ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี – บทที่ 991 ข้าปล่อยท่านเข้ามา ท่านจึงเข้ามาได้

เพราะถูกค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าเคี่ยวกรำ พวกชิงซู่จื่อสามคนจึงเริ่มเกิดอาการวิงเวียนแล้ว

พวกเขารู้สึกได้อย่างเลือนรางว่า ระดับพลังฝึกปรือของตนกำลังลดลงไปอีกขั้น!

ทุกคนล้วนอาศัยแรงใจ ทว่ากลับใกล้จะถึงขีดจำกัด

ในตอนนั้นเอง ลมโรคาและหมอกดำที่ก่อนหน้านี้สร้างความหงุดหงิดให้แก่ผู้คนก็พลันจางลง

ทุกคนรู้สึกลิงโลด รีบพุ่งไปด้านหน้าต่อ สุดท้ายผ่านหมอกลวงหนาหนักตรงหน้าได้ด้วยการเคลื่อนไหวครั้งเดียว

ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้ ก็คือด้านบนผิวแม่น้ำสีเหลืองเข้ม นั่งไว้ด้วยชายหนุ่มอาภรณ์สีขาว สวมทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงินขลิบขอบดำ

เป็นเยี่ยนจ้าวเกอนั่นเอง

เยี่ยนจ้าวเกอไม่เพียงแต่ไม่ลนลาน กลับมีสีหน้าสนอกสนใจ ร่างลอยขึ้นจมลงตามการกระเพื่อมของแม่น้ำ ดูท่าจะพออกพอใจยิ่ง

สายตาของเขาหยุดที่ร่างของชิงซู่จื่อ พิจารณาแขนเสื้อของอีกฝ่าย จากนั้นก็มองรูปร่างหน้าตา ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์เอกของจักรพรรดิเอกภพ นักพรตอาวุโสชิงซู่จื่อกระมัง ข้าเห็นความสามารถของท่านแล้ว ดูเหมือนจะเป็นการสืบทอดจริงแท้ของจักรพรรดิเอกภพกำเนิดใช่หรือไม่”

ชายหนุ่มพูดพลางผุดกายลุกขึ้น เดินเข้าหาเรือนภาร่อนวายุของเนินต้นจักรพรรดิ

“ข้าผู้แซ่เยี่ยนค่อนข้างสนใจการสืบทอดจริงแท้ของจักรพรรดิเอกภพ ขอท่านนักพรตอาวุโสโปรดชี้แนะ”

พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าของพวกจางซู่เหริน เผิงเฮ่อ และชิงซู่จื่อล้วนเปลี่ยนสี

ความหมายในวาจาของเยี่ยนจ้าวเกอชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าที่พวกเขามาถึงที่นี่ได้ไม่ใช่เพราะความสามารถของพวกเขา แต่เป็นเพราะเยี่ยนจ้าวเกออยากจะเห็นการสืบทอดของจักรพรรดิเอกภพ ดังนั้นจึงจงใจปล่อยพวกเขาเข้ามา

ข้าปล่อยท่านเข้ามา ท่านจึงเข้ามาได้

“เด็กน้อยโอหัง ข่มเหงคนเกินไปแล้ว!” เผิงเฮ่อเดือดดาล ยกมือขึ้นฟันใส่เยี่ยนจ้าวเกอก่อนหนึ่งดาบ!

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็ไม่ถือสา เพียงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านผู้นี้ภายนอกดูหยาบกระด้าง ในใจกลับเจ้าเล่ห์ เจ้าความคิดทีเดียว”

ตอนนี้แม้ว่าพวกเผิงเฮ่อที่เป็นยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนระยะท้ายมาถึงพร้อมกัน แต่ว่าล้วนถูกแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งที่น่าสะพรึงลดระดับพลัง ไม่ได้อยู่ในช่วงสมบูรณ์

หากชิงซู่จื่อสู้กับเยี่ยนจ้าวเกอคนเดียว เผิงเฮ่อไม่เชื่อใจ และไม่มั่นใจต่อในตัวเขาเท่าไรนัก

พวกหยวนเสี่ยนเฉิงล้วนรออยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ หลังจากเวลาผ่านไปก็ยากจะสนับสนุน

เผิงเฮ่อตอนนี้ไม่สนใจว่าชิงซู่จื่อจะเสียหน้าหรือไม่ ขอแค่ลงมือพร้อมกัน รีบเผด็จศึก กลุ้มรุมจัดการเยี่ยนจ้าวเกอให้ได้เป็นพอ

เขาชิงลงมือก่อน แต่ความจริงเป็นการบอกใบ้ให้ชิงซู่จื่อกับจางซู่เหรินลงมือพร้อมกัน

“เร่ง!” ในเสียงตวาด เผิงเฮ่อไม่ยั้งมือ กระบวนท่าแรกก็ใช้ออกอย่างสุดกำลังทันที

ในมือเขาเพิ่มดาบยาวเล่มหนึ่ง คมดาบเปล่งประกายสีฟ้า

เปลวเพลิงสีฟ้าลุกโชนกลายเป็นหงส์เพลิงสีฟ้า บินเข้าหาเยี่ยนจ้าวเกอ

หงส์เพลิงพอบรรลุถึง ร่างกายพลันแตกสลาย ประกายดาบสีแดงฟ้าแบ่งแยกฟ้าดิน

ฉายาราชาอัคคีของเผิงเฮ่อ มีสาเหตุครึ่งหนึ่งมาจากดาบวิเศษซึ่งเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงเล่มนี้ที่เขาครอบครองอยู่

ใช้ศิลาเพลิงอัคคีประกายทมิฬเป็นวัตถุดิบหลัก หลอมผสานอัคคีวิญญาณและของวิเศษหลายชนิด สุดท้ายสร้างเป็นดาบอัคคีเล่มนี้ขึ้นมา

ดาบวิเศษสามารถปล่อยไฟแห่งอัคคีประกายทมิฬสีฟ้าออกมาได้ อานุภาพอยู่เหนือกว่าอัคคีวิญญาณทั่วไป แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง

เผิงเฮ่อยังใช้ความพยายามทั้งหมดรวบรวมวิชาดาบในใต้หล้า หลอมรวมกับวรยุทธ์ของเนินต้นจักรพรรดิ สุดท้ายสร้างเป็นเพลงดาบราชาอัคคีชุดหนึ่ง

มันแตกต่างจากฝ่ามือเทพต้นจักรพรรดิที่จางซู่เหรินสร้างขึ้นมา ซึ่งรวมการโจมตีและการป้องกันเป็นหนึ่ง ตอนที่มันป้องกันสุดกำลังยิ่งไม่ธรรมดา เรียกได้ว่าเป็นวรยุทธ์ป้องกันอันดับหนึ่งของเนินต้นจักรพรรดิ

ดาบราชาอัคคีของเผิงเฮ่อให้ความสำคัญกับการโจมตี มองข้ามการป้องกัน เปิดเส้นทางอีกเส้น และเพิ่มสภาวะใหม่ให้แก่วรยุทธ์การสืบทอดของสายเนินต้นจักรพรรดิซึ่งที่แล้วมาป้องกันเพื่อโจมตี

ตัวเผิงเฮ่อค่อนข้างแปลกแยกจากจอมยุทธ์เนินต้นจักรพรรดิตั้งแต่อายุยังน้อย

ถึงแม้จะฝึกปรือจิตจริงแท้ของสี่จริยะ แต่ตอนที่เขาฝึกฝนม้วนคัมภีร์ร่างหงส์เพลิง จะเน้นศึกษาการจุติของหงส์เพลิง และลักษณ์อัคคีผลาญฟ้า

ในตอนนี้เขาไม่ออมมือ ลงมือสุดกำลัง

ดาบอัคคีกับเพลงดาบราชาอัคคีผสานเข้าด้วยกัน เพิ่มอานุภาพมากกว่าเดิม

“มีเรื่องหนึ่งที่ท่านลืมไปแล้ว ข้าขอเตือนท่านสักหน่อย” เยี่ยนจ้าวเกอกลับหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ “ในค่ายกลของข้า ท่านไม่ได้อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าแล้ว”

ขณะที่พูด ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอมีกระบองไม้ไผ่สีเขียวขี้ม้าเพิ่มขึ้นมาท่อนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะฟาดใส่ดาบอัคคีของเผิงเฮ่อ

ใช้กระบองต่างกระบี่ กระบวนท่าสังหารมังกรเขียว ประกายกระบี่ที่น่าสะพรึงฆ่ามังกรบดขยี้หงส์

แต่ในตอนนี้เอง ที่ด้านข้างมีสองฝ่ามือถูกส่งมา สองฝ่ามือสะบัด คล้ายผนึกคล้ายกักขัง หยดน้ำไม่รั่วซึม ป้องกันคมกระบี่ของเยี่ยนจ้าวเกอให้กับเผิงเฮ่อ

เป็นจางซู่เหรินผู้ทรงอำนาจที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าอีกคนหนึ่ง

เขาประสานกับเผิงเฮ่อ หนึ่งโจมตีหนึ่งป้องกัน เข้าขากันถึงขีดสุด

เยี่ยนจ้าวเกอไม่นำพา ชักกระบี่กลับเปลี่ยนเป็นฝ่ามือ ปะทะกับจางซู่เหรินกระบวนท่าหนึ่ง จากนั้นก็หมุนท่าร่าง คมกระบี่ของเขายังคงทิ่มแทงใส่เผิงเฮ่อ

เผิงเฮ่อทราบถึงความประหลาดของกระบองไม้ไผ่ของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว พอเห็นดังนั้นก็ได้แต่เปลี่ยนกระบวนท่า

“ท่านนักพรตอาวุโสไม่ต้องเกรงใจแล้ว ตอนที่สู้กันในค่ายกลของข้านี้ พวกเราก็ไม่ได้เปรียบวรยุทธ์กันในสถานการณ์ที่ยุติธรรมอีก” เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งสู้กับเผิงเฮ่อและจางซู่เหริน ทางหนึ่งบอกกล่าวกับชิงซู่จื่อ

พวกเผิงเฮ่อมองดูเยี่ยนจ้าวเกอ ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง

ค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งที่เยี่ยนจ้าวเกอวางและควบคุมอยู่ในตอนนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ

แต่ว่าแตกต่างจากการคาดคะเนก่อนหน้านี้ของคู่ต่อสู้ของเขาโดยสิ้นเชิง

ตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอสู้กับพวกเผิงเฮ่อ ค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งยังคงโคจรอย่างต่อเนื่อง

ลมโรคาหลายระลอกและหมอกสีดำอันเข้มข้นนั้นแม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงเท่าเมื่อครู่แล้ว แต่ก็ยังคงกัดกร่อนกระดูก สร้างความเสียหายแก่วิญญาณ ล่อลวงจิตใจคน ทำให้จุดลมปราณของพวกเขาเกิดการอุดตัน เฉยชาและเซื่องซึม

แต่พอเยี่ยนจ้าวเกอลงมือ กลับไร้ข้อกริ่งเกรงใด เคลื่อนไหวได้ตามใจ

เผิงเฮ่อและจางซู่เหรินถูกค่ายกลแม่น้ำเหผลืองเก้าโค้งสะกดพลังฝึกปรือ ตอนนี้ต่อให้ร่วมมือกัน ก็ยังคงถูกเยี่ยนจ้าวเกอเล่นงานจนทุลักทุเล

ชิงซู่จื่อมองอยู่ด้านข้าง คิ้วขมวดขึ้นมา

เขามองดูนักพรตเชียนหลาน ผู้เป็นศิษย์น้องที่ทรุดนั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือนภาร่อนวายุอย่างเงียบๆ ก่อนที่สุดท้ายเขาจะส่ายศีรษะ แล้วลอยตัวขึ้น

เขากางแขนเสื้อ โจมตีเยี่ยนจ้าวเกออย่างหักโหม อานุภาพถึงกับแข็งแกร่งยิ่งกว่าเพลงดาบราชาอัคคีของเผิงเฮ่อ!

“มาได้ดี” เยี่ยนจ้าวเกอฟาดกระบองไม้ไผ่ใส่ดาบอัคคีของเผิงเฮ่อ สะเก็ดเพลิงพลันปลิวว่อน แสงสีฟ้าจางลงไป

จากนั้นเขาก็ใช้ดัชนีหยินหยาง คมดาบของเผิงเฮ่อถูกนำไปยังฝ่ามือเทพต้นจักรพรรดิของจางซู่เหริน

เมื่อส่งศิษย์พี่ศิษย์น้องแห่งเขาลีลาหงส์ไปสู้กันเองแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่หยุดมือ ผลักฝ่ามือหนึ่งเข้าหาชิงซู่จื่อ

ฝ่ามือนี้ของเขากอปรด้วยความน่าอัศจรรย์ของรอยตราพลิกนภาและฝ่ามือหยินหยางขั้วกำเนิด

ไม่ว่ากระบวนท่าแขนเสื้อเหินอนัตตาของชิงซู่จื่อจะแข็งแกร่งหรืออ่อนโยน เยี่ยนจ้าวเกอล้วนปะทะกับเขาได้ตรงๆ!

ปลายแขนเสื้อของชิงซู่จื่อคล้ายกับคมดาบ ฟันใส่ฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอโคจรพลังของร่างมหาเซียนปัญจธาตุ กายดุจเทวราช มือเปล่าพุ่งรับคมดาบ จับแขนเสื้อของชิงซู่จื่อไว้

“เก็บ!” ชิงซู่จื่อตาเป็นประกาย กระบวนท่าพลันแปรเปลี่ยน

มิติด้านในแขนเสื้อของเขาเปลี่ยนเป็นพร่าเลือน ปรากฏห้าแสงสิบสี และปรากฏการณ์มากมาย

ขณะนี้ชิงซู่จื่อเหมือนกับเปิดทางเชื่อมมิติเส้นหนึ่งขึ้นในแขนเสื้อของตัวเอง เชื่อมต่อไปยังกระแสปั่นป่วนของมิติเวลาที่อยู่ด้านนอกโลกซ้อนโลก!

มิติเวลาบิดเบี้ยวหมุนวน ก่อเกิดเป็นแรงดึงดูดมหาศาล หมายกลืนกินเยี่ยนจ้าวเกอเข้าไป!

เอกภพในแขนเสื้อ!

เป็นวรยุทธ์การสืบทอดสายตรงของมหาเซียนเจิ้นหยวน ผู้ก่อเกิดมาพร้อมกับโลก!

ในแขนเสื้อมีเอกภพหมุนวน มีโลกใบแล้วใบเล่า

กระบวนท่าไร้เทียมทานนี้ อย่าว่าแต่คนที่พลังฝึกปรือต่ำกว่าตัวเอง ต่อให้ต่อสู้กับคนที่มีฝีมือคู่คี่สูสี หากไม่ระวังก็ต้องถูกดูดเข้าไป!

ชิงซู่จื่อพอใช้ความสามารถนี้ แม้แต่ใบหน้าของเผิงเฮ่อและจางซู่เหรินก็ยังเปลี่ยนสี

ไฉนจึงมีแขนเสื้อเหินอนัตตา

ความจริงนั่นคือการลดทอนและการเกิดใหม่ของเอกภพในแขนเสื้อ

เพราะว่าวรยุทธ์อย่างเอกภพในแขนเสื้อฝึกฝนยากเกินไป ว่ากันว่าแม้จะเป็นจักรพรรดิเอกภพก็ต้องอยู่ในระดับมนุษย์เซียนจึงค่อยฝึกฝนสำเร็จ

พวกเผิงเฮ่อในฐานะสหายคิดไม่ถึงว่า ชิงซู่จื่อถึงกับใช้กระบวนท่านี้ได้!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

Score 7.9
Status: Ongoing Artist: Native Language: Chinese
อ่านเรื่อง ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีชายหนุ่มข้ามมิติกาลเวลาครั้งแรกมาสู่ยุคสมัยที่อารยธรรมวรยุทธ์รุ่งเรืองจนถึงที่สุด มุมานะศึกษาและฝึกฝนคัมภีร์สุดยอดวิชาที่เก็บรวบรวมไว้ในวังเทพมากมาย แต่แล้วยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ก็ต้องพบพานกับวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายจนหมดสิ้น ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็พาตนเองและสมองที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ของสุดยอดวิชา ข้ามมิติกาลเวลาอีกครั้งไปสู่ยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยนี้มีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขัดใจยิ่งนัก นั่นก็คือทุกอย่างช่างง่ายดายไปเสียหมด จนทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่คุณชายแห่งยุค เหนือกว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้ใดในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในเวลาชั่วพริบตา กระนั้น แม้เขาจะยอดเยี่ยมอย่างไร เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสต่อศิษย์น้องในสำนักเพียงใด มีชื่อเสียงขจรไกลไปถึงหนแห่งไหน สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนปากกล้าและอวดดี กังขาในความสามารถของเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักเจียมตัวก็แล้วไปเถอะ แต่จะหาเรื่องคนที่มีพลังแก่กล้ากว่าตนอยู่อักโขเช่นนี้ ก็คงต้องประมือกันสักตั้งแล้ว “หากชอบรนหาที่ตายนัก ข้าจะสนองให้พวกเจ้าเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset