งเฟิง โอสถเซียนกลับสวรรค์แม้กระทั่งไม่อาจรักษาได้
ด้วยความสามารถของกษัตริย์ดินเอง ก็ยังไม่อาจแก้ไขปัญหาของลูกศิษย์ได้
ทว่าในฐานะจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับประมุขผู้มีประสบการณ์ที่สุดในปัจจุบันของโลกซ้อนโลก พลังฝึกปรือของหวังเจิ้งเฉิงอยู่ในระดับที่น่าอัศจรรย์ มีพลังเหนือกว่าพวกเฉาเจี๋ย จวงเซิง และหลิวเจิงกู่
ขอแค่เขายินยอมลงมือ เขาเพียงคนเดียวก็สามารถควบคุมข้อพิพาทระหว่างจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์บนโลกซ้อนโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แม้ว่าศัตรูจะเป็นเฉาเจี๋ยและจวงเซินในตอนนี้ก็ตาม
ก่อนที่โครงสร้างสามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิ ประมุขทั้งสิบในปัจจุบันของโลกซ้อนโลกจะถูกกำหนด ตอนที่กษัตริย์ดินยังเป็นราชันพระเสาร์อยู่ หวังเจิ้งเฉิงก็ได้ติดตามอยู่ข้างกายเขา เดินทางไปทั่วใต้หล้าแล้ว
ดังนั้นเขากับทวนพระอังคารจึงนับเป็นคนรู้จัก
หวังเจิ้งเฉิง ประมุขปฐวีมองทวนพระอังคาร ถอนใจกล่าวว่า “แม้ว่าท่านอาจารย์จะไม่อยู่ แต่กษัตริย์เร้นลับก็อยู่ที่เขาคุนหลุน แม้จะกำลังเข้าฌานอยู่ก็ตาม แต่ถ้าหากใต้เท้าไปเยี่ยมเยือน เชื่อว่ากษัตริย์เร้นลับจะออกฌานมาพบท่านแน่”
ทวนพระอังคารกล่าวอย่างราบเรียบ “การต่อสู้ในวันนี้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ หากข้าไม่ตาย ข้าจะมุ่งหน้าไปยังเขาคุนหลุนสักครั้ง”
“ถ้าหากสุดท้ายแล้วฟู่อวิ๋นฉือไม่ปรากฏตัว ข้าก็จะไปอยู่ดี”
หวังเจิ้งเฉิงเงียบงันลงไป ในมิติพลันเงียบสงัด
หลังจากเวลาผ่านไป บรรยากาศรอบๆ ก็เกิดความกระสับกระส่ายอย่างควบคุมไม่ได้
คนที่มาถึงในภายหลัง ล้วนกลัวว่าตนจะพลาดการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่นี้ส่วนหนึ่ง ทว่าหลังจากมาถึงแล้ว กลับพบว่าการต่อสู้ยังไม่เริ่มขึ้น
คนที่มาชมการต่อสู้สบตากัน แม้ว่าจะไม่มีเสียงสนทนาสับสนดังขึ้น แต่ต่างฝ่ายต่างส่งกระแสเสียง พร่ำบ่นให้กันแลกันฟัง
ทุกคนยังไม่กล้าวิจารณ์จักรพรรดิแพรงามที่ยังมาไม่ถึงอย่างโจ่งแจ้ง
แต่ว่าเมื่อเชื่อมโยงถึงเรื่องที่ทวนพระอังคารทำลายสถานบำเพ็ญหลีเฮิ่นน้อย จักรพรรดิแพรก็ยังไม่ปรากฏตัว คนที่อยู่รอบๆ ก็แอบมองเรือนภาบัวแดง ความกังขาในแววตายิ่งมายิ่งชัดเจนขึ้น
ทว่าในยามนี้เอง เทพอัคคีที่เหมือนเป็นใจกลางจักรวาล ก็พลันเคลื่อนไหวแล้ว
เขาที่เดิมทีนั่งขัดสมาธิอยู่บนมังกรเพลิงยักษ์ ยามนี้ยืนขึ้นมา
ทุกคนนึกว่าทวนพระอังคารไม่คิดอดกลั้นแล้ว
กระนั้นยักษ์เพลิงตัวนั้นก็ไม่ได้ขยับ แต่หันไปมองที่ไกลออกไป
วินาทีถัดมา บริเวณสุดสายตาของยักษ์เพลิงก็มีปราณสีม่วงหลายสายทะลักขึ้น แผ่พุ่งไปทั่วมิติในชั่วพริบตา
แม้ไม่มีการเปิดเผยสภาวะที่แข็งแกร่ง แต่ว่าคนที่อยู่รอบๆ ล้วนเกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นในใจ
ในมิติจักรวาลตรงหน้า เหมือนกับเกิดใจกลางขึ้นสองจุดพร้อมกัน
จุดหนึ่ง คือเทพอัคคีที่ยืนตระหง่านองค์นั้น
ส่วนอีกจุดหนึ่ง คือกลางปราณม่วงอันยิ่งใหญ่นั้น
บนเรือนภาบัวแดง สีหน้าของฟู่ถิงกับเถาอวี้ผ่อนคลายลง ไร้ความกังวลอีก
คนที่ชมดูการต่อสู้ซึ่งอยู่รอบๆ ต่างฮึกเหิม
แม้ว่าจะเห็นแค่ปราณสีขาวกว้างใหญ่ ไม่เห็นตัวคน แต่ทุกคนต่างก็ทราบว่าจักรพรรดิแพรงามมาถึงแล้ว
“ทำให้ทุกท่านรอนานแล้ว” เสียงที่ทุ้มต่ำแต่กระจ่างชัดเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านในปราณสีม่วง
ปราณม่วงพลันสลาย ปรากฏเงาคนสายหนึ่งขึ้นอย่างเลือนราง
เยี่ยนจ้าวเกอมองไป ผู้ที่เข้ามาในครรลองสายตาของเขาคือบุรุษวัยกลางคน ที่มีอายุราวๆ สี่สิบปีได้
บุรุษผู้นั้นสวมอาภรณ์สีขาวราวกับหิมะ คลุมทับด้วยเสื้อคลุมสีแดง ผมไม่ได้สยายขึ้น แต่ปรกไปบนหลัง
รูปโฉมภายนอกของคนผู้นี้ทำให้ผู้คนต้องอุทานอย่างแตกตื่นโดยแท้
องคาพยพสมบูรณ์ของเขาแบบ แต่ว่าไร้แววอ่อนโยน รูปหน้าคมสันชัดเจน องอาจสง่างาม
ในลูกตาเหมือนกับมีอารมณ์หลากหลายกำลังเคลื่อนไหว
ทุกวินาทีเหมือนกับปล่อยบุคลิกที่ไม่เหมือนกันออกมา บางครั้งสุภาพอ่อนโยน บางครั้งอาจหาญก้าวแกร่ง บางครั้งโศกซึ้ง
การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องนี้ ไม่มีความรู้สึกไม่เข้ากันใดๆ ทั้งสิ้น กลับกอปรเป็นแรงดึงดูดที่มีเอกลักษณ์ ทำให้องคาพยพที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้วมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม
เสน่ห์ที่ทำให้คนต่างเพศงมงาย ทำให้คนเพศเดียวกันถอนใจชมเชย อีกทั้งไม่อาจหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความอิจฉาริษยาชนิดหนึ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอแตะนิ้วกับริมฝีปาก ‘บุรุษรูปงามอันดับหนึ่งตั้งแต่โลกซ้อนโลกเคยมีมา สมคำร่ำลือจริงๆ’
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยเห็นรูปเงาแสงของจักรพรรดิแพรงามฟู่อวิ๋นฉือ และถอนใจชมเชยมาก่อนแล้ว แต่เมื่อได้เห็นตัวจริงแล้วก็รู้สึกว่ามีความยิ่งใหญ่มากกว่า
ทวนพระอังคารพอเห็นเงาร่างด้านในปราณสีม่วงกว้างใหญ่ ก็เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มกันเถอะ”
แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำลายที่อยู่ของตน แต่บนใบหน้าของจักรพรรดิแพรงามบนไม่ปรากฏความโกรธ “ผู้อาวุโส เชิญ”
ประมุขปฐวีหวังเจิ้งเฉิงถอยไปด้านหลัง
แม้ว่าจะเป็นผู้รับรอง แต่ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องกล่าวมากความ
ณ เวลานี้ ในสถานที่แห่งนี้ ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับยอดฝีมือระดับจักรพรรดิสองคนตรงหน้า
และสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของคนส่วนใหญ่ก็คือ คนที่ลงมือก่อนเป็นจักรพรรดิแพรงามฟู่อวิ๋นฉือ
เขายกฝ่ามือขึ้น ปราณประสานกับหยินหยาง
มิติตรงหน้าพังทลาย เวลาพร่าเลือน ที่ว่างไม่คงอยู่ สรรพสิ่งกลายเป็นปราณหยินหยางแรกเริ่ม เพราะฝ่ามือของจักรพรรดิแพรงาม
หยินหยางหมุนวน กอปรกันเป็นรูปไท่จี๋ยักษ์ ตกใส่ทวนพระอังคารอย่างหักโหม
บริเวณที่รูปไท่จี๋ผ่าน ทุกสิ่งทุกอย่างกลับกลายเป็นหยินหยาง ไม่คงอยู่ต่อไปอีก
ไท่จี๋หมุนเคลื่อน ก่อเกิดสภาวะบดขยี้ ม้วนทุกสิ่งที่อยู่ใต้ฝ่ามือของจักรพรรดิแพรงามให้มลายหายไป
ยิ่งเคลื่อนไปด้านหน้าเท่าไร รูปไท่จี๋ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น พลังคล้ายกับเพิ่มขึ้นอย่างไร้สิ้นสุด!
สิ่งที่คนพูดถึงมากที่สุดเกี่ยวกับจักรพรรดิแพร ก็คือเรื่องความงามสง่าองอาจที่ไร้ข้อผูกมัด ดุจดั่งเอกภพที่งามเหมือนผ้าแพร และเรื่องที่เขามีภรรยาโฉมงามมากมาย
แต่ว่าคนที่จักรพรรดิผู้นี้เคยสังหาร สุดที่โฉมสะคราญที่เขาเคยผ่านจะเทียบเคียงได้!
………………..