ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 1062 ลอบโจมตี

ปรากฏว่าปี้เหยียนเพิ่งพูดจบ รถภูตค้างคาวใต้เท้าทั้งสองคนก็สั่นวูบหนึ่งแล้วเริ่มเลี้ยวเปลี่ยนทิศเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก

หลิ่วหมิงมองไปด้านหน้าสุดของรถคันนี้

แล้วก็เห็นเหลิ่งเหมิงปรากฏตัวอยู่ที่นั่นตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ เขายืนตัวตรง สองมือไพล่อยู่ด้านหลัง

รถภูตค้างคาวสี่ตัวสองฝั่งก็เริ่มเลี้ยวด้วยเช่นกัน รักษารูปขบวนเดิมเอาไว้ต่อ

“พี่ปี้เหยียนรอบรู้เกินใครจริงๆ ทายความคิดหัวหน้าขบวนเหลิ่งได้ครั้งเดียวถูก” ตอนนี้หลิ่วหมิงจึงยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นมา

“ฮ่ะๆ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ขอแค่สมองไม่พัง ผู้ใดก็ไม่มีทางเลือกฝ่าหุบเขาสิ้นสูญแห่งนี้” ปี้เหยียนยิ้ม จากนั้นก็สนทนาเรื่อยเปื่อยกับหลิ่วหมิงอีกสองประโยคแล้วจึงหมุนตัวเดินกลับไป

หลิ่วหมิงยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้กลับไปทันที สายตาเหล่มองแผ่นหลังของปี้เหยียน บนหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาครู่หนึ่ง

ตลอดทางปี้เหยียนหาเรื่องคุยกับเขาเป็นระยะ แม้ไม่รู้สึกว่าคนผู้นี้มีเจตนาร้ายอันใด แต่ถ้อยคำที่เอ่ยมักถามถึงเรื่องวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬอยู่เรื่อยๆ คล้ายเขารู้จักวิชานี้อยู่บ้าง

นี่ทำให้หลิ่วหมิงยิ่งไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย

แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายมุ่งหวังสิ่งใด เขาก็ไม่คิดจะสนใจมากนัก เมื่อเวลามาถึงเขาก็จะหนีจากไปให้ไกล ต่อให้อีกฝ่ายมีเจตนาร้ายจริงก็ไม่มีทางทำอันใดเขาได้เด็ดขาด

ขบวนรถเปลี่ยนทิศทาง เหาะเร็วรี่ไปทางทิศตะวันตก

ครึ่งวันหลังจากนั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!

ด้านหลังยอดเขาลูกหนึ่งทางฝั่งซ้ายฉับพลันมีเสียงระเบิดดังสนั่น จากนั้นแสงสีเทาหลายร้อยสายก็พุ่งออกมาพร้อมเสียงดังลั่น

แสงสีเทาเหล่านี้ลากหางยาวเฟื้อยราวกับดาบตกวาดผ่านฟ้ามาพร้อมกับเสียงแหวกอากาศดังกึกก้อง พวกมันพุ่งพรวดมาเหนือศีรษะคนจากเมืองเหลิ่งเยวี่ย

“ศัตรูโจมตี!”

เสียงเตือนดุดันดังขึ้นในพริบตาจนทำให้ทั้งขบวนสะเทือน

รถภูตค้างคาวทั้งห้าลำหยุดทันที รถภูตค้างคาวลำหน้าสุดมีผู้คุ้มกันยี่สิบกว่าตนเหาะออกไปในทันใด บนร่างพวกเขาเปล่งแสงสีขาวสว่างเชื่อมต่อกันเป็นม่านแสงสีขาวมหึมาหลายสิบจั้งผืนหนึ่งขวางอยู่ด้านหน้าขบวนรถ

หลิ่วหมิงเดิมทีนั่งขัดสมาธิหลับตาทำสมาธิอยู่ในห้องลับ เมื่อได้ยินเสียงเตือนก็เดินออกมาทันที สีหน้าเคร่งขรึมมองไปไกล

ผู้คุ้มกันที่ถูกเลือกคนอื่นก็ทยอยเดินออกมาด้วย

รถภูตค้างคาวของหลิ่วหมิงอยู่ตรงกลางขบวน จากตรงนี้เห็นชัดเจนว่าด้านในแสงเปลวเพลิงสีเทาคือก้อนหินยักษ์ทรงกลมก้อนแล้วก้อนเล่าที่มีเปลวเพลิงร้อนแรงลุกโชนหุ้มอยู่ มันคล้ายอุกกาบาตเพลิงซึ่งเป็นวิชาสายอัคคีชั้นสูงของแผ่นดินจงเทียนอยู่บ้าง แต่พลังดูเหมือนจะมากกว่า

ครืน! อุกกาบาตเหล่านี้โจมตีลงบนม่านแสงสีขาวอย่างหนักหน่วงราวกับเม็ดฝน

ม่านแสงสีขาวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและหม่นแสงลงอย่างรวดเร็ว ผู้คุ้มกันสิบกว่าตนที่กางม่านแสงอยู่พลังเพียงระดับผลึกขั้นต้น พวกเขาหน้าถอดสีอ้าปากกระอักเลือดออกมาในทันใด

ม่านแสงทนอยู่ได้เพียงสองสามลมหายใจก็ส่งเสียงดังวิ้งแล้วเริ่มเกิดรอยปริแตกเส้นแล้วเส้นเล่า

“ฟึบ” “ฟึบ” เวลานี้เองก็มีผู้คุ้มกันระดับผลึกอีกยี่สิบกว่าตนเหาะเข้ามา แสงสีขาวหลายสายพุ่งออกจากร่างจมเข้าไปในม่านแสงสีขาว

เมื่อมีผู้คุ้มกันสี่สิบกว่าตนค้ำจุนอยู่ ในที่สุดม่านแสงสีขาวก็มั่นคงจนขวางก้อนหินที่มีเปลวเพลิงลุกไหม้ที่เหลือเอาไว้ได้

เมื่อการโจมตีถูกชะลอไว้ ผู้คุ้มกันของเมืองเหลิ่งเยวี่ยก็ทยอยเหาะออกมาจากห้องลับด้านในรถภูตค้างคาว พริบตาเดียวบนแผ่นหลังของรถภูตค้างคาวทั้งห้าลำก็มีกองทัพห้ากองยืนอยู่ หัวหน้าระดับแก่นแท้ห้าตนแยกย้ายกันยืนอยู่ตรงหัวของภูตสัตว์ด้านหน้าสุดของขบวน สีหน้าเคร่งขรึม

หลิ่วหมิงกับผู้คุ้มกันคนอื่นเห็นเช่นนี้จึงพากันเหาะเข้าไปทันที

ครู่ต่อมาเงาคนมากมายก็พุ่งผ่านกลางท้องฟ้า พวกหลิ่วหมิงสิบคนทยอยร่อนลงด้านหลังเหลิ่งเหมิง แยกกันยืนมั่นคงอยู่สองฝั่ง แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึม

หลังจากฝนศิลาเพลิงมืดฟ้ามัวดินถูกม่านแสงสีขาวขวางไว้ได้จนหมด ยอดเขาฝั่งซ้ายก็เงียบสงบลง

“ผู้ใดกล้าจู่โจมเมืองเหลิ่วเยวี่ยของเรา ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ออกมาเสีย!” เหลิ่งเหมิงเห็นภาพนี้ บนใบหน้ากลับไม่มีสีหน้าผ่อนคลายสักนิด ตรงกันข้ามดวงตากลับวาวโรจน์มองไปทางยอดเขาฝั่งซ้าย แล้วตวาดเสียงดัง

สิ่งที่ตอบเขากลับเป็นเสียงประหลาดแสบแก้วหู!

เมื่อหลิ่วหมิงมองตามเสียงไปก็เห็นด้านหลังของยอดเขาฝั่งซ้าย มีอสูรแห่งความมืดขนาดมหึมาอย่างยิ่งหน้าตาคล้ายพยัคฆ์แต่มีปีกสองข้างบนแผ่นหลังตัวหนึ่งเหาะออกมา บนหลังของอสูรตัวนี้มีผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ กวาดมองครั้งเดียวก็เห็นว่ามีหกถึงเจ็ดร้อยตน มากกว่าขบวนของเมืองเหลิ่งเยวี่ย

ผู้ฝึกฝนเหล่านี้แต่ละตนสวมชุดสีฟ้า ผู้ฝึกฝนสิบกว่าตนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดกำลังมองมาทางผู้คนของเมืองเหลิ่งเยวี่ยอย่างมาดร้าย

ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าเสือยักษ์ติดปีกคือบุรุษร่างยักษ์สูงเก้าฉื่อผู้หนึ่ง เขาสวมอาภรณ์ตัวยาวสีฟ้า บนใบหน้ามีรอยแผลขนาดใหญ่เส้นหนึ่งพาดจากหน้าผากจรดมุมปาก ทำให้บุรุษร่างยักษ์ดูดุร้ายอย่างยิ่ง

“หลานซวี่เจ้ามาที่นี่ เจ้าเมืองหานสุ่ยสั่งให้พวกเจ้ามาซุ่มโจมตีพวกเราหรือ?” เหลิ่งเหมิงรูม่านตาหดเล็กจ้องบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้า แล้วตวาดเสียงดุดัน

“แย่แล้ว พวกนี้เป็นคนของเมืองหานสุ่ย เมือหานสุ่ยกับเมืองเหลิ่งเยวี่ยเป็นศัตรูกันมาตลอดเพราะปัญหาเรื่องอาณาเขต ศึกดุเดือดคงกำลังจะปะทุขึ้นแล้ว” ปี้เหยียนที่ยืนอยู่ข้างกายหลิ่วหมิง เอ่ยเสียงเบา

หลิ่วหมิงสีหน้าเรียบเฉยพยักหน้านิดๆ แต่ในใจกลับยินดี

คนพวกนี้มาได้จังหวะพอดี ด้วยพลังของเขา ปกป้องตนเองย่อมไม่ใช่ปัญหา หากเกิดศึกรุนแรงขึ้นมา เขาจะได้ฉวยโอกาสผละจากขบวนได้พอดี

“เหลิ่งเหมิง ส่งของบรรณาการมาเสียแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้ามองเหลิ่งเหมิงแล้วฉีกยิ้มชั่วร้าย

“เหอะ เพ้อฝัน!” เหลิ่งเหมิงเอ่ยเสียงเย็นเยียบ สีหน้าดูใจเย็นยิ่งนัก ระหว่างที่พูดสายตาก็มองประเมินรอบด้าน

กล่าวไปแล้วการถูกคนของเมืองอื่นดักโจมตีก็ไม่ใช่เรื่องที่เหลิ่งเหมิงคิดไม่ถึง

แม้คนของเมืองหานสุ่ยตรงหน้าจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอยู่บ้าง แต่หากพวกเขาตั้งใจหนี คนเหล่านี้ของเมืองหานสุ่ยย่อมขวางไว้ไม่ได้ คิดว่าพวกเขาคงมีลูกไม้อื่นอีก

ขณะที่ในใจหลิ่วหมิงกำลังขบคิดหาวิธีตอบโต้อยู่นั่นเอง บนเนินเขาอีกด้านหนึ่งก็มีเสียงหวีดหวิวดังขึ้น ภูตเหยี่ยวมหึมาหลายตัวบินออกมา

ภูตเหยี่ยวเหล่านี้ร่างกายใหญ่หกสิบกว่าจั้ง ขนาดสูสีกับภูตค้างคาวที่ผู้คนของเมืองเหลิ่งเยวี่ยขี่อยู่ บนหลังภูตเหยี่ยวมีผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกหลายร้อยตนยืนอยู่ ผู้ที่อยู่ด้านหน้าคือหญิงสาวชุดยาวสีเงินคนหนึ่ง แม้เรือนร่างน่าประทับใจ แต่สีหน้ากลับเย็นชา

บนร่างผู้ฝึกฝนเหล่านี้ล้วนสวมเกราะอ่อนสีเงิน บนนั้นปักอักษรของเผ่ายมโลกตัวใหญ่ไว้สองตัวเขียนว่าเลี่ยเยี่ยน

“อิ๋นถัง! เมืองเหลิ่งเยวี่ยของพวกเรากับเมืองเลี่ยเยี่ยนของพวกเจ้าไม่เคยมีความแค้นต่อกัน เหตุใดพวกเจ้าจึงร่วมมือกับเมืองหานสุ่ยโยนหินซ้ำคนตกบ่อน้ำ!” เหลิ่งเหมิงเห็นภาพนี้ ในที่สุดสีหน้าก็เปลี่ยน เขาตวาดเสียงดุดันออกมา

หญิงสาวชุดสีเงินยิ้มเย็นชาคล้ายไม่คิดจะลดตัวตอบคำ นางสะบัดแขนทันที

ฟึบๆ !

ผู้ฝึกฝนเมืองเลี่ยเยี่ยนหลายร้อยตนเหาะเร็วรี่ออกมา คนของเมืองหานสุ่ยก็เหาะขึ้นมาจากภูตอสูรร่างเสือเช่นกัน ผู้ฝึกฝนสองฝ่ายพันกว่าตนล้อมคนของเมืองเหลิ่งเยวี่ยไว้ตรงกลางราวกับห่อเกี๊ยว

คนของเมืองเหลิ่งเยวี่ยหน้าถอดสี แต่ละตนมองไปหาเหลิ่งเหมิง

พวกหลิ่วหมิงสิบตนก็สีหน้าวิตกขึ้นมาด้วย พวกเขาต่างลอบรวบรวมพลังเวท

เหลิ่งเหมิงหน้าเขียว ในใจมีความคิดหมื่นพันแล่นผ่านไปในพริบตา

แต่ผู้ฝึกฝนเมืองหานสุ่ยกับเมืองเลี่ยเยี่ยนไม่ให้เวลาเขาคิดมากนัก บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้ากับหญิงสาวชุดเงินออกคำสั่งพร้อมกัน

ยอดฝีมือเผ่ายมโลกใต้บัญชาของพวกเขาฉับพลันรีบเร่งส่งการโจมตีนานาชนิดออกมาราวกับทนรอไม่ไหว แสงหลากสีพันกว่าสายพุ่งเร็วรี่มาดุจเม็ดฝน พลังน่าตกตะลึงอย่างที่สุด

ผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกห้ากองทัพของเมืองเหลิ่งเยวี่ยพลังค่อนข้างอ่อนแอ บางตนพลังระดับของเหลวจิตวิญญาณเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับพลังเช่นนี้พวกเขาล้วนหน้าถอดสีแล้วเริ่มปั่นป่วน

“อย่าตระหนก ทุกคนฟังคำสั่งข้า ตั้งเกราะป้องกันจันทรกาฬ!” แววตาเหลิ่งเหมิงเย็นเยียบ เขาตวาดเสียงดังอย่างไม่ยอมให้ตั้งข้อสงสัย เสียงแผ่ออกไปดุจคลื่นสมุทร

เผ่ายมโลกจากเมืองเหลิ่งเยวี่ยทั้งหมดตอบสนองทันที พวกเขาเรียงแถวตั้งค่ายกลด้านบนสัตว์ยักษ์ทั้งห้าตัว พวกเขาจับกลุ่มยืนเป็นรูปดาวห้าแฉก เผ่ายมโลกแต่ละตนเหมือนฝึกซ้อมกันมานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อหัวหน้าทั้งห้าสั่งการ แสงสีเทาอ่อนผืนใหญ่ก็ผุดจากร่างรวมตัวกันกลายเป็นเกราะแสงทรงชามคว่ำขนาดมหึมาอันหนึ่งขวางอยู่เหนือศีรษะ

เกราะแสงเพิ่งก่อตัว การโจมตีดุจเม็ดฝนก็ร่วงลงมาด้านบน แสงสีเทาอ่อนผืนใหญ่ส่องสว่าง เสียงบึ๊มดังกึกก้อง

เกราะแสงสีเทาอ่อนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

หัวหน้าระดับแก่นแท้ห้าตนตวาดเบาๆ พร้อมกัน พวกเขาเรียกอาวุธเวทวงล้อสีขาววงหนึ่งออกมา ลำแสงห้าสีไหลเข้าไปในเกราะแสงจันทรกาฬอย่างรวดเร็ว ไม่นานเกราะแสงก็ยืนหยัดอยู่ได้ ไม่เพียงไม่แตกสลาย ตรงกันข้ามกลับมั่นคงยิ่งขึ้น

เหลิ่งเหมิงเห็นภาพนี้ก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย

“กระดองเต่าแข็งนักนะ” บุรุษร่างยักษ์แห่งเมืองหานสุ่ยยิ้นหยันแล้วโบกมือข้างหนึ่ง

ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้หลายตนที่อยู่ข้างกายเขาเหาะออกมาทันที แขนสองข้างชูขึ้นด้านบน มุกกลมสีดำสิบกว่าลูกพุ่งออกมาจากมือของพวกเขาร่วงลงบนเกราะแสงสีเทาอ่อนที่อยู่ใกล้ๆ

มุกกลมสีดำส่องสว่างกลายเป็นหุ่นผีขนาดยักษ์สิบกว่าตัว แต่ละตัวล้วนขนาดสิบกว่าจั้ง ผิวสีดำขลับราวกับศิลาสีดำ รูปร่างแลดูกำยำยิ่งนัก

เหลิ่งเหมิงที่อยู่ด้านในเกราะแสงเห็นเช่นนี้ ม่านตาพลันหดเล็กลง

หุ่นขนาดยักษ์สิบกว่าตัวผลัดกันยกกำปั้นยักษ์โจมตีบนเกราะแสงอย่างหนักหน่วง

เกราะแสงจันทรกาฬสั่นสะเทือนดังครืนทันที ในเวลาเดียวกันพลังมหาศาลล่องหนสายแล้วสายเล่าก็ทะลวงผ่านเกราะแสงเข้ามา ส่งผลต่อร่างกายของเผ่ายมโลกจากเมืองเหลิ่งเยวี่ยด้านในโดยตรง พวกที่พลังค่อนข้างอ่อนแอจำนวนหนึ่งกรีดร้องปลิวถอยออกไปทันที สภาพบาดเจ็บหนักจนลุกไม่ขึ้น

หญิงสาวชุดเงินที่อยู่อีกด้านหนึ่งสะบัดแขนเรียวงาม เผ่ายมโลกเกราะสีเงินสิบกว่าตนหลังร่างนางเหาะออกมา แสงสีขาวสว่างวูบหนึ่ง ในมือของผู้ฝึกฝนเกราะสีเงินเหล่านี้ก็มีธงผืนใหญ่สีขาวผืนหนึ่งปรากฏขึ้น ด้านบนสลักภาพสัญลักษณ์ลูกไฟยักษ์ดวงหนึ่งทอประกายสีขาวระยิบระยับ มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา

ผู้ฝึกฝนที่สวมเกราะสิบกว่าตนท่องมนตร์ เพียงครู่เดียวปลายธงสีขาวผืนใหญ่ก็มีเปลวเพลิงสีขาวโพลนหนาเท่าแขนเส้นหนึ่งผุดออกมาแล้วพุ่งเร็วรี่ไปทางเกราะแสงจันทรกาฬ

ผู้ฝึกฝนชุดเกราะสีเงินเหล่านั้นโบกมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา เปลวเพลิงสิบกว่าลำส่งเสียงดัง “ฟู่” เบาๆ ก่อนจะกลายเป็นเปลวเพลิงสีขาวขนาดเท่ากำปั้นหลายร้อยดวงเริงระบำร่วงลงมา ทว่าเกราะแสงจันทรกาฬไม่สั่นไหวสักนิด

“เกิดอะไรขึ้น!” ผู้ฝึกฝนจากเมืองเหลิ่งเยวี่ยที่อยู่ใต้เกราะแสงมองหน้ากัน คนของเมืองเลี่ยเยี่ยนใช้กระบวนทัพใหญ่เช่นนี้เพื่อสร้างไฟดวงกระจิ๋วเท่านี้หรือ

แต่ไม่นานก็มีคนเห็นความผิดปกติ เปลวเพลิงสีขาวที่ร่วงลงบนเกราะแสงเกาะติดหนึบอยู่ด้านบนแน่น ไม่ว่าเกราะแสงจะสั่นไหวอย่างไร พวกมันก็เพียงสะบัดส่ายตามสายลมเท่านั้น

“แย่แล้ว เปลวเพลิงเหล่านี้กำลังกลืนกินพลังเวทบนเกราะแสง!” มีคนพบความผิดปกติอีกประการอย่างรวดเร็วแล้วตะโกนลั่น

เปลวเพลิงสีขาวดูดกลืนพลังเวทบนเกราะแสงไปไม่หยุดประหนึ่งฟองน้ำแล้วขยายใหญ่ขึ้นช้าๆ เกราะแสงค่อยๆ หม่นแสงลงเรื่อยๆ

“เพลิงกระดูกขาวกลืนวิญญาณ!” ก่อนหน้านี้เหลิ่งเหมิงถูกหุ่นยักษ์ของเมืองหานสุ่ยดึงความสนใจไป เมื่อได้ยินเสียงตะโกนจึงหันศีรษะกลับมามอง ทันใดนั้นใบหน้าก็เขียวคล้ำเอ่ยออกมาทีละคำ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset